วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คำด่าที่น่าฟัง.....





    คำด่าที่มีคุณค่าน่าฟังที่สุดในโลก.....

....จั่วหัวแบบนี้ งงละสิ..ฮ่าๆๆๆ   โดยปรกติแล้ว จิ๊บเชื่อว่าไม่มีใครที่อยากจะได้ยินคำด่าหรอกนะคะ....แต่จิ๊บอ้ะอยากได้ยิน และก็ช้อบชอบคำด่าของแม่ ของคุณยาย คุณตา คุณทวดๆๆ บรรพบุรุษของจิ๊บ เสียแต่เกิดไม่ทันท่านเหล่านั้นทั้งหมด ทันแค่ได้ฟังคำด่าของคุณยายโดยตรง กับฟังจากคำบอกเล่าของแม่กะคุณยายเท่านั้น ..เอ๊อ..แปลกคนมั้ยล่ะคะ ยัยจิ๊บบ๊องชอบถูกด่า อิอิ...เดี๋ยวๆๆๆ จิ๊บไม่ได้โรคจิต มาโซคิสต์ชอบถูกด่า หรือชอบความรุนแรงเจ็บปวดอะไรนะคะ แต่ว่าคำด่าของคุณยายจิ๊บนี่สุดยอด และน่าฟังที่สุดในสามโลก เพราะคุณยายด่าเป็นนิทานเลยค่ะ แล้วก็เป็นนิทานที่มีแง่มุมคำสอนที่เป็นประโยชน์ในชีวิตมากๆ ด้วย..มาๆ จิ๊บจะด่า เอ๊ย..จะเล่าให้ฟังค่ะ

...คำด่าชุดที่ ๑..."กระเทียมตื่นฝุ่น นุ่นตื่นลม ขนมตื่นน้ำยา เงินสี่บาทฝังใต้กระดานกี่"
   เป็นไงล่ะ มาทีเป็นชุด..อึ้งไปเลยใช่มั้ยคะ..คนถูกด่า ง้ง เป็นไก่ตาแตก ตื่นเช้ามาสามวันยังไม่หายงง..
   คืองี้ค่ะ เวลาที่ผู้ใหญ่ที่บ้านจิ๊บเค้าคุยกัน แล้วมีการพาดพิงถึงบุคคลที่สาม ไม่ใช่การนินทานะคะ แต่หากเป็นเรื่องดีๆคนดีๆ ผู้ใหญ่ก็จะหยิบยกมาให้เป็นตัวอย่าง ชี้ให้เราเห็นว่าทำแบบนี้ดี น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ถ้าเป็นความไม่ดี หรือความบกพร่อง ก็จะมีการสรุปว่าทำอย่างนี้ๆ ไม่ดีอย่างไร ทำไมถึงไม่ควรทำอย่างนี้..ไม่ใช่เป็นการกล่าวถึงเพื่อให้ร้าย หรือทับถมให้จมดินลงไปแต่อย่างใด ฉะนั้น การที่เราจะพูดถึงบุคคลที่สามต้องพูดด้วยความระมัดระวัง ด้วยเจตนาที่ดี ไม่บิดเบือนความจริง และไม่เป็นการให้ร้ายคนที่เรากล่าวถึง..เรื่องเงินสี่บาทฯ เป็นเรื่องการพูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี โดยเฉพาะประเภทคนลืมตัว หลายท่านคงเคยได้ยินคำว่า "คนลืมตัว วัวลืมตีน" แต่คุณยายจิ๊บไม่ใช้คำนั้น และจิ๊บก็ชื่นชมคุณยายมากที่ท่านมีคำอื่นที่จะใช้กับคนประเภทนี้ได้ดีแบบไม่ต้องรุนแรง และไม่ฟังดูหยาบคาย คุณยายมักจะพูดถึงคนประเภทนี้ว่า "คนพวกนี้คือ พวกกระเทียมตื่นฝุ่น นุ่นตื่นลม ขนมตื่นน้ำยา พอแสงเงินแสงทองจับเข้าหน่อยก็ชูคอเป็นกิ้งก่า เข้าตำรา เงินสี่บาทฝังใต้กระดานกี่แท้ๆ "  วลีแรกๆ ก็ยังพอคาดเดาความหมายได้  แต่วลีเด็ดอันสุดท้ายเนี่ยสิ..พูดภาษาอย่างวัยรุ่นสมัยนี้ก็ว่า "มันคืออัลไล" ครั้นถูกถามว่า เงินสี่บาทอะไรเนี่ย มันหมายความว่าอย่างไร ก็ได้รับคำตอบเป็นนิทานหนึ่งเรื่องกันเลยทีเดียวค่ะ..เรื่องก็มีอยู่ว่า....
    กาลครั้งหนึ่งมีคหบดีเศรษฐีคนหนึ่ง มีบ้านอัครฐานใหญ่โต ทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลเหลือจะคณานัป และมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนหนึ่งอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ยังไม่มีคู่ตุนาหงันเสียที อีกอย่างท่านพ่อท่านแม่ของชายหนุ่มก็ต้องการจะได้สะใภ้ที่ดีพร้อม สามารถดูแลครอบครัวและทรัพย์สมบัติอภิมาหาศาลของแกได้ ทันใดนั้นภรรยาท่านเศรษฐี สอดส่ายสายตามองมามองไป ก็เหลือบไปเห็นสาวน้อยหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง นางก็มิใช่ใครอื่น เป็นลูกสาวของพ่อบ้านข้าเก่าเต่าเลี้ยงในบ้านนี่เอง พิศดูหน้าตาก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา ผิวพรรณรึ ก็นวลเนียนเพราะทำหน้าที่ทอผ้า เย็บปักถักร้อย และทำครัวในเรือนมิได้ออกไปตากแดด แบกหามตำข้าวกลางแจ้งเหมือนบ่าวไพร่คนอื่นๆ คำพูดคำจาสุภาพเรียบร้อย กิริยามารยาทก็ไม่เลว ชดช้อยน่ารักทีเดียว แหม..ถ้าได้แม่สาวน้อยคนนี้มาเป็นลูกสะใภ้คงเหมาะเหม็งดีเหมือนกันนะ..ว่าแล้วคุณนายแม่ก็เสนอเรื่องต่อท่านเศรษฐีทันที ...
   แต่ช้าก่อน..อย่าคิดว่าจะแปลงกายเป็นนางซินกันได้ง่ายๆ มันต้องมีการเทสต์ก่อนนะยะ...ว่าแล้วก็เรียกนางมาเข้าคอร์สทดสอบกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง ด้วยการเรียกให้แม่สาวน้อยเข้ามานั่่งทอผ้าที่ใต้ถุนเรือนใหญ่ของท่านเศรษฐีทุกวันนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป...แต่..อนิจจา ...แม่สาวน้อยร้อยชั่งหารู้ไม่ว่า...อู๊ยยย ตื่นเต้นๆ   ท่านผู้อ่านตื่นเต้นไหม ?  ห๊า ไม่เหรอ..แล้วกัน ..ฮ่าๆๆๆ อ้ะ เล่าต่อๆ  
  คุณนายแม่ได้ทำพิธีเล็กน้อย โดยเอาเงินหนึ่งตำลึงทอง (เท่ากับ ๔ บาท) ซึ่งสมัยก่อนมีค่ามากนะคะ เอาไปฝังไว้ใต้กี่ทอผ้าที่จะให้แม่สาวน้อยว่าที่ลูกสะใภ้นั่งทอผ้า ดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น......

กี่ทอผ้า



       ปรากฏว่า...พอแม่นางน้อยเข้านั่งทอผ้าปุ๊บ....รัศมีเงิน ๑ ตำลึงทองก็แผ่อำนาจเหนือนางขึ้นมาทันที จากที่เคยสงบเสงี่ยมเจียมตัว พูดจาไพเราะอ่อนหวาน อ่อนน้อมถ่อมตนเจียมเนื้อเจียมตัว..กลายเป็นว่า พูดจาโอหัง ใครเดินผ่านมาทักทายนางก็วางอำนาจบาทใหญ่คุยโว หยาบหยาม ยิ่งไปกว่านั้น ไก่เป็ดเดินผ่านมาหาจิกข้าวเปลือกข้าวสารกิน นางเห็นนางก็ด่าทอ หมูหมาเดินผ่านหน้านางด่าเช็ดไม่เว้น เป็นอย่างนั้นทุกวัน เห็นดังนั้น ท่านเศรษฐี และภริยาก็คาดการณ์ว่า ต่อไปในภายภาคหน้า หากนางได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาอยู่ในที่สะใภ้เศรษฐีมีทรัพย์มากมายในครอบครองนางคงจะหลงใหลในลาภยศเงินทองเป็นแน่แท้ เป็นอันว่านางคนนี้เทสต์ไม่ผ่าน ต้องซมซานกลับไปเป็นไพร่ตามเดิม...นี่ละค่ะอำนาจเงิน ทำให้นางกลายเป็น "แม่เงินสี่บาทฝังใต้กระดานกี่" ไปในที่สุด

...คำด่าคุณยายชุดที่สอง.."ทำตัวเป็นหนอน"






   
   ไม่เกี่ยวกับภาพประกอบหนอนไม้ไผ่นะคะ จิ๊บเกรงว่าถ้าเอาภาพประกอบสมจริงโพสต์นี้ของจิ๊บคงไม่น่าพิศวาสเป็นแน่  เปลี่ยนเป็นภาพหนอนไม้ไผ่คั่วเกลือหอมๆ ค่อยดีหน่อย งั้น ..มาฟังนิทานเรื่องหนอนของคุณตาคุณยายกันเลยค่ะ...อันนี้ก็ฟังคล้ายจะด่า แต่มันยังไงกันล่ะ..
   วันหนึ่งคุณลุงทองสุขมากราบเยี่ยมตอนที่คุณยายไม่สบาย ซึ่งนับเนื่องแล้วคุณลุงสุขก็เป็นพี่ชายของแม่เพราะเป็นลูกคุณยายเขียวน้องสาวของคุณยายนั่นเอง หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบแล้วคุยกันไปกันมาก็ได้เรื่อง คือได้เรื่องจริงๆนะคะ ได้นิทานคติสอนใจอีกเรื่องหนึ่งเลย..
   อันว่าคุณลุงสุขนี้ ท่านเป็นคนใจดีมากๆ โดยเฉพาะเวลาเมาเหล้า...
   จิ๊บจำได้ว่าตอนเด็กๆ จิ๊บกลัวคนเมามาก ทั้งกลัวทั้งเกลียด ไม่อยากเห็น เป็นต้นว่า "ยายแต้ม" อดีตคุณนายปลัดอำเภอคนหนึ่ง ยายแต้มแกกินเหล้าเมาทุกวัน บ้านแกอยู่หลังบ้านพักนายอำเภอ ตกเย็นแกก็จะเดินออกไปซื้อเหล้าดื่มจนเมาหนำใจแล้วก็เดินกลับบ้าน ผ่านสนามหน้าที่ว่าการอำเภอซึ่งเป็นลานสำหรับพวกเราเด็กๆ วิ่งเล่นกันหลังกลับจากโรงเรียน พอยายแต้มเดินผ่านมา พวกพี่ๆที่โตๆ ก็จะตะโกนว่า "ยายแต้มมาแล้ว" พวกเรารุ่นเล็กก็วิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุน ทั้งที่ยายแต้มแกไม่ได้จะทำร้ายเราหรอก แกแค่เมา แล้วก็พูดพล่ามเพ้อเจ้อไปตลอดทางเท่านั้น แต่พอถูกพวกเด็กๆล้อเข้ามากๆ แกก็เลยอดไม่ไหวด่าเข้าให้มั่ง อีกอย่างรูปลักษณ์ของยายแต้มก็ค่อนข้างน่ากลัวสำหรับเด็กจินตนาการสูงอย่างจิ๊บ ซึ่งคิดเอาเองว่า ยายแต้มนี้แกช่างเหมือนแม่มดเสียจริง เพราะว่าผมยาวหงอกขาวทั้งหัวที่มุ่นมวยไว้หลุดรุ่ยปรกหน้าปรกตา หน้าตาตัวขาวซีด เวลาเมาหน้าก็แดงตาก็แดงเถือก แถมยังโตถลนเสียนี่กระไร แต่แม่เล่าว่า สมัยก่อนที่จะมาแต่งงานกับคุณตาปลัด ยายแต้มเป็นนางงามมาก่อน หน้าตาแกสวยมาก ตาคมโต จมูกโด่งผิวขาว รูปร่างสูงโปร่ง เป็นคุณนายปลัดที่สวยมาก แต่ยายแต้มไม่ใช่ภรรยาเอกเพราะคุณตาปลัดไปแต่งมาหลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิตไป แต่ความหลงในรูปร่างอันงามของตัวเองและตำแหน่งคุณนายที่มีเกียรติมีหน้ามีตา ทำให้ยายแต้มตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอยู่ในวังวนของความสุขสบายและอบายมุข วันๆ ยายแต้มไม่ทำอะไร นอกจากแต่งตัวสวย เล่นไพ่ งานบ้านไม่หยิบจับและทำไม่เป็น คุณสมบัติดีอันเดียวที่ยายแต้มมีคือความสวย หลังจากคุณตาปลัดเสียชีวิต ยายแต้มก็หันมาดื่มเหล้าเสริมให้ชีวิตตกต่ำลงไปอีก และกลายเป็นยายแก่ขี้เมา ตัวเหม็นแต่เหล้า เป็นยายแม่มดที่น่าหวาดกลัวในสายตาจิ๊บและเด็กๆ คนออื่น  เห็นเมื่อไหร่ก็หวาดกลัวทั้งขยะแขยงพากันวิ่งหนี บางคนก็ล้อเลี่ยนเป็นที่น่าสมเพท..
   กลับมาที่คุณลุงสุขของจิ๊บ นี่ก็เมาเหล้าเหมือนกัน.. จิ๊บก็กลัวแต่ในที่สุดคุณลุงสุขก็คิดค้นวิธีทำให้จิ๊บหายกลัวคุณลุงได้..จุดอ่อนของจิ๊บคือ...ความงกกับความขี้เหนียวค่ะท่านผู้อ่าน..ฮ่าๆๆๆ  คุณลุงสุขเอาเงินมาล่อ อ๊ะๆๆๆ ไม่ค่ะ ไม่ใช่จะหลอกจิ๊บได้ง่ายๆนะยะ..ต้องซับซ้อนนิดหน่อย ..
   คุณลุงซื้อกระปุกออมสินรูปแมวมาเป็นตัวช่วย หลังจากสวัสดีแล้วจิ๊บเตรียมจะวิ่งหนี คุณลุงก็เรียกว่ามาหาลุงก่อน ลุงมีอะไรจะให้ดู...แล้วคุณลุงก็เอาเหรียญหย่อนกระปุกแมว หย่อนปุ๊บก็แกล้งทำเสียงเมี๊ยว.. แล้วก็หย่อนอีก แล้วก็ทำเสียงแมวทั้งแมวตัวผู้แมวตัวเมีย แมวนานาชนิดที่เสียงแตกต่างกัน แล้วให้จิ๊บลองหยอดกระปุกบ้าง แค่นี้แหละจิ๊บก็สนุกใหญ่ หายกลัวคุณลุงสุขแถมได้เงินเป็นกอบเป็นกำกันทีเดียว ...นี่ละค่ะความใจดีของคุณลุงสุขทำให้จิ๊บสนุก หายหวาดกลัว แต่คุณยาย คุณตาเทียบ น้องชายคุณยาย และคุณยายคนอื่นๆ ไม่สนุกกับความ "ขี้เมา" ของคุณลุงสุข เอาเสียเลย ทุกคนพร่ำบอกให้คุณลุงสุขเลิกดื่มเหล้า ใช้ทั้งไม้แข็งไม้นวมแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนอกอ่อนใจไปตามๆกัน ในที่สุดทุกคนก็ลงความเห็นว่าคุณลุงสุขนี่ "ทำตัวเป็นหนอน"..
คุณลุงสุขถึงกับอึ้ง ไม่ได้จุก ไม่ได้เจ็บหรอกค่ะ แต่แก งง...
   คุณตาเทียบเลยเล่านิทานเรื่องหนอนให้ฟังว่า.....
   กาลครั้้งหนึ่งนานมา(อีก) แล้ว..มีชายหนุ่ม ๒ คนเป็นเเพื่อนรักกันมาก ด้วยผลบุญและผลกรรมเมื่อตายไป ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ปฏิบัติแต่ความดีก็ไปเกิดเป็นเทวดา ส่วนชายหนุ่มอีกคนในชีวิตทำแต่สิ่งไม่ดีจนตายไปต้องไปเกิดเป็นหนอนอยู่ใต้ฐาน (แปลว่าส้วม) วันหนึ่งเทวดาองค์นั้นเล็งเห็นด้วยตาทิพย์ว่าเพื่อนรักตอนนี้ไปเกิดเป็นหนอนอยู่ใต้ฐาน ซึ่งเป็นที่สกปรก ชื้นแฉะ มีความทุกขเวทนาเป็นอันมาก ก็นึกสงสารอยากจะช่วยเพื่อนให้พ้นความทุกข์ จึงเหาะลงมาจากสวรรค์ จับหนอนเพื่อรักไปชำระล้างเนื้อตัวจนสะอาด แล้วชะโลมเครื่องหอม พาไปนอนบนพานทองปูด้วยกำมะหยี่ที่แสนจะนุ่มนิ่ม แต่ อนิจจา..เพื่อนหนอนกลับนอนหายใจรวยริน กำลังจะหมดลมหายใจ เพื่อนเทวดาประหลาดใจมาก จึงถามเพื่อนหนอนว่า "เจ้าเป็นอะไรไปเพื่อนรัก เราอุตส่าห์ช่วยเพื่อนขึ้นมาอยู่บนพานทองแสนสบายนี้ ทำไมเพื่อนจึงดูมีความทุกข์ทรมานเหมือนจะขาดใจตายเช่นนี้"
...เพื่อนหนอนตอบว่า..."เพื่อนเอ๋ยเราขอบคุณน้ำใจของเพื่อนนัก ชาติหน้าขอให้เราได้มีโอกาสตอบแทนน้ำใจเพื่อนบ้าง ชาตินี้เราคงต้องขอลาเพื่อนไปแล้ว.."
เทวดาจึงว่า "ถ้าเช่นนั้นเราจะใช้อิทธิฤทธิ์เนรมิตให้เจ้าไม่ต้องตาย .."
เพื่อนหนอนตอบว่า "ขอบใจมากเพื่อนรัก เราเป็นหนอนมีชีวิตอยู่ใต้ฐานที่สกปรกและชื้นแฉะมีความสุขในสภาพนี้ ผิดกับการที่ต้องมานอนในที่สะอาด และหอมกรุ่นนี้ ตัวเราแห้งผากเช่นนี้เรารู้สึกทรมาน และต้องการอยู่น้ำครำมากกว่า หากจะให้เราอยู่อย่างนี้เราคงต้องตายแน่นอน เพื่อนช่วยเอาเราไปปล่อยไว้ที่ฐานเหมือนเดิมเถิดนะ...." เอวัง...ก็กลับไปที่เก่าจนได้..
...นี่ละค่ะ ที่คุณยายคุณตาทุกคนบอกว่าคุณลุงทองสุข .."ทำตัวเป็นหนอน...."
...แต่ว่าหากจะเป็นหนอนก้เป็นหนอนไม้ไผ่ดีกว่า กิโลตั้งเป็นพันแน่ะ...


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น