วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สุขสันต์วันทำขนมครก

สวัสดีวันอาทิตย์ค่ะ

          วันนี้ตื่นขึ้นมา รู้สึกถึงความเย็นในอากาศเล็กน้อย ลมฉิวๆ อ้ะ ! ไม่ใช่เย็นจากเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใดนะคะ เพราะว่าตั้งเวลาปิดเมื่อตี 4 ครึ่ง แล้วแง้มหน้าต่างเล็กน้อยไว้ระบายอากาศ น่าจะเข้าฤดูหนาวบ้านเราแล้วนะ ถ้านับตามเดือน แต่ตามคนโบราณใกล้ๆตัว (หมายถึงคุณยาย) ว่ามาว่าสมัยก่อนฤดูหนาวเริ่มหลังจากออกพรรษา แต่อากาศก็จะยังไม่หนาวมาก แค่เย็นๆ สบาย ลมริ้วเบาๆ แต่จะรู้สึกเย็นถึงขั้นหนาวก็เมื่อหลังวันลอยกระทงเป็นต้นไป เมื่อนั้นแหละก็จะถึงเวลาที่ต้องงัดเอาเสื้อกันหนาวสวยๆออกมาใส่กันละ
          จิ๊บจำได้ว่าตอนเด็กๆ อายุซัก 9 ขวบได้ ตอนนั้นก็ขึ้น ป.5 แล้วละเพราะว่าเป็นเด็กพิเศษ ไม่ๆๆๆ ไม่ใช่เด็กพิเศษที่เขาเรียกน้องๆ ที่บกพร่องทางพัฒนาการของสมองในสมัยหลังๆ นี้นะคะ แต่เด็กพิเศษในความหมายของจิ๊บในที่นี้คือเป็นเด็กเรียนเร็ว แม่จับเข้าเรียนอนุบาลตั้งแต่สองขวบ (เพราะแม่เส้นใหญ่.. อิอิ คือว่า..เป็นครูเกือบใหญ่ในโรงเรียนนั้นเอง..) ช่วงเดือนพฤศจิกายนแบบนี้เป็นช่วงเปิดเทอมกลางภาคแล้ว แล้วก็เพิ่งจะกลับจาก vacation ที่บ้านคุณยายซึ่งเป็นสวรรค์สำหรับเด็กอย่างจิ๊บและพี่ชายทะโมนทั้งสอง เพราะว่าที่บ้านคุณยายเราได้เล่น ได้ทำกิจกรรมหลายอย่างที่ไม่เคยได้ทำเลยเมื่ออยู่บ้านที่กรุงเทพฯ พี่ชายสองคนนั้นหลังจากถูกแงะขึ้นมาจากที่นอนได้ ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็มีเพื่อนเด็กๆสี่ห้าคนมายืนรอหน้าสลอนอยู่หน้าประตูรั้วแล้ว และก็ได้รับอนุญาตให้ออกไปเที่ยวเล่นเก็บใบคว่ำตายหงายเป็น เก็บลูกไม้นานาชนิด ที่สวนหลังบ้าน แล้วก็ลามไปไกลถึงสวนหลังบ้านคนอื่น กว่าจะตามตัวมากินข้าวเช้ากันได้ก็เหนื่อยเอาการ

         
          อันว่าใบคว่ำตายหงายเป็นนี้ หนุ่มๆเค้าเก็บมาทำไมกันนะ? หลายคนคงอยากทราบ คุณประโยชน์อย่างอื่นๆเราเด็กๆก็ไม่ทราบหรอกค่ะ รู้แต่สนุกสนานเอามันอย่างเดียวแหละ ถ้าอยากทราบแบบเชิงวิชาการก็ลอง search ใน google ดู หรือเป็นทางการหน่อยก็สารานุกรมนั่นเลยค่ะ กลับมาว่าถึงความสนุกแบบเด็กๆ อย่างเรา ก็คือใบไม้ชนิดนี้เมื่อเด็ดจากต้นมาแล้ว มันจะไม่เหี่ยวแห้ง ไม่ตายเหมือนใบไม้ทั้่วๆไป แต่เอามาสอดไว้ในหนังสือหรือสมุด มันกลับมีรากเป็นเส้นสีขาวๆเล็กๆ งอกออกมาเป็นกระจุกเล็กๆตามรอยหยักริมใบ ซึ่งสร้างความประหลาดใจและประทับใจให้พวกเราอย่าเหลือล้นทีเดียว ราวกับเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ปานฉะนั้น


          ส่วนกิจกรรมสำหรับเด็กผู้หญิงก็ไม่พ้นการเล่นขายของหรือเล่นหม้อข้าวหม้อแกงนั่นเอง แต่สำหรับเด็กผู้หญิงที่เป็นหลานสาวคุณยาย ต้องไม่ใช่เล่นขายของธรรมดาแน่ๆ เพราะจิ๊บมีของขายที่กินได้จริงๆด้วย นั่นก้คือ "ขนมครก" ที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี จิ๊บเชื่อว่าไม่เคยมีใครไม่เคยกินขนมครกนะคะ แต่รสชาดมันต่างไปจากที่เคยมากมาย มีการประยุกต์เพิ่มนั่นเติมนี่จนเป็นรสชาดแบบสมัยใหม่ แทบจำไม่ได้ว่ารสเดิมเป็นอย่างไร ที่สำคัญและขัดใจจิ๊บ แต่อาจจะเป็นที่ถูกปากของหลายๆคนคือขนมครกเดี๋ยวนี้ทำไมถึงหวานแสบไส้เช่นนี้นะ ก็เอาเถอะค่ะ ลางเนื้อชอบลางยาไม่ว่ากัน เอาเป็นว่าจิ๊บจะเล่าสู่กันฟังเฉพาะเรื่อง "ขนมครก แม่จิ๊บ" ก็แล้วกันค่ะ
          แรกเริ่มเลยจิ๊บจะเห็นคุณยายสั่งให้ป้าออมสิน พี่เลี้ยงเก่าแก่ที่เลี้ยงแม่ของจิ๊บมาตั้งแต่เด็กๆ ให้เอา "เบ้า" และเตาขนมครกซึ่งทำจากดินเผาออกมาทำความสะอาด(ใครไม่เคยเห็นก็ไปที่ตลาดนัดจตุจักรนะคะ มีขายในร้านเครื่องปั้นดินเผา)  ถ้าซื้อมาใหม่ๆ ยังไม่เคยใช้งานก็จะต้องมีการ "ลงเลข" กันก่อน คำว่าลงเลข เป้นคำอธิบายแบบขำๆ ของคุณยายเมื่อจิ๊บถามว่ามันคืออะไร ลงเลขของคุณยายคือการเอาแกลบหรือปุยกากมะพร้าว มาถมเบ้าขนมครกแล้วเผาไฟ เพื่อให้เบ้าขนมค่อยๆเรียนรู้ที่จะทนรับความร้อน เมื่อเวลาเราใช้หยอดขนมแล้วเบ้าจะทนไฟได้ดีขึ้น ไม่แตก สมัยนี้ประเพณีการลงเลขของคุณยายคงไม่ได้ใช้แล้วเพราะเค้าใช้เบ้าเหล็กกัน มันไม่มีทางแตก แต่ภูมิปัญญาแบบลงเลขมานแตกสลายไป
          หลังจากป้าออมสินเตรียมอุปกรณ์เรียบร้อย ก็ไปเตรียมแป้ง อันได้แก่ แป้งข้าวจ้าว น้ำกระทิส่วนหาง น้ำตาล เกลือนิดหน่อย และที่ไม่น่าจะเหมือนที่ไหนคือ เอาข้าวสุกที่เย็นแล้วหรือจะเป็นข้าวเย็นเหลือจากเมื่อวานก็ได้ มาบดรวมกับแป้งจนเป็นเนื้อเดียวกัน อันนี้จิ๊บเดาเอาว่าเป็นความชาญฉลาดของคนโบราณที่เอา "ข้าวเย็น" ที่ไม่มีใครอยากกินแล้วมาประกอบเป็นอาหารชนิดอื่นโดยไม่ต้องทิ้งไปเปล่าๆ เมื่อได้แป้งที่ผสมกันรสชาดหวานปะแล่มๆ (คือหวานนิ๊ดดดเดียว) กร่อยนิดๆ ด้วยเกลือแล้วก็พักไว้ ส่วนน้ำกระทิส่วนที่เป็นหัวก็ใส่เกลือนิดนึง ใส่น้ำตาลคนให้ละลายเข้ากันดี หั่นใบกุยช่ายใส่ลงไปเพียงเล็กน้อย ส่วนนี้เอาไว้ราดหน้านั้นเองค่ะ
          เมื่อป้าออมก่อไฟให้เรียบร้อยก็พร้อมให้จิ๊บเล่นหม้อข้าวหม้อแกงขายขนมครกละ สนุกซะไม่มี เลอะเทอะก็ปานนั้น ทำฝาปิดครกแตกไปก็หลายอัน เปิดดูทุกครึ่งนาที พอสุกอันแรกก็อยากชิมซะจนทำลวกลิ้นตัวเองอีก...อิอิ  และแล้ว....ลูกค้ารายแรกของจิ๊บก็คือแม่และคุณยายนั้นเอง ขนมครกหนึ่งจานร้อนๆ กับกาแฟของแม่ และชาจีนของคุณยายในบรรยากาศเย็นๆ ตอนเช้าต้นฤดูหนาวเป็นภาพความสุขที่ยังอยู่ในความทรงจำของจิ๊บมาจนถึงบัดนี้  หลังจากนั้นก็เอาใส่จานไปให้เพื่อนบ้านๆละหนึ่งจาน แล้วเด็กๆข้างบ้านรุ่นราวคราวเดียวกันก็ตามมาเล่นขายขนมครกที่บ้านคุณยายกันอย่างสนุกสนาน

          คุณยายเปิดเผยภายหลังว่า ที่ให้เล่นขายขนมครกนี้ได้ประโยชน์หลายอย่าง
          อย่างแรกคือจิ๊บได้รับความสนุก ได้เล่นอย่างที่คนเป็นเด็กต้องการแต่ไม่ไร้สาระ
          ขณะเดียวกันการเล่นของจิ๊บอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ อยู่ในบ้าน ไม่ต้องออกไปตะรอนๆเที่ยว
          สองเป็นอุบายสอนให้คุ้นเคยกับการทำอาหาร โตขึ้นจะได้ไม่รังเกียจการทำอาหาร
          สามการนั่งเล่น หยอดและแคะขนมหน้าเตาไฟช่วยให้อุ่นเป็นการผิงไฟกลายๆ แทนที่จะขี้เกียจคุดคู้อยู่ในผ้าห่ม นี่เป้นอีกสาเหตุหนึ่งมั้ง ที่จิ๊บได้ยินคุณยายพูดว่า "ขนมครกต้องกินหน้าหนาวถึงจะเหมาะ" เพราะเวลาทำได้ไออุ่นจากเตาไฟนั่นเอง
                
          คิดแล้วคันไม้คันมืออยากทำขนมครกซะแล้วละน๊า.... ตอนนี้โตแล้ว ทำงานแล้วและไม่มีปิดเทอมเหมือนตอนเด็ก แต่ก็เอาน่ะ เดี๋ยวช่วงวันหยุดติดต่อกันหลายวันช่วงปีใหม่จะรื้อบรรยากาศแบบนี้ขึ้นมาอีก และผู้ที่จะได้รับมอบหมายให้เป็นแม่ค้าน้อยรายต่อไปคือ ไข่มุก หลานสาวคนเล็กของจิ๊บนี่แหละ แต่สงสัยไม่ต้องมีพีธีลงเลขเบ้าขนม เพราะว่าอาจจะต้องใช้เตาขนมครกญี่ปุ่นไฟฟ้าแทน...ตามเทรนด์น่ะ อิอิ

4 ความคิดเห็น:

  1. แวะมาเยี่ยมเยียนบล็อกนะค้า อ่านแล้วเพลิน ได้เกร็ดความรู้มากมาย อย่าลืมหาเรื่องสนุกๆมาเล่ากันอีกนะคะ ^^

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณจ้ะน้องน้ำคนสวยของพี่ ไว้แวะมาอิกนะจ๊ะ อิอิ จุ๊ฟๆๆ

      ลบ
  2. ชอบค่ะพี่จิ๊บ อ่านแล้วได้บรรยากาศเย็นๆ ดีจัง (สมัยนี้เค้าเรียกชิลๆ สินะ) ... อยากได้สูตรขนมไว้เผื่อเป็นแม่ศรีเรือน ไม่งั้นก็ไว้สอนหลานไรมั่งอะพี่จิ๊บ ^^

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุงมากจ้าหนูฝนคนจ่วยยย ไว้พี่จิ๊บจะพยายามเขียนเรื่อยๆจ่ะ แวะมาเยี่ยมบ่อยๆนะจ๊ะ คิดถึงมากมาย (โทรหาใครไม่ได้ ใครก็โทรมาไม่ได้ อิอิ ลืมโทรศัพท์ไว้บ้านคุงยาย!) รักน้องนะจ๊ะ จุฟๆๆ

      ลบ