วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ทศชาติชาดก : ชาติที่ 5 มโหสถชาดก ( ปัญญาบารมี ) (๑)






ทศชาติชาดก : ชาติที่ 5 มโหสถชาดก ( ปัญญาบารมี ) 


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ พระปัญญาบารมีของพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดัง


ความย่อว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา เมื่อจะสรรเสริญพระปัญญาบารมีของพระตถาคต ได้นั่งสรรเสริญพระคุณของพระศาสดาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระตถาคตเป็นผู้มีพระปัญญาใหญ่ มีพระปัญญากว้างขวาง มีพระปัญญาร่าเริง มีพระปัญญาลึกซึ้ง มีพระปัญญาดุจแผ่นดิน มีพระปัญญาแหลม มีพระปัญญาว่องไว มีพระปัญญาแทงตลอด ย่ำยีเสียซึ่งวาทะแห่งคนอื่น ทรงทรมานเหล่าพราหมณ์ มีกูฏทันตพราหมณ์เป็นต้น เหล่าปริพาชกมีสัพภิยปริพาชกเป็นต้น เหล่ายักษ์มีอาฬวกยักษ์เป็นต้น เหล่าเทวดามีท้าวสักกเทวราชเป็นต้น เหล่าพรหมมีพกพรหมเป็นต้น และเหล่าโจรมีโจรองคุลิมาลเป็นต้น ด้วยพระปัญญานุภาพของพระองค์ ทรงทำให้สิ้นพยศ พระองค์ทรงทรมานชนเป็นอันมากประทานบรรพชาให้ตั้งอยู่ในมรรคผล พระศาสดามีพระปัญญาใหญ่ ด้วยประการฉะนี้ 

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนาถึงเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในกาลนี้เท่านั้นที่ตถาคตมีปัญญา แม้ในอดีตกาล เมื่อญาณยังไม่แก่กล้า ยังบำเพ็ญบุรพจรยาเพื่อประโยชน์แก่พระโพธิญาณอยู่ ก็เป็นผู้มีปัญญาเหมือนกัน ตรัสฉะนี้แล้วทรงดุษณีภาพ ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลวิงวอนให้ทรงประกาศบุรพจริยา จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล มีพระราชาพระนามว่า วิเทหะ เสวยราชสมบัติในกรุงมิถิลา แคว้นวิเทหะ มีบัณฑิต ๔ คน ชื่อเสนกะ, ปุกกุสะ, กามินทะ และ เทวินทะ บัณฑิตเหล่านี้เป็นผู้ถวายอนุศาสนอรรถธรรมแด่พระเจ้าวิเทหราชนั้น 

ในวันพระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิ พระเจ้าวิเทหราชทรงพระสุบินว่า ที่มุมพระลานหลวงทั้ง ๔ มุม มีกองเพลิง ๔ กองประมาณเท่ากำแพงใหญ่ลุกโพลง ในท่ามกลางกองเพลิงทั้ง ๔ นั้น มีกองเพลิงเล็กกองหนึ่งขนาดประมาณเท่าหิ่งห้อย ลุกโพลงล่วงเลยกองเพลิงทั้ง ๔ ลุกสูงขึ้นไปจนจดประมาณอกนิฏฐพรหมโลก ส่องแสงสว่างไปทั่วจักรวาล สิ่งที่ตกบนพื้นแม้มีขนาดเล็กเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดก็สามารถมองเห็น ทั้งเทวดา ทั้งมาร ทั้งพรหมมาบูชากองไฟนั้น ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น มหาชนเที่ยวอยู่ในระหว่างเปลวเพลิง ก็มิได้ร้อนแม้สักว่าขุมขน 

พระราชาทรงเห็นพระสุบินนี้แล้วก็ทรงหวาดสะดุ้ง เสด็จลุกขึ้นประทับนั่ง ทรงจินตนาการอยู่จนอรุณขึ้นว่า เหตุการณ์อะไรหนอจะเกิดขึ้นแก่เรา รุ่งเช้าเมื่อบัณฑิตทั้ง ๔ มาเฝ้าแล้วทูลถามถึงสุขไสยาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์บรรทมเป็นสุขหรือ 

พระราชาตรัสตอบว่า ท่านอาจารย์ความสุขจะมีแก่เราได้อย่างไร ในเมื่อเราได้ฝันเห็นอย่างนี้ แล้วทรงตรัสเล่าเรื่องความฝันของพระองค์ให้บัณฑฺตทั้งสี่ได้รับฟัง

ลำดับนั้น เสนกบัณฑิตทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์อย่าได้ตกพระหฤทัย พระสุบินนั้นเป็นมงคล ความเจริญจักมีแด่พระองค์ 

เมื่อมีพระราชดำรัสถามว่า เพราะเหตุไร จึงทูลว่าข้าแต่มหาราช บัณฑิตที่ ๕ อีกคนหนึ่งจักเกิดขึ้น ครอบงำพวกข้าพระองค์ซึ่งเป็นบัณฑิตทั้ง ๔ ทำให้หมดรัศมี พวกข้าพระองค์ทั้ง ๔ คน เหมือนกองเพลิง ๔ กอง บัณฑิตที่ ๕ จักเกิดขึ้น เหมือนกองเพลิงที่เกิดขึ้นในท่ามกลาง บัณฑิตนั้นย่อมไม่มีผู้เสมอทั้งในโลกทั้งเทวโลก 

พระเจ้าวิเทหราชตรัสถามว่า ก็บัดนี้บัณฑิตนั้นอยู่ที่ไหน 

เสนกบัณฑิตทูลพยากรณ์ราวกะเห็นด้วยทิพยจักษุเพราะกำลังแห่งการศึกษาของตนว่า บัณฑิตนั้นจักคลอดจากครรภ์มารดาในวันนี้

พระราชาทรงระลึกถึงคำแห่งเสนกบัณฑิตนั้นนับแต่นั้นมา

ก็บ้านทั้ง ๔ คือ บ้านชื่อทักขิณยวมัชฌคาม ๑ ปัจฉิมยวมัชฌคาม ๑ อุตตรยวมัชฌคาม ๑ ปาจีนยวมัชฌคาม ๑ ตั้งอยู่ที่ประตูทั้ง ๔ แห่งกรุงมิถิลา

ในบ้านทั้ง ๔ นั้น เศรษฐีชื่อสิริวัฒกะอยู่ในบ้านชื่อปาจีนยวมัชฌคาม ภรรยาของเศรษฐีนั้นชื่อสุมนาเทวี วันนั้นพระมหาสัตว์จุติจากดาวดึงส์พิภพ ถือปฏิสนธิในครรภ์แห่งนางสุมนาเทวี ในเวลาที่พระราชาทรงพระสุบิน เทพบุตรอีกพันหนึ่งก็จุติจากดาวดึงส์พิภพมาถือปฏิสนธิในตระกูลแห่งเศรษฐีใหญ่น้อยในบ้านนั้นนั่นเอง ฝ่ายนางสุมนาเทวี เมื่อเวลาล่วงมาได้ ๑๐ เดือน.ก็คลอดบุตรมีผิวพรรณวรรณะดุจทองคำ 

ขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชทอดพระเนตรดูมนุษยโลก ก็ทรงทราบว่าพระมหาสัตว์คลอดจากครรภ์มารดาแล้ว ทรงคิดว่า ควรเราจะทำพระพุทธางกูรนี้ให้ปรากฏทั้งในโลกทั้งเทวโลก ในเวลาที่พระมหาสัตว์คลอดจากครรภ์มารดา จึงเสด็จมาด้วยอทิสมานกายไม่มีใครเห็นพระองค์ วางแท่งโอสถแท่งหนึ่งที่หัตถ์แห่งพระมหาสัตว์นั้น แล้วเสด็จกลับไปยังทิพยพิมานแห่งตน

พระมหาสัตว์รับแท่งโอสถนั้นกำไว้ ก็เมื่อพระมหาสัตว์คลอดจากครรภ์นั้น ความทุกข์มิได้มีแก่มารดาแม้สักหน่อยหนึ่ง คลอดง่ายคล้ายเทน้ำออกจากหม้อฉะนั้น นางสุมนาเทวีเห็นแท่งโอสถในมือของบุตรนั้น จึงถามว่า พ่อได้อะไรมา

บุตรนั้นตอบมารดาว่า โอสถจ๊ะแม่ แล้ววางทิพยโอสถในมือมารดา กล่าวว่า ข้าแต่แม่ แม่จงให้โอสถนี้แก่พวกคนที่เจ็บป่วยเถิด 

นางสุมนาเทวีมีความร่าเริงยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงบอกแก่สิริวัฒกเศรษฐีผู้สามี ก็เศรษฐีนั้นป่วยเป็นโรคปวดศีรษะมา ๗ ปี ได้ยินดังนั้นก็มีความร่าเริงยินดี คิดว่ากุมารนี้เมื่อเกิดแต่ครรภ์มารดาก็ถือโอสถมา ทั้งพูดกับมารดาได้ในขณะที่เกิดนั่นเอง โอสถที่ผู้มีบุญเช่นนี้ให้คงจักมีอานุภาพมาก คิดฉะนี้แล้วจึงถือโอสถนั้นฝนที่หินบด แล้วเอาโอสถหน่อยหนึ่งทาที่หน้าผาก โรคปวดศีรษะที่เป็นมา ๗ ปีก็หายไป ดุจน้ำหายไปจากใบบัวฉะนั้น ท่านเศรษฐีนั้นมีความดีใจว่า โอสถมีอานุภาพมาก 

เรื่องพระมหาสัตว์ถือโอสถมา ก็ปรากฏไปในที่ทั้งปวง บรรดาผู้เจ็บป่วยทั้งหลายนั้นต่างก็พากันมาที่บ้านท่านเศรษฐีเพื่อขอยา ฝ่ายท่านเศรษฐีก็ถือเอาโอสถหน่อยหนึ่งฝนที่หินบด ละลายน้ำให้แก่คนทั้งปวง เพียงเอาทิพยโอสถทาสรีระเท่านั้น ความเจ็บป่วยทั้งปวงก็สงบ มนุษย์ทั้งหลายได้ความสุขแล้วก็สรรเสริญว่า โอสถในเรือนท่านสิริวัฒกเศรษฐีมีอานุภาพมาก แล้วกลับไป

ในวันตั้งชื่อพระมหาสัตว์ ท่านมหาเศรษฐีคิดว่า เราไม่ต้องการนำเอาชื่อบรรพบุรุษมาเป็นชื่อบุตรของเรา บุตรของเราจงชื่อโอสถ เพราะเมื่อเขาเกิดถือโอสถมาด้วย แต่นั้นมาจึงตั้งชื่อพระมหาสัตว์นั้นว่า มโหสถกุมารเพราะอาศัยคำที่เกิดขึ้นว่า โอสถนี้มีคุณมาก โอสถนี้มีคุณมาก ด้วยประการฉะนี้

ลำดับนั้น ท่านเศรษฐีได้มีความคิดว่า บุตรของเรามีบุญมาก จักไม่เกิดคนเดียวเท่านั้น ทารกทั้งหลายที่เกิดพร้อมกับบุตรของเรานี้จะต้องมี จึงให้ตรวจตราดู ก็ได้ข่าวพบทารกเกิดวันเดียวกัน ๑ พันคน จึงให้เครื่องประดับแก่กุมารทั้งหมด และให้นางนม ๑ พันคน ให้ทำมงคลแก่ทารกเหล่านั้นพร้อมกับพระโพธิสัตว์ทีเดียว ด้วยคิดว่า ทารกเหล่านี้จักเป็นผู้ปฏิบัติบำรุงบุตรของเรา นางนมทั้งหลายตกแต่งทารกแล้วนำมาบำเรอพระมหาสัตว์ 

พระโพธิสัตว์เล่นอยู่ด้วยทารกเหล่านั้น จนเมื่อเจริญวัยมีอายุได้ ๗ ขวบ มีรูปงามราวกะรูปทองคำ เมื่อพระโพธิสัตว์เล่นอยู่กับทารกเหล่านั้นในสนามกลางหมู่บ้าน 

วันหนึ่งเมื่อเขาเหล่านั้นกำลังเล่นกันอยู่ เมฆฝนก็ตั้งเค้าขึ้น พระมหาสัตว์ผู้มีกำลังดุจช้างสาร เห็นเมฆตั้งขึ้นก็วิ่งเข้าสู่ศาลาหลังหนึ่ง พวกทารกอื่นวิ่งตามไปทีหลังพระมหาสัตว์ ก็เหยียบเท้าของกันและกันพลาดล้มถึงเข่าแตกเป็นต้น พระโพธิสัตว์จึงคิดว่า ควรทำศาลาเป็นที่เล่นในสถานที่นี้ เราทั้งหลายจักไม่ลำบากอย่างนี้ จึงแจ้งแก่ทารกเหล่านั้นว่า พวกเราลำบากด้วยลม ฝน และแดด พวกเราจักสร้างศาลาหลังหนึ่งในที่นี้ ให้พอเป็นที่ยืนนั่ง และนอนได้ ท่านทั้งหลายจงนำกหาปณะมาคนละหนึ่งกหาปณะ ทารกเหล่านั้นก็กระทำตามนั้น 

พระมหาสัตว์ให้เรียกนายช่างใหญ่มากล่าวว่า ข้าแต่พ่อท่านจงสร้างศาลาในที่นี้ แล้วได้ให้กหาปณะพันหนึ่งแก่เขา นายช่างใหญ่รับคำรับกหาปณะพันหนึ่งแล้ว ปราบพื้นที่ให้เสมอขุดหลักตอออกแล้วขึงเชือกกะที่ พระมหาสัตว์เห็นวิธีขึงเชือกของนายช่าง จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญท่านอย่าขึงเชือกอย่างนี้จงขึงให้ดี 

นายช่างกล่าวว่า นาย ข้าพเจ้าขึงตามวิชาที่ข้าพเจ้าเรียนมา การขึงอย่างอื่นนอกจากนี้ข้าพเจ้าไม่รู้ 

พระมหาสัตว์กล่าวว่า แม้เพียงเท่านี้ก็ไม่รู้ ท่านจักรับทรัพย์ของพวกเราทำศาลาได้อย่างไร จงนำเชือกมาเราจักขึงให้ท่าน 

แล้วจึงให้นำเชือกมาแล้วก็ขึงด้วยตนเอง เชือกที่พระมหาสัตว์ขึง ได้เป็นประหนึ่งพระวิสสุกรรมเทพบุตรขึง และแล้วพระมหาสัตว์ได้กล่าวกะนายช่างว่าท่านสามารถขึงเชือกได้อย่างนี้ไหม 

ไม่สามารถ นาย

ถ้าเช่นนั้นท่านสามารถทำตามความเห็นของเราได้ไหม 

สามารถ นาย

พระมหาสัตว์จัดแบ่งที่ศาลาให้เป็นส่วน ๆ คือ ห้องสำหรับหญิงอนาถาคลอดบุตรห้องหนึ่ง ห้องสำหรับสมณพราหมณ์ผู้อาคันตุกะมาพักห้องหนึ่ง ห้องสำหรับคฤหัสถ์ผู้อาคันตุกะมาพักห้องหนึ่ง ห้องสำหรับเก็บสินค้าของพวกพ่อค้าผู้อาคันตุกะมาพักห้องหนึ่ง ทำห้องเหล่านั้นทั้งหมดให้มีประตูทางหน้ามุข ให้ทำสนามเล่น ที่วินิจฉัยแม้โรงธรรมอย่างนั้น ๆ 

เมื่อศาลาแล้วเสร็จก็ให้เรียกช่างเขียนมาเขียนรูปอันน่ารื่นรมย์ โดยตนเป็นผู้สั่งการเอง ศาลานั้นก็งดงามเปรียบด้วยเทวสภาชื่อสุธรรมา

แต่นั้น พระมหาสัตว์ดำริว่าเพียงเท่านี้ ศาลายังหางามไม่ ควรสร้างสระโบกขรณีด้วยถึงจะงาม จึงให้ขุดสระโบกขรณี ให้เรียกช่างอิฐมา ให้สร้างสระโบกขรณีให้มีคดลดเลี้ยวนับด้วยพัน ให้มีท่าลงนับด้วยร้อย โดยความคิดของตน สระโบกขรณีนั้นดาดาษด้วยปทุมชาติ ๕ชนิด เป็นราวกะว่านันทนโบกขรณี

ให้สร้างสวนปลูกต้นไม้ต่าง ๆ ทั้งไม้ดอกและไม้ผลริมฝั่งสระนั้น ดุจอุทยานนันทนวัน และใช้ศาลานั้นแหละเริ่มตั้งทานวัตร เพื่อสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติธรรม และผู้เดินทางที่จรมาเป็นต้น การกระทำของพระมหาสัตว์นั้นได้ปรากฏไปในที่ทั้งปวง มนุษย์เป็นอันมากได้มาอาศัยศาลานั้น พระมหาสัตว์นั่งในศาลานั้น กล่าวสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ สิ่งที่ถูกและผิด แก่ผู้ที่มาแล้ว ๆ เริ่มตั้งการวินิจฉัย กาลนั้นได้เป็นเสมือนพุทธุปบาทกาล

ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราช เมื่อเวลาล่วงไปได้ ๗ ปี ทรงระลึกได้ว่า บัณฑิตทั้ง ๔ กล่าวแก่เราว่า บัณฑิตที่ ๕ จักเกิดขึ้นครอบงำพวกเขา บัณฑิตคนที่ ๕นั้นบัดนี้อยู่ที่ไหน จึงโปรดให้อำมาตย์ ๔ คนไปสืบเสาะหาทางประตูทั้ง ๔ ด้านให้รู้สถานที่อยู่แห่งบัณฑิตนั้น

อำมาตย์ผู้ออกไปทางประตูอื่น ๆ ไม่พบพระมหาสัตว์ อำมาตย์ผู้ออกไปทางประตูด้านปราจีนทิศ นั่งที่ศาลาคิดว่า ศาลาหลังนี้ต้องคนฉลาดทำเองหรือใช้ให้คนอื่นทำ จึงถามคนทั้งหลายว่า ศาลาหลังนี้ช่างไหนทำ คนทั้งหลายตอบว่า ศาลาหลังนี้นายช่างไม่ได้ทำเอง แต่ได้ทำตามวิจารณ์ของมโหสถบัณฑิตผู้เป็นบุตรของสิริวัฒกเศรษฐี ด้วยกำลังปัญญาแห่งตน 

อำมาตย์ถามว่า ก็บัณฑิตอายุเท่าไร 

คนทั้งหลายตอบว่า ๗ ปีบริบูรณ์

อำมาตย์นับปีตั้งแต่วันที่พระราชาทรงเห็นพระสุบิน ก็ทราบว่า บัณฑิตนั้นคือผู้นี้เอง สมกับพระราชาทรงเห็นพระสุบิน จึงส่งทูตไปทูลพระราชาว่าขอเดชะ บุตรของสิริวัฒกเศรษฐีในบ้านปาจีนยวมัชฌคาม ชื่อมโหสถบัณฑิตอายุได้ ๗ ปี ให้สร้างศาลา สระโบกขรณี และอุทยานอย่างนี้ ๆ ข้าพระบาทจะพาบัณฑิตนี้มาเฝ้าหรือยัง

พระราชาทรงสดับประพฤติเหตุนั้น มีพระหฤทัยยินดี รับสั่งให้หาเสนกบัณฑิตมาตรัสเล่าเนื้อความนั้นแล้วดำรัสถามว่า เป็นอย่างไร ท่านอาจารย์เสนกะ เราจะนำบัณฑิตนั้นมาหรือยัง

เสนกบัณฑิตนั้นเป็นคนตระหนี่ จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิตด้วยเหตุเพียงให้สร้างศาลาเป็นต้น ใคร ๆ ก็ให้สร้างได้ ข้อนั้นยังเป็นการเล็กน้อย 

พระราชาทรงสดับคำของเสนกบัณฑิตก็ทรงนิ่งอยู่ ทรงส่งทูตของอำมาตย์กลับไปพร้อมกับสั่งว่าอำมาตย์จงอยู่ในที่นั้นพิจารณาดูบัณฑิตไปก่อน อำมาตย์ได้ฟังพระราชดำรัสนั้นก็ยับยั้งอยู่ที่นั้น พิจารณาดูบัณฑิตต่อไป ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้เกิดเรื่องที่พิจารณา รวม ๑๙ หัวข้อ ดังนี้


๑ ชิ้นเนื้อ ๒ โค ๓ เครื่องประดับทำเป็นปล้อง ๆ ๔ กลุ่มด้าย ๕ บุตร ๖ คนเตี้ยชื่อโคฬกาฬ ๗ รถ ๘ ท่อนไม้ ๙ ศีรษะคน ๑๐ งู ๑๑ ไก่ ๑๒ แก้วมณี ๑๓ ให้โคตัวผู้ตกลูก ๑๔ ข้าว ๑๕ ชิงช้าห้อยด้วยเชือก ทราย ๑๖ สระน้ำ ๑๗ อุทยาน ๑๘ ลา ๑๙ แก้วมณีบนรังกา (รวม ๑๙ ข้อ)

หัวข้อว่าชิ้นเนื้อ

วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ไปสู่สนามเล่น มีเหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบเอาชิ้นเนื้อมาจากเขียงฆ่าสัตว์ บินอยู่บนท้องฟ้า ทารกทั้งหลายเห็นเหยี่ยวคาบเนื้อบินมา ก็ติดตามไปด้วยคิดจะให้เหยี่ยวทิ้งชิ้นเนื้อนั้น เด็กเหล่านั้นวิ่งไปข้างโน้นข้างนี้ ตาแลดูเบื้องบน วิ่งตามไปข้างหลังเหยี่ยวนั้น เมื่อตาไม่ได้มองดูทาง ก็วิ่งพลาดสะดุดตอบ้าง แผ่นหินบ้างเป็นต้น ได้รับความลำบาก 

ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตกล่าวกะเด็กเหล่านั้นว่า เราจะให้เหยี่ยวนั้นทิ้งชิ้นเนื้อ พวกเจ้าทั้งหลายจงคอยดู มโหสถวิ่งไปด้วยกำลังเร็วดังลมตาไม่แลดูข้างบน แต่วิ่งตามเงาของเหยี่ยว ครั้นวิ่งทันพอเหยียบเงาเหยี่ยว ก็ตบมือร้องเสียงดังลั่นด้วยเดชานุภาพแห่งมหาสัตว์ เสียงนั้นดุจเข้าไปก้องในท้องของเหยี่ยวนั้น เหยี่ยวนั้นกลัวก็ทิ้งชิ้นเนื้อ พระมหาสัตว์แลดูเงาก็รู้ว่าเหยี่ยวทิ้งชิ้นเนื้อแล้ว ก็รับเอาชิ้นเนื้อนั้นในอากาศโดยไม่ตกพื้นดิน 

มหาชนเห็นการที่มหาสัตว์ทำดังนั้นเป็นอัศจรรย์ จึงบันลือโห่ร้องตบมือทำเสียงเซ็งแซ่ อำมาตย์ทราบประพฤติเหตุนั้นจึงส่งทูตไปทูลพระราชาอีกว่า ขอเดชะ มโหสถบัณฑิตได้ยังเหยี่ยวให้ทิ้งชิ้นเนื้อด้วยอุบายนี้ ขอสมมติเทพ จงทรงทราบประพฤติเหตุนี้ 

พระราชาทรงสดับดังนั้น จึงตรัสถามเสนกบัณฑิตว่า ท่านเสนกะ เราจะนำบัณฑิตมาหรือยัง

เสนกบัณฑิตคิดว่า นับแต่เวลาที่มโหสถกุมารมาในราชสำนักนี้ พวกเรา ๔ คน จักหมดรัศมี พระราชาจักไม่ทรงทราบว่าพวกเรามีอยู่ ไม่ควรให้นำมโหสถกุมารนั้นมา เพราะความตระหนี่ลาภ จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราช บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิตด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ข้อนั้นยังเป็นการเล็กน้อย พระราชาทรงมีพระองค์เป็นกลาง จึงส่งทูตนั้นกลับไปด้วยพระราชดำรัสสั่งว่า จงพิจารณามโหสถนั้นในที่นั้นต่อไป

หัวข้อว่า โค

บุรุษชาวปาจีนยวมัชฌคามคนหนึ่งคิดว่าเมื่อฝนตก เราจักไถนา จึงซื้อโคจากหมู่บ้านอื่นนำมาให้อยู่ในบ้าน รุ่งขึ้นนำไปสู่ที่มีหญ้าเพื่อให้หากิน ตนเองนั่งอยู่บนหลังโค ต่อมาเกิดความง่วงด้วยความเหน็ดเหนื่อย ก็ลงจากหลังโคแล้วนั่งที่โคนต้นไม้เลยหลับไป 

ขณะนั้นโจรคนหนึ่งจึงมาพาโคหนีไป บุรุษเจ้าของโคนั้นตื่นขึ้นมาไม่เห็นโค ค้นหาโคข้างโน้นข้างนี้ เห็นโจรจึงวิ่งไล่ไปโดยเร็วกล่าวว่า แกจะนำโคของข้าไปไหน 

โจรกล่าวตอบว่า แกพูดอะไร โคของข้าข้าจะนำโคของข้าไป

มหาชนต่างมาฟังชนทั้งสองวิวาทกันจนแน่น มโหสถบันฑิตได้ฟัง จึงให้เรียกคนทั้งสองมา เห็นกิริยาของคนทั้งสองก็รู้ว่า คนนี้เป็นโจร คนนี้เป็นเจ้าของโค แต่ถึงรู้ ก็ถามว่า ท่านทั้งสองวิวาทกันเพราะเหตุไร 

เจ้าของโคกล่าวว่า ข้าแต่นาย ข้าพเจ้าซื้อโคนี้มาจากคนชื่อนี้ที่หมู่บ้านโน้น นำมาให้อยู่ในบ้าน นำไปสู่ที่มีหญ้าแต่เช้า ชายนี้พาโคหนีไป เพราะเห็นข้าพเจ้าประมาทในเวลานั้น ข้าพเจ้ามองหาข้างโน้นข้างนี้เห็นชายคนนี้ จึงติดตามไปจับตัว ชาวบ้านโน้นรู้การที่ข้าพเจ้าซื้อโคนี้มา

ฝ่ายโจรกล่าวว่า โคนี้เกิดในบ้านของข้าพเจ้า ชายนี้พูดปด 

ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตจึงถามชายทั้งสองว่า เราจักวินิจฉัยความของท่านทั้งสองโดยยุติธรรมท่านทั้งสองจักยอมรับคำวินิจฉัยของเราหรือไม่ เมื่อคนทั้งสองรับแล้วจึงถามว่า โคเหล่านี้ท่านให้กินอะไร ให้ดื่มอะไร

โจรตอบว่า ข้าแต่ท่านบัณฑิต ข้าพเจ้าให้โคดื่มยาคู ให้กินงา แป้ง และขนมกุมมาส 

ต่อนั้นจึงถามเจ้าของโค เจ้าของโคตอบว่า อาหารมีข้าวยาคูเป็นต้น คนจนอย่างข้าจะได้ที่ไหนมา ข้าพเจ้าให้กินหญ้าเท่านั้น 

มโหสถบัณฑิตได้ฟังคำของคนทั้งสองนั้นแล้ว จึงให้คนของตนนำถาดมา ให้นำใบประยงค์มาตำในครก ขยำด้วยน้ำให้โคดื่ม โคก็อาเจียนออกมาเป็นหญ้า

มโหสถบันฑิตแสดงแก่มหาชนให้เห็นแล้วถามโจรว่า เจ้าเป็นโจรหรือมิใช่

โจรรับสารภาพว่าเป็นโจร มโหสถบัณฑิตให้โอวาทว่า ถ้าอย่างนั้น นับแต่นี้ไปเจ้าอย่าทำอย่างนี้ ฝ่ายบริษัทของพระโพธิสัตว์ก็ทุบตีโจรนั้นด้วยมือและเท้าทำให้บอบช้ำ 

ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตได้กล่าวสอนโจรนั้นว่า เจ้าจงเห็นทุกข์ของเจ้านี้ในภพนี้เพียงนี้ แต่ในภพหน้า เจ้าจักเสวยทุกข์ใหญ่ในนรกเป็นต้น นับแต่นี้ไปเจ้าจงละกรรมนี้เสีย แล้วให้เบญจศีลแก่โจรนั้น

อำมาตย์ทูลประพฤติเหตุนั้นแด่พระราชาตามความเป็นจริง พระราชาตรัสถามเสนกบัณฑิตว่า ท่านอาจารย์เสนกะ เราควรนำบัณฑิตนั้นมาหรือยัง เมื่อเสนกะทูลว่า ข้าแต่มหาราช คดีเรื่องโค ใคร ๆ ก็วินิจฉัยได้ บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิตด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ขอให้ทรงรอไปก่อน พระราชาทรงวางพระองค์เป็นกลาง จึงทรงส่งข่าวไปอย่างนั้นอีก ในหัวข้อต่อๆ ไปจักแสดงแต่เพียงเนื้อเรื่องนั้น ๆ เท่านั้น ในเรื่องที่พระราชาตรัสถามเสนกบัณฑิต และที่เสนกบัณฑิตคัดค้านก็มีเนื้อความเหมือนกันทุกเรื่อง

หัวข้อว่า เครื่องประดับทำเป็นปล้อง ๆ 

ยังมีหญิงเข็ญใจคนหนึ่งเปลื้องเครื่องประดับทำเป็นปล้อง ถักด้วยด้ายสีต่าง ๆ จากคอวางไว้บนผ้าสาฎก ลงสู่สระโบกขรณีที่มโหสถบัณฑิตให้ทำไว้ เพื่ออาบน้ำ หญิงรุ่นสาวคนหนึ่งเห็นเครื่องประดับนั้น เกิดความโลภ หยิบเครื่องประดับขึ้นชมว่าเครื่องประดับนี้งามเหลือเกิน เธอทำมาด้วยราคาเท่าไร แม้ฉันก็จักทำรูปเหล่านี้ บ้าง กล่าวชมฉะนี้แล้วประดับที่คอตน แล้วกล่าวว่า ฉันอยากจะพิจารณาเครื่องประดับนั้นก่อน หญิงเจ้าของกล่าวว่า จงพิจารณาดูเถิด เพราะหญิงเจ้าของเป็นคนมีจิตซื่อตรง 

หญิงรุ่นสาวประดับที่คอตนแล้วเดินหนีไป ฝ่ายหญิงเจ้าของเห็นดังนั้น ก็รีบขึ้นจากโบกขรณี นุ่งผ้าสาฎกแล้ววิ่งตามไปยึดผ้าไว้กล่าวว่า เอ็งจักถือเอาเครื่องประดับของข้าหนีไปไหน 

ฝ่ายหญิงขโมยกล่าวตอบว่า ข้าไม่ได้เอาของของแก เครื่องประดับคอของข้าต่างหาก 

มหาชนชุมนุมฟังวิวาทกัน ฝ่ายมโหสถบัณฑิตเล่นอยู่กับเหล่าทารกได้ฟังเสียงหญิงสองคนนั้นทะเลาะกันที่ประตูศาลา จึงถามว่านั่นเสียงอะไร เมื่อได้ฟังเหตุที่หญิงสองคนทะเลาะกันแล้ว จึงให้เรียกหญิงทั้งสองคนเข้ามา แม้รู้อยู่โดยอาการว่า หญิงนี้เป็นขโมย หญิงนี้มิใช่ขโมย ก็ถามเนื้อความนั้นแล้วกล่าวว่า เธอทั้งสองจักยอมรับคำวินิจฉัยของเราหรือไม่ เมื่อคนทั้งสองรับแล้ว มโหสถบัณฑิตจึงถามหญิงขโมยก่อนว่า เธอย้อมเครื่องประดับนี้ด้วยของหอมอะไร 

หญิงขโมยตอบว่า ข้าพเจ้าย้อมด้วยของหอมทุกอย่าง ของหอมที่ทำประกอบด้วยของหอมทั้งปวงชื่อว่าของหอมทุกอย่าง 

ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตจึงถามหญิงเจ้าของ นางตอบว่า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจ ของหอมทุกอย่างจะมีแต่ไหน ข้าพเจ้าย้อมด้วยของหอมคือดอกประยงค์เท่านั้นเป็นนิตย์ 

มโหสถบัณฑิตให้คนของตนกำหนดคำของหญิงทั้งสองนั้นไว้แล้วให้นำน้ำมาแล้วแช่เครื่องประดับในน้ำนั้น พักหนึ่งจึงให้เรียกคนที่รู้จักกลิ่นมาสั่งว่า ท่านจงดมเครื่องประดับนั้นเป็นกลิ่นอะไร คนรู้จักกลิ่นดมเครื่องประดับนั้นแล้วก็ตอบว่าเป็นกลิ่นดอกประยงค์

ลำดับนั้น เมื่อพระมหาสัตว์ทำให้มหาชนรู้เหตุการณ์นั้นแล้วก็ถามหญิงขโมยว่า แกเป็นขโมยหรือ หญิงนั้นก็สารภาพว่าเป็นขโมย นับแต่นั้น ความที่พระมหาสัตว์เป็นบัณฑิตก็ปรากฏแก่มหาชน

หัวข้อว่า ด้ายกลุ่ม

ยังมีสตรีคนหนึ่งรักษาไร่ฝ้าย เมื่อเฝ้าไร่ได้เก็บฝ้ายที่บริสุทธิ์ในไร่นั้นมาปั่นให้เป็นเส้นเล็ก ๆ แล้วเอาเม็ดมะพลับมาไว้เป็นแกนข้างใน พันด้ายกับแกนนั้นให้เป็นกลุ่ม เก็บไว้ในพก เมื่อจะกลับบ้าน คิดว่าเราจักอาบน้ำในสระโบกขรณีของท่านบัณฑิต จึงวางกลุ่มด้ายนั้นไว้บนผ้าสาฎกแล้วลงอาบน้ำ 

ยังมีหญิงคนหนึ่งเห็นด้ายกลุ่มนั้น ก็ถือเอาด้วยมีจิตโลภ ตบมือพูดว่า โอ ด้ายนี้สวยดี ท่านทำหรือ ทำเป็นเหมือนแลดู แล้วเอาใส่ในพกหลีกไป เรื่องต่อไปก็เหมือนกับเรื่องที่เล่าไว้ก่อน มโหสถบัณฑิตถามหญิงขโมยก่อนว่า เมื่อแกทำด้ายให้เป็นกลุ่ม ได้ใช้อะไรทำเป็นแกนข้างใน หญิงขโมยนั้นตอบว่า ข้าพเจ้าใช้ผลฝ้ายนั่นเองไว้ข้างใน ต่อนั้น มโหสถบัณฑิตจึงถามหญิงอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของ นางตอบว่า ใส่เม็ดมะพลับไว้เป็นแกนข้างใน มโหสถบัณฑิตให้คนของตนกำหนดคำของหญิงทั้งสองไว้ แล้วให้คลี่ด้ายกลุ่มนั้นออกก็เห็นเม็ดมะพลับ จึงให้หญิงขโมยนั้นรับสารภาพว่าเป็นขโมย มหาชนร่าเริงยินดี กล่าวว่ามโหสถบัณฑิตวินิจฉัยความดี ได้ให้สาธุการเป็นอันมาก

หัวข้อว่า บุตร

ยังมีสตรีคนหนึ่งพาบุตรไปสระโบกขรณีของมโหสถบัณฑิต เพื่อล้างหน้า เอาบุตรอาบน้ำแล้วให้นั่งบนผ้าสาฎกของตน ตนเองลงล้างหน้า ขณะนั้น มียักขินีตนหนึ่งเห็นทารกนั้นอยากจะกิน จึงแปลงเพศเป็นสตรีมาถามว่า แน่ะสหายทารกนี้งามหนอ เป็นบุตรของเธอหรือ

ครั้นสตรีมารดาทารกนั้นรับว่าเป็นบุตรของตน จึงกล่าวว่า ฉันจะให้ดื่มนม

เมื่อสตรีมารดาทารกอนุญาตแล้ว ก็อุ้มทารกนั้นให้เล่นหน่อยหนึ่งแล้วพาทารกนั้นหนีไป สตรีมารดาทารกเห็นดังนั้น จึงขึ้นจากน้ำวิ่งไปโดยเร็ว ยึดผ้าสาฎกไว้กล่าวว่า เอ็งจะพาบุตรข้าไปไหน 

นางยักขินีกล่าวว่า เจ้าได้บุตรมาแต่ไหน นี้เป็นบุตรของข้าต่างหาก 

หญิงทั้งสองทะเลาะกันเดินไปถึงประตูศาลา มโหสถบัณฑิตได้ฟังเสียงนางทั้งสองทะเลาะกัน ให้เรียกเข้ามาถามว่า เรื่องเป็นอย่างไรกัน นางทั้งสองก็แจ้งให้ทราบเรื่องนั้น มโหสถบัณฑิตฟังความนั้นแล้ว แม้รู้ว่า หญิงนี้เป็นยักขินีอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนัยน์ตาไม่กระพริบ นัยน์ตาแดงและไม่มีเงา จึงกล่าวว่า เธอทั้งสองจักยอมรับคำวินิจฉัยของเราหรือไม่ เมื่อคนทั้งสองรับแล้ว จึงขีดรอยที่แผ่นดิน ให้ทารกนอนกลางรอยขีด ให้ยักขินีจับมือทารก ให้หญิงผู้เป็นมารดาจับเท้า แล้วกล่าวว่า แกทั้งสองคนจงฉุดคร่าเอาไป ทารกนั้นจักเป็นบุตรของผู้ที่สามารถดึงเอาทารกไปได้ 

นางทั้งสองก็คร่าทารกนั้น ทารกนั้นเมื่อถูกคร่าไปด้วยความเจ็บปวดก็ร้องไห้จ้า หญิงมารดาได้ฟังเสียงนั้น ก็เป็นเหมือนหัวใจจะแตก ปล่อยบุตรยืนร้องไห้อยู่ 

มโหสถบัณฑิตถามมหาชนว่า ใจของมารดาทารกอ่อน หรือว่าใจของหญิงไม่ใช่มารดาอ่อน 

มหาชนตอบว่า ใจของมารดาอ่อน 

มโหสถบัณฑิตจึงถามมหาชนว่า บัดนี้เป็นอย่างไร หญิงผู้คร่าทารกไปได้ เป็นมารดา หรือว่านางผู้สละทารกเสีย เป็นมารดา 

มหาชนตอบว่า นางผู้สละทารก เป็นมารดา

มโหสถกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายรู้หรือว่านางนี้เป็นคนขโมยทารก

มหาชนตอบว่า ไม่ทราบ 

มโหสถจึงกล่าวว่า นางนี้เป็นยักขินีคร่าเอาทารกไปเพื่อกิน 

มหาชนถามว่า รู้ได้อย่างไร 

มโหสถตอบว่า รู้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะยักขินีนัยน์ตาไม่กระพริบ นัยน์ตาแดง ไม่มีเงา และปราศจากความกรุณา ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ถามหญิงนั้นว่า แกเป็นใคร 

ยักขินีตอบว่าข้าพเจ้าเป็นยักขินี 

พระมหาสัตว์ซักต่อไปว่า เจ้าจะเอาทารกนี้ไปทำไม 

ยักขินีตอบว่า เอาไปกิน 

พระมหาสัตว์กล่าวว่า แน่ะนางอันธพาล แต่ก่อนเอ็งทำบาปจึงเกิดเป็นยักขินี แม้บัดนี้ก็ยังจะทำบาปอีก โอ เอ็งเป็นคนอันธพาล กล่าวดังนี้แล้ว ให้ยักขินีตั้งอยู่ในเบญจศีล แล้วปล่อยตัวไป ฝ่ายหญิงมารดาทารกกล่าวว่า จงมีอายุยืนนานเถิดนาย ชมมโหสถบัณฑิตแล้วพาบุตรหลีกไป

หัวข้อว่า คนเตี้ยชื่อโคฬกาฬ

มีชายคนหนึ่งชื่อโคฬกาฬเพราะเป็นคนเตี้ยและผิวดำ เขาทำงาน ๗ ปีได้ภรรยาชื่อทีฆตาหลา วันหนึ่งโคฬกาฬเรียกภรรยามากล่าวว่า เจ้าจงทอดขนม ครั้นนางถามว่าแกจะไปไหน จึงบอกว่า ข้าจะไปเยี่ยมบิดามารดา นางห้ามว่า แกจะต้องการอะไรด้วยบิดามารดา โคฬกาฬต้องสั่งให้ทอดขนมถึง ๓ ครั้ง นางจึงยอม ครั้นแล้วจึงถือเอาเสบียง และของฝากเดินทางไปกับภรรยานั้น 

ในระหว่างทางได้เห็นแม่น้ำ มีกระแสน้ำไหลตื้น แต่สองสามีภรรยานั้นเป็นคนขลาดจึงไม่อาจลง ก็ยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ กาลนั้นมีชายเข็ญใจคนหนึ่งชื่อทีฆปิฏฐิ เดินเลียบมาตามฝั่งแม่น้ำถึงสถานที่นั้น สามีภรรยาเห็นชายนั้นจึงถามว่า แม่น้ำนี้ลึกหรือตื้น 

นายทีฆปิฏฐิรู้อยู่ว่าสองสามีภรรยานั้นขลาดต่อน้ำ จึงตอบว่า แม่น้ำนี้ลึกเหลือเกิน ปลาร้ายก็ชุม

สามีภรรยาจึงซักถามว่า สหายจักไปอย่างไรเล่า 

ชายนั้นตอบว่า เรามีความคุ้นเคยกับจระเข้และมังกร ฉะนั้น สัตว์ร้ายเหล่านั้นจึงไม่เบียดเบียนเรา 

สองสามีภรรยากล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น สหายจงพาเราทั้งสองไป 

ชายนั้นรับคำ ลำดับนั้น สองสามีภรรยาจึงให้ของเคี้ยวของบริโภคแก่ชายนั้น ชายนั้นบริโภคอิ่มแล้วจึงถามว่า สหายจะให้เราพาใครไปก่อน 

นายโคฬกาฬตอบว่า จงพาภรรยาไปก่อน พาเราไปทีหลัง 

ชายนั้นรับคำแล้วให้นางทีฆตาหลาขึ้นคอ ถือเสบียงและของฝากทั้งหมดลงข้ามแม่น้ำ ไปได้หน่อยหนึ่งแล้วย่อตัวเดินต่อไป

ลำดับนั้น นายโคฬกาฬยืนอยู่ที่ฝั่งคิดว่า แม่น้ำนี้ลึกจริงแท้ คนสูงยังเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นเราคงไม่ได้การทีเดียว 

ฝ่ายนายทีฆปิฏฐิพานางทีฆตาหลาไปถึงกลางแม่น้ำก็พูดเกี้ยวว่า ข้าจักเลี้ยงดูเจ้า เจ้าจักมีผ้าและเครื่องประดับบริบูรณ์ มีทาสทาสีแวดล้อม นายโคฬกาฬตัวเตี้ยคนนี้จักทำอะไรแก่เจ้าได้ เจ้าจงทำตามคำข้า

นางทีฆตาหลาได้ฟังคำของนายทีฆปิฏฐินั้น ก็ตัดสิเนหาในสามีของตน มีจิตปฏิพัทธ์ในนายทีฆปิฏฐินั้นในขณะนั้นเอง จึงกล่าวตอบว่า ถ้านายไม่ทิ้งฉัน ฉันจักทำตามคำของนาย 

นายทีฆปิฏฐิกล่าวว่า นางพูดอะไร ข้าจะเลี้ยงดูนาง

คนทั้งสองนั้นไปถึงฝั่งโน้น ก็ชื่นชมต่อกันและกันแล้วคิดจะทิ้งนายโคฬกาฬเสียจึงกล่าวว่า รอก่อน รอก่อน แล้วต่างก็เคี้ยวกินเสบียงต่อหน้านายโคฬกาฬผู้แลดูอยู่แล้วพากันเดินหนีไป 

นายโคฬกาฬเห็นดังนั้นจึงรู้ว่า คนทั้งสองนี้เห็นจะร่วมกันทิ้งเราหนีไป ก็วิ่งไปวิ่งมา ข้ามลงแม่น้ำได้หน่อยหนึ่งก็กลับขึ้นเพราะความกลัว และแล้วด้วยความโกรธในคนทั้งสองนั้นจึงโดดลงแม่น้ำนั้นด้วยไม่ใส่ใจว่าจะเป็นหรือตายก็ตามที เมื่อลงไปในแม่น้ำแล้ว จึงรู้ว่าตื้น ก็ข้ามขึ้นจากแม่น้ำติดตามไปโดยเร็ว 

พอทันคนทั้งสองนั้นจึงกล่าวว่า แน่ะอ้ายโจรร้าย มึงจะพาเมียกูไปไหน 

นายทีฆปิฏฐิกล่าวตอบว่า แน่ะอ้ายถ่อยแคระเตี้ยร้าย เมียมึงเมื่อไร กล่าวดังนี้แล้วก็ไสคอนายโคฬกาฬไป 

นายโคฬกาฬจับมือนางทีฆตาหลา กล่าวว่า รอก่อน รอก่อน เอ็งจะไปไหน ข้าทำงานมา ๗ ปีจึงได้เอ็งมาเป็นเมีย 

เมื่อทะเลาะกับนายทีฆปิฏฐิพลางมาถึงที่ใกล้ศาลาพระมหาสัตว์ มหาชนประชุมกัน มโหสถบัณฑิตถามว่า นั่นเสียงอะไรกัน สดับความนั้นแล้วให้เรียกคนทั้งสองมา ได้ฟังโต้ตอบกันแล้ว จึงกล่าวว่า แกทั้งสองจักยอมรับคำวินิจฉัยของเราหรือไม่ เมื่อคนทั้งสองรับแล้ว จึงถามนายทีฆปิฏฐิก่อนว่า แกชื่ออะไร 

ข้าพเจ้าชื่อทีฆปิฏฐิ 

ก็ภรรยาของแกชื่ออะไร 

นายทีฆปิฏฐิเมื่อไม่ทันรู้จักชื่อนางทีฆตาหลาก็บอกชื่ออื่น 

มโหสถบัณฑิตถามว่า บิดามารดาของแกชื่ออะไร 

นายทีฆปิฏฐิก็บอกชื่อบิดามารดาของตน 

บิดามารดาของภรรยาชื่ออะไร 

นายทีฆปิฏฐิเมื่อยังไม่รู้ก็บอกชื่ออื่น 

ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตจึงให้คนของตนจดจำถ้อยคำไว้ แล้วให้นายทีฆปิฏฐินั้นออกไป ให้เรียกนายโคฬกาฬมา ถามคำถามเช่นเดียวกันกับที่ถามนายทีฆปิฏฐิ นายโคฬกาฬเมื่อรู้อยู่ตามเป็นจริงก็บอกไม่ผิด 

พระโพธิสัตว์ให้นำนายโคฬกาฬออกไป ให้เรียกนางทีฆตาหลามาถามว่า แกชื่ออะไร 

ข้าพเจ้าชื่อทีฆตาหลา 

ผัวแกชื่ออะไร 

เมื่อยังไม่ทันรู้จักชื่อกันก็บอกชื่ออื่น 

บิดามารดาของแกชื่ออะไร 

ก็บอกชื่อนั้น ๆ 

บิดามารดาของผัวแกชื่ออะไร 

เมื่อยังไม่รู้จักชื่อก็บอกชื่ออื่น 

มโหสถบัณฑิตให้เรียกนายทีฆปิฏฐิและนายโคฬกาฬมาแล้วถามมหาชนว่า ถ้อยคำของนางทีฆตาหลาสมกับคำของนายทีฆปิฏฐิ หรือสมกับคำของนายโคฬกาฬ 

มหาชนตอบว่า ถ้อยคำของนางทีฆตาหลาสมกับคำของนายโคฬกาฬ 

มโหสถบัณฑิตจึงกล่าวว่า นายโคฬกาฬเป็นผัวของนางทีฆตาหลานายทีฆปิฏฐิเป็นโจร 

ลำดับนั้น มโหสถจึงถามนายทีฆปิฏฐิว่า เจ้าเป็นโจรหรือ นายทีฆปิฏฐิรับสารภาพว่าเป็นโจร นายโคฬกาฬได้ภรรยาของตนคืนด้วยวินิจฉัยของมโหสถบัณฑิต ก็ชมเชยมโหสถบัณฑิตแล้วพาภรรยาหลีกไป มโหสถบัณฑิตกล่าวกะนายทีฆปิฏฐิว่า นับแต่นี้ไปเจ้าอย่าทำกรรมเช่นนี้อีก


  หัวข้อว่า รถ

กาลนั้นยังมีบุรุษคนหนึ่งนั่งในรถออกจากบ้านเพื่อล้างหน้า ขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงพิจารณาเห็นพระโพธิสัตว์จึงดำริว่า เราจักทำให้อานุภาพแห่งปัญญาของมโหสถผู้พุทธางกูรปรากฏแก่มหาชน จึงเสด็จมาด้วยเพศแห่งมนุษย์เกาะท้ายรถไป 

บุรุษเจ้าของรถถามว่า แน่ะพ่อ พ่อมาด้วยประโยชน์อะไร ครั้นได้ฟังว่า จะมาเพื่อรับใช้ตน จึงรับว่าดีแล้ว ก็ลงจากรถไปเพื่อทำสรีรกิจ 

ขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชก็ขึ้นรถแล้วขับไปโดยเร็ว บุรุษเจ้าของรถเมื่อทำสรีรกิจเสร็จแล้วออกมาเห็นท้าวสักกเทวราชลักรถหนีไป ก็ติดตามไปโดยเร็ว ร้องกล่าวว่า หยุดก่อน หยุดก่อน แกจะนำรถของข้าไปไหน 

เมื่อท้าวสักกะตอบว่า รถของแกคันอื่น แต่คันนี้รถของข้า ก็เกิดทะเลาะกันไปถึงประตูศาลา มโหสถบัณฑิตถามว่า เรื่องอะไรกัน แล้วให้เรียกคนทั้งสองนั้นมา ครั้นเมื่อเห็นคนทั้งสองมาก็รู้ชัดว่า ผู้นี้เป็นท้าวสักกเทวราช เพราะปราศจากความกลัวเกรง และเพราะนัยน์ตาไม่กระพริบ ผู้นี้เป็นเจ้าของรถ 

แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น มโหสถก็ถามถึงเหตุแห่งการวิวาทกล่าวว่า ท่านทั้งสองจักยอมรับคำวินิจฉัยของเราหรือไม่ เมื่อคนทั้งสองรับแล้ว จึงกล่าวว่า เราจักขับรถไป ท่านทั้งสองจงจับท้ายรถ เจ้าของรถจักไม่ปล่อย ผู้ไม่ใช่เจ้าของรถจักปล่อย กล่าวฉะนี้แล้ว บังคับบุรุษคนหนึ่งว่าจงขับรถไป บุรุษนั้นได้ทำตามนั้น 

คนทั้งสองจับท้ายรถวิ่งตามไป เจ้าของรถไปได้หน่อยหนึ่งก็เหน็ดเหนื่อย จึงปล่อยรถแล้วยืนอยู่ ฝ่ายท้าวสักกเทวราชวิ่งไปกับรถทีเดียว มโหสถบัณฑิตสั่งให้กลับรถแล้วแจ้งแก่มหาชนว่า บุรุษนี้ไปได้หน่อยหนึ่งก็ปล่อยรถยืนอยู่ แต่บุรุษนี้วิ่งไปกับรถ กลับมากับรถ แม้เพียงหยาดเหงื่อจากร่างของเขาก็ไม่มี หายใจออกหายใจเข้าก็ไม่มี หาความสะทกสะท้านมิได้ นัยน์ตาก็ไม่กระพริบ ผู้นี้คือท้าวสักกเทวราช 

ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตถามว่า ท่านเป็นท้าวสักกเทวราชมิใช่หรือ ครั้นได้รับตอบว่าใช่ จึงถามว่า พระองค์เสด็จมาที่นี้เพื่ออะไร ครั้นได้รับตอบว่า เพื่อประกาศปัญญาของเธอนั่นแหละ จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นพระองค์อย่าได้กระทำอย่างนี้อีก 

ท้าวสักกเทวราชเมื่อจะแสดงสักกานุภาพ ก็สถิตอยู่ในอากาศ ตรัสชมเชยมโหสถบัณฑิตว่า เธอวินิจฉัยความได้ดี เธอวินิจฉัยความได้ดี แล้วเสด็จกลับยังทิพยสถานของตน 

กาลนั้น อำมาตย์นั้นไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชด้วยตนเอง ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ความเรื่องรถมโหสถกุมารวินิจฉัยดีอย่างนี้ แม้ท้าวสักกเทวราชก็ยังแพ้ เหตุไรพระองค์จึงไม่ทรงทราบบุรุษพิเศษเล่า ขอเดชะ พระราชาตรัสถามเสนกอาจารย์ว่า ควรนำบัณฑิตมาหรือยัง อาจารย์เสนกะเป็นคนตระหนี่จึงได้ทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้าบุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิตด้วยเหตุเพียงเท่านี้ โปรดรอไปก่อน เราจักทดลองเขาแล้วจักรู้ พระราชาทรงดุษณีภาพ

จบ ปัญหาของทารก ๗ ข้อ

หัวข้อว่า ท่อนไม้

วันหนึ่งพระเจ้าวิเทหราชทรงดำริจะทดลองมโหสถบัณฑิต จึงให้นำท่อนไม้ตะเคียนมา ให้ตัดเอาเพียง ๑ คืบให้ช่างกลึงกลึงให้ดีแล้ว ให้ส่งไปยังชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคาม ด้วยพระราชาอาณัติว่า 

ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามจงแจ้งว่า ท่อนไม้ตะเคียนนี้ ข้างนี้ปลายข้างนี้โคน ถ้าไม่มีใครรู้ จะปรับพันกหาปณะ 

ชาวบ้านต่างประชุมกัน เมื่อไม่อาจจะรู้ได้ จึงบอกแก่ท่านสิริวัฒกเศรษฐีว่า บางทีมโหสถบัณฑิตจะรู้ ขอให้เรียกเขามาถาม ท่านมหาเศรษฐีให้เรียกมโหสถบัณฑิตมาแต่สนามเล่น บอกเนื้อความนั้นแล้วถามว่า พวกเราไม่อาจจะรู้ปัญหานี้ พ่ออาจจะรู้บ้างไหม

พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้นแล้ว คิดว่า จริง ๆ แล้วพระราชานั้นจะต้องพระประสงค์จะทราบเรื่องปลายหรือโคนของไม้ตะเคียนท่อนนี้ก็หาไม่ แต่ประทานไม้ตะเคียนท่อนนี้มาเพื่อจะทดลองเรา จึงกล่าวว่า นำมาเถิดพ่อ ข้าพเจ้าจักรู้เรื่องนั้น 

ลำดับนั้น ท่านเศรษฐีให้นำท่อนไม้ตะเคียนมาให้แก่มโหสถบัณฑิต พระโพธิสัตว์รับท่อนไม้ตะเคียนนั้นด้วยมือเท่านั้นก็รู้ได้ว่า ข้างนี้ปลาย ข้างนี้โคน แต่ถึงแม้จะรู้อยู่ก็ให้นำภาชนะน้ำมาเพื่อกำหนดใจของมหาชน แล้วเอาด้ายผูกตรงกลางของท่อนไม้ตะเคียน ถือปลายด้ายไว้ วางท่อนไม้ตะเคียนบนน้ำ พอวางเท่านั้น โคนก็จมลงก่อนเพราะหนัก 

แต่นั้นพระโพธิสัตว์จึงถามมหาชนว่า ธรรมดาต้นไม้โคนหนัก หรือปลายหนัก เมื่อมหาชนตอบว่า โคนหนัก จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ส่วนของไม้ตะเคียนท่อนนี้จมลงก่อน จึงเป็นโคน แล้วบอกปลายและโคนด้วยสัญญานี้ ชาวบ้านส่งข่าวทูลพระราชา

พระราชาทรงยินดี ตรัสถามว่า ใครรู้ เมื่อชาวบ้านกราบทูลว่า มโหสถบัณฑิตบุตรสิริวัฒกเศรษฐี พระเจ้าข้า ทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสถามว่า ท่านอาจารย์เสนกะ เราควรนำมโหสถบัณฑิตมาหรือยัง เสนกอาจารย์ทูลว่า รอไว้ก่อน เราจักทดลองด้วยอุบายอื่นอีก พระราชาตรัสว่า ดีแล้ว ท่านเสนกะ

หัวข้อว่า ศีรษะ

อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชให้นำศีรษะ ๒ ศีรษะ คือศีรษะหญิงและศีรษะชายมา แล้วส่งไปให้ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามทำนาย โดยมีพระราชาณัติว่า ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามจงรู้ว่า นี้ศีรษะหญิง นี้ศีรษะชาย ถ้าไม่รู้ จะปรับไหมพันกหาปณะ ชาวบ้านเมื่อไม่รู้จึงถามพระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์พอเห็นเท่านั้นก็รู้ รู้ได้อย่างไร คือ แสกในศีรษะชายตรง แสกในศีรษะหญิงคด มโหสถบัณฑิตแจ้งว่า นี้ศีรษะหญิงนี้ศีรษะชาย ด้วยความรู้ยิ่งนี้ ชาวบ้านก็ส่งข่าวกราบทูลแด่พระราชาอีก ข้อความที่เหลือเหมือนนัยอันมีในก่อนนั่นเอง

หัวข้อว่า งู

อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชให้นำงูตัวผู้และงูตัวเมียมา ส่งไปให้ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคาม ด้วยพระราชาณัติว่าชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคาม จงรู้ว่า นี้งูตัวผู้ นี้งูตัวเมีย เมื่อไม่มีใครรู้ จะปรับไหมพันกหาปณะ ชาวบ้านเมื่อไม่รู้ จึงถามมโหสถบัณฑิต มโหสถบัณฑิตนั้นพอเห็นเท่านั้นก็รู้ ด้วยว่า หางของงูตัวผู้ใหญ่ หางของงูตัวเมียเรียว หัวของงูตัวผู้ใหญ่ หัวของงูตัวเมียเรียวยาว นัยน์ตาของงูตัวผู้ใหญ่ ของงูตัวเมียเล็ก ลวดลายของงูตัวผู้ติดต่อกัน ลวดลายของงูตัวเมียขาด มโหสถบัณฑิตแจ้งแก่ชาวบ้านว่า นี้งูตัวผู้ นี้งูตัวเมีย ด้วยความรู้ยิ่งเหล่านี้ ข้อความที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล

หัวข้อว่า ไก่

อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชส่งข่าวไปแก่ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามว่า ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามจงส่งโคตัวผู้อันเป็นมงคล ขาวทั้งตัว มีเขาที่เท้า มีโหนกที่หัว ร้องไม่ล่วง ๓ เวลา มาแก่เรา ถ้าไม่ส่ง จะปรับไหมพันกหาปณะ ชาวบ้านเหล่านั้นเมื่อไม่รู้ จึงถามมโหสถบัณฑิต มโหสถบัณฑิตกล่าวว่า พระราชาให้สั่งไก่ขาวทั้งตัวไปถวายนั่นเอง เพราะว่าไก่นั้นชื่อว่ามีเขาที่เท้า เพราะมีเดือยที่เท้า ชื่อว่ามีโหนกที่หัว เพราะมีหงอนที่หัว ชื่อว่าร้องไม่ล่วง ๓ เวลา เพราะขัน ๓ ครั้ง ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงส่งไก่มีลักษณะอย่างนี้ไปถวาย ชาวบ้านเหล่านั้นก็ส่งไปถวายแด่พระราชา พระราชาทรงยินดี

หัวข้อว่า แก้วมณี

ดวงแก้วมณีที่ท้าวสักกเทวราชประทานแก่พระเจ้ากุสราชมีอยู่ ดวงแก้วมณีนั้นมีโค้งในที่ ๘ แห่ง ด้ายเก่าของดวงแก้วมณีนั้นขาด ไม่มีใครจะสามารถนำด้ายเก่าออกแล้วร้อยด้ายใหม่เข้าไป วันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชให้ส่งข่าวไปถึงชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามว่า ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามจงนำด้ายเก่าออกจากดวงแก้วมณีนี้ แล้วร้อยด้ายใหม่เข้าแทน ถ้าร้อยไม่ได้จะปรับไหมพันกหาปณะ 

พวกมนุษย์ชาวบ้านไม่สามารถจะนำด้ายเก่าออกแล้วร้อยด้ายใหม่เข้าแทนได้ เมื่อไม่สามารถจึงแจ้งแก่มโหสถบัณฑิต มโหสถบัณฑิตกล่าวว่า อย่าวิตกไปเลย แล้วให้นำน้ำผึ้งมาทาช่องแก้วมณีทั้งสองข้าง ให้ฟั่นด้วยขนสัตว์เอาน้ำผึ้งทาปลายด้ายนั้น ร้อยเข้าไปในช่องหน่อยหนึ่ง วางไว้ในที่มดแดงทั้งหลายจะออก เหล่ามดแดงพากันออกจากที่อยู่ของมันมากินด้ายเก่าในแก้วมณี แล้วไปคาบปลายด้ายขนสัตว์ใหม่คร่าออกมาทางข้างหนึ่ง มโหสถบัณฑิตรู้ว่า ด้ายนั้นเข้าไปแล้ว ก็ให้แก่ชาวบ้าน ให้ถวายแด่พระราชา พระราชามีพระดำรัสถาม ทรงสดับอุบายวิธีให้ด้ายนั้นเข้าไปได้ ทรงยินดี

หัวข้อว่า ให้โคตัวผู้ตกลูก

ได้ยินว่า วันหนึ่งพระราชาตรัสสั่งให้ราชบุรุษให้โคตัวผู้ เป็นมงคลเคี้ยวกินกุมมาสเป็นอันมากจนท้องโตให้ชำระล้างเขาทั้งสองแล้วทาด้วยน้ำมัน ให้เอาน้ำขมิ้นรดตัวส่งไปยังชาวบ้านนั้นด้วยพระราชาณัติว่า ได้ยินว่า พวกท่านเป็นนักปราชญ์ โคตัวผู้มงคลของพระราชานี้ตั้งครรภ์ ท่านทั้งหลายจงให้โคตัวผู้นี้ตกลูก แล้วส่งกลับไปพร้อมด้วยลูก เมื่อไม่ส่งจะปรับไหมพันกหาปณะ 

พวกมนุษย์ชาวบ้านปรึกษากันว่า พวกเราไม่สามารถจะทำได้อย่างนี้ จักทำอย่างไร จึงถามมโหสถบัณฑิต 

มโหสถบัณฑิตคิดว่า เรื่องนี้ต้องย้อนปัญหา จึงถามว่า พวกท่านจักอาจหาคนที่แกล้วกล้าสามารถทูลกับพระราชาได้หรือ 

ชาวบ้านตอบว่าเรื่องนั้นไม่หนักใจเลย ท่านบัณฑิต 

ถ้าเช่นนั้น จงเรียกเขามา 

ชาวบ้านเหล่านั้นเรียกเขามาแล้ว ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ กล่าวกะเขาว่า ท่านจงสยายผมของท่านไว้ข้างหลังแล้วคร่ำครวญใหญ่มีประการต่าง ๆ ไปสู่ทวารพระราชนิเวศน์ ใครถามอย่าตอบ คร่ำครวญเรื่อยไป พระราชาตรัสเรียกมาถามเหตุที่เทวนาการ จงถวายบังคมแล้วทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่สมมติเทพ บิดาของข้าพระองค์ไม่อาจจะคลอดบุตร วันนี้เป็นวันครบ ๗ ขอสมมติเทพทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ โปรดทรงทำอุบายที่จะคลอดบุตรแก่บิดาของข้าพระองค์ เมื่อพระราชาตรัสว่า คนคลั่งอะไร ข้อนั้นไม่ใช่ฐานะ ธรรมดาบุรุษคลอดบุตรมีหรือ จงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าว่าอย่างนี้มีไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคาม จะยังมงคลอุสภให้ตกลูกได้อย่างไร 

บุรุษนั้นรับคำจะทำตามที่สั่งนั้นได้ ก็ได้ทำไปอย่างนั้น พระราชาทรงสดับคำบุรุษนั้น ตรัสถามว่า ย้อนปัญหานี้ใครคิด ได้ทรงทราบว่า มโหสถบัณฑิตคิด ก็โปรดปราน

หัวข้อว่า ข้าว

ในวันอื่นอีก พระราชาทรงดำริว่า เราจักทดลองมโหสถ จึงให้ส่งข่าวไปว่า ได้ยินว่า ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามเป็นคนฉลาด ชาวบ้านนั้นจงหุงข้าวเปรี้ยวให้ประกอบด้วยองค์ ๘ มาให้เรา 

องค์ ๘ นั้น คือ ไม่ให้หุงด้วยข้าวสาร ไม่ให้หุงด้วยน้ำ ไม่ให้หุงด้วยหม้อข้าว ไม่ให้หุงด้วยเตาหุงข้าว ไม่ให้หุงด้วยไฟ ไม่ให้หุงด้วยฟืน ไม่ให้หญิงหรือชายยกมา ไม่ให้นำมาส่งโดยทาง พวกนั้นส่งมาไม่ได้ จะปรับไหมพันกหาปณะ

พวกชาวบ้านหารู้เหตุไม่ จึงแจ้งแก่มโหสถบัณฑิต มโหสถบัณฑิตกล่าวว่าอย่าตกใจไปเลย แล้วชี้ให้เห็นว่า ให้หุงด้วยข้าวแหลก อันไม่ชื่อว่าข้าวสาร ให้หุงด้วยน้ำค้าง อันไม่ชื่อว่าน้ำปกติ ให้หุงด้วยภาชนะดินใหม่ อันไม่ชื่อว่าหม้อข้าว ให้ตอกตอไม้ตั้งภาชนะนั้นหุง อันไม่ชื่อว่าหุงด้วยเตา ให้หุงด้วยไฟที่สีกันเกิดขึ้น อันไม่ชื่อว่าไฟปกติ ให้หุงด้วยใบไม้ อันไม่ชื่อว่าฟืน ชื่อว่าหุงข้าวเปรี้ยว แล้วบรรจุในภาชนะใหม่ผูกด้วยด้ายประทับตรา อย่าให้หญิงหรือชายยกไป ให้กระเทยยกไป ไปโดยทางน้อยละทางใหญ่เสีย อันชื่อว่าไม่มาโดยทาง ส่งข้าวเห็นปานดังนี้ไปถวายพระราชา ชาวบ้านได้ทำตามนัยนั้นพระราชาทอดพระเนตรเห็นกิริยานั้น จึงตรัสถามว่า ปัญหานี้ใครรู้ ทรงทราบว่า มโหสถรู้ ก็โปรดปราน

หัวข้อว่า ชิงช้าห้อยด้วยเชือกทราย

ในวันนั้นอีกพระราชาให้ส่งข่าวไปยังชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคาม เพื่อทดลองมโหสถบัณฑิตว่า พระราชาใคร่จะทรงเล่นชิงช้าห้อยด้วยเชือกทราย เชือกทรายเก่าในราชสกุลขาดเสียแล้ว ให้ชาวบ้านนั้นฟั่นเชือกทรายหนึ่งเส้นส่งมาถวาย ถ้าส่งมาถวายไม่ได้ จะปรับไหมพันกหาปณะ 

ชาวบ้านเหล่านั้นไม่รู้เหตุ จึงแจ้งแก่มโหสถบัณฑิต มโหสถบัณฑิตคิดว่า เรื่องนี้ต้องย้อนปัญหา พูดเอาใจชาวบ้านไม่ให้วิตกแล้ว เรียกคนฉลาดพูดมาสองสามคน สั่งสอนให้ไปทูลพระราชาว่าข้าแต่สมมติเทพ ชาวบ้านไม่ทราบประมาณแห่งเชือกนั้นว่าเล็กใหญ่เท่าไรขอสมมติเทพโปรดให้ส่งท่อนแต่เชือกทรายเส้นเก่าสักหนึ่งคืบ หรือสี่นิ้วเป็นตัวอย่าง ชาวบ้านเห็นประมาณนั้นแล้ว จักได้ฟั่นเท่านั้น ถ้าพระราชารับสั่งแก่ท่านทั้งหลายว่า เชือกทรายในพระราชฐานของเราไม่เคยมีแต่ไหนมา ท่านทั้งหลายจงกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช เชือกทรายตัวอย่างนั้นไม่มี ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคาม จักทำอย่างไรเล่า พระเจ้าข้า ชาวบ้านเหล่านั้นไปทำตามมโหสถแนะนำ พระราชาตรัสถามว่า ย้อนปัญหานี้ใครคิด ทรงทราบว่า มโหสถคิด ก็ทรงยินดี

หัวข้อว่า สระน้ำ

ในวันอื่นอีก พระเจ้าวิเทหราชให้ส่งข่าวแก่ชาวบ้านเหล่านั้น เพื่อจะทดลองมโหสถว่า พระราชามีพระราชประสงค์จะทรงเล่นน้ำ ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามจงส่งสระโบกขรณีอันดาดาษด้วยบัวเบญจพรรณมา ถ้าพวกชาวบ้านนั้นไม่ส่งมา จะปรับไหมพันกหาปณะ 

ชาวบ้านเหล่านั้นแจ้งแก่มโหสถบัณฑิต มโหสถบัณฑิตคิดว่า เรื่องนี้ต้องย้อนปัญหา จึงสั่งให้เรียกคนผู้ฉลาดพูดมาสองสามคน สั่งสอนให้พูดแล้วส่งไปให้ทูลว่า ท่านทั้งหลายจงเล่นน้ำจนตาแดง ทั้งผมทั้งผ้ายังเปียกตัวเปื้อนโคลน ถือเชือกก้อนดินและท่อนไม้ไปสู่ทวารพระราชนิเวศน์ ให้กราบทูลความที่มายืนคอยเฝ้าพระราชา ได้โอกาสแล้วเข้าเฝ้ากราบทูลว่าข้าแต่พระมหาราชเจ้า เพราะทรงส่งข่าวไปให้ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามส่งสระโบกขรณีมาถวาย ก็แต่สระโบกขรณีนั้น เห็นพระนครอันมีกำแพง คูประตู หอรบ ก็กลัว ตัดเชือกหนีเข้าป่าไป เพราะเคยอยู่ในป่า พวกข้าพระองค์โบยตีด้วยก้อนดินและท่อนไม้ ก็ไม่สามารถจะให้กลับ ขอพระองค์โปรดพระราชทานสระโบกขรณีเก่าของพระองค์ที่นำมาแต่ป่า พวกข้าพระองค์จักผูกควบเข้ากับสระโบกขรณีใหม่นำมาถวาย เมื่อพระราชารับสั่งว่า สระโบกขรณีของเราที่นำมาแต่ป่า ไม่เคยมีมาแต่กาลไหน ๆ เราไม่เคยส่งสระโบกขรณีไปเพื่อผูกกับอะไร ๆ นำมาฉะนี้ จงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าเมื่ออย่างนี้ ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคาม จักส่งสระโบกขรณีมาถวายอย่างไรได้ ชาวบ้านที่รับคำแนะนำของมโหสถ ก็ไปทำตามทุกประการ พระราชาทรงทราบว่า มโหสถรู้ปัญหานี้ ก็ทรงยินดี

หัวข้อว่า อุทยาน

อีกวันหนึ่ง โปรดให้ส่งข่าวไปอีกโดยพระราชาณัติว่า พระองค์ใคร่จะทรงเล่นอุทยาน ก็แต่ราชอุทยานต้นไม้เก่าหักโค่นเสียหมด ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคาม จงส่งอุทยานใหม่ ให้ดาดาษไปด้วยดรุณรุกขชาติทรงดอกบานงามเข้ามาถวาย ถ้าไม่ส่งเข้ามาตามพระราชประสงค์ จะปรับไหมพันกหาปณะ 

ชาวบ้านเหล่านั้นไม่รู้เหตุก็นำความแจ้งแก่มโหสถ มโหสถบัณฑิตคิดว่า เรื่องนี้ต้องย้อนปัญหา จึงเรียกคนทั้งหลายมาสั่งไปโดยนัย อันมีในก่อนนั่นแล คนเหล่านั้นก็ไปทำตามสั่ง 

พระราชาทรงสดับดังนั้น จึงตรัสถามเสนกอาจารย์ว่า เราควรนำมโหสถบัณฑิตมาละกระมัง อาจารย์เสนกะกราบทูลด้วยความตระหนี่ลาภสักการะว่า บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิตด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ขอได้ทรงรอไปก่อน 

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำของเสนกบัณฑิตแล้วมีพระดำริว่า มโหสถบัณฑิตแก้ปัญหาแห่งทารกทั้ง ๗ ข้อถูกใจเรา การพยากรณ์ในการทดลองปัญหาลึกลับ และในการย้อนปัญหาเห็นปานนี้ของมโหสถนั้น เป็นดุจของพระพุทธเจ้า อาจารย์เสนกะไม่ให้นำบัณฑิตเห็นปานนี้มาในที่นี้ เราจะต้องการอะไร ด้วยเสนกะคัดค้าน เราจักนำมโหสถบัณฑิตนั้นมา 

พระเจ้าวิเทหราชก็เสด็จไปสู่บ้านนั้นด้วยบริวารใหญ่ เมื่อพระราชาทรงม้ามงคลเสด็จไป กีบของม้ากระทบพื้นระแหงก็แตก พระราชาก็เสด็จกลับจากตรงนั้นเข้าพระนคร 

ลำดับนั้น อาจารย์เสนกะเข้าเฝ้าพระราชาทูลถามว่า พระองค์เสด็จไปบ้านปาจีนยวมัชฌคาม เพื่อนำมโหสถบัณฑิตมาหรือ พระเจ้าข้า 

ครั้นได้ฟังกระแสรับสั่งว่าเสด็จไป จึงทูลว่าข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ทึกทักเอาข้าพระองค์ว่าเป็นผู้ใคร่ความพินาศ ก็ทรงพิจารณ์ เห็นหรือยัง ในเมื่อข้าพระองค์ทัดทานให้ทรงรอไว้ก่อน ก็บังเอิญกีบม้ามงคลรีบด่วนออกไปแตกเมื่อไปครั้งแรกทีเดียว พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำของเสนกะก็ทรงดุษณีภาพ. 

  หัวข้อว่า ลา

อีกวันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชทรงปรึกษากับเสนกะว่า เราจะนำมโหสถมา เสนกะทูลว่า พระองค์อย่าเสด็จไปเอง ส่งทูตไปยังมโหสถว่า เมื่อพระองค์เสด็จไปสู่สำนักเธอ กีบม้าที่นั่งแตก เธอจงส่งม้าอัสดรหรือม้าประเสริฐกว่าม้าสามัญมา ถ้าเธอจักส่งม้าอัสดรมา เธอจงมาเอง แต่เมื่อจะส่งแต่ม้าประเสริฐมา จงส่งบิดาของเธอมาด้วย ปัญหาของเรานี้แหละจักถึงที่สุด 

พระราชาทรงเห็นชอบด้วย จึงส่งราชทูตไปดังว่านั้น

มโหสถบัณฑิตได้ฟังคำราชทูต จึงคิดว่า พระราชาทรงใคร่จะพบเราและบิดาของเรา จึงไปหาบิดาไหว้แล้วกล่าวว่า พระราชาทรงใคร่จะพบบิดาและข้าพเจ้า ขอบิดาจงพร้อมด้วยอนุเศรษฐีพันหนึ่งเป็นบริวารไปเฝ้าก่อน เมื่อไปอย่าไปมือเปล่า จงเอาผอบไม้จันทน์เต็มด้วยเนยใสใหม่ไปด้วย พระราชาจักตรัสปฏิสันถารกับบิดา ตรัสเรียกให้นั่งว่า จงนั่งที่อาสน์อันสมควร บิดาจงพิจารณาอาสน์อันสมควรแล้วนั่ง เมื่อบิดานั่งแล้ว ข้าพเจ้าจักไป พระราชาจักตรัสทักทายข้าพเจ้า ตรัสสั่งให้นั่งว่าจงนั่งที่อาสนะอันสมควร แต่นั้นข้าพเจ้าจักแลดูบิดา บิดาจงลุกจากอาสน์ด้วยสัญญานั้น กล่าวว่า แน่ะพ่อมโหสถ พ่อจงนั่ง ณ อาสน์นี้ ปัญหาอย่างหนึ่งจักถึงที่สุดในวันนี้ 

สิริวัฒกเศรษฐีรับจะทำตามนั้น แล้วก็ไปโดยนัยที่กล่าวแล้ว ให้ทูลความที่ตนมายืนรออยู่ที่พระทวารแด่พระราชา ครั้นได้พระราชานุญาตแล้วจึงเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมพระราชา ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง

พระราชาทรงทักทายปราศรัยตรัสถามว่า ดูก่อนคฤหบดี มโหสถบุตรของท่านอยู่ไหน 

เศรษฐีทูลตอบว่า มาภายหลัง 

พระราชาทรงทราบดังนี้ก็ดีพระหฤทัยตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ท่านจงดูอาสน์ควรแก่ตนนั่ง 

เศรษฐีนั้นก็นั่ง ณ อาสน์ที่ควรแก่ตนในที่ส่วนหนึ่ง 

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ประดับตกแต่งตัวแล้ว มีเด็กพันหนึ่งห้อมล้อมนั่งรถที่ประดับแล้ว เมื่อเข้าสู่พระนคร เห็นลาตัวหนึ่งเที่ยวอยู่ที่หลังคู จึงสั่งบริวารที่มีกำลังแข็งแรงว่า เจ้าจงผูกลาตัวหนึ่งที่ปากอย่าให้ร้องได้แล้วห่อด้วยเสื่อลำแพน ให้นอนในเครื่องลาดแบกมา บริวารเหล่านั้นก็ทำตามสั่ง 

มโหสถไปถึงทวารพระราชฐาน ให้กราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระราชาทรงสดับว่ามโหสถมา ก็ทรงโสมนัสตรัสว่า มโหสถบุตรเรา จงรีบมาเถิด 

มโหสถพร้อมด้วยเด็กพันหนึ่งเป็นบริวาร ขึ้นสู่ปราสาทถวายบังคมพระราชา ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนหนึ่ง พระราชาทอดพระเนตรเห็นมโหสถก็ทรงพระปราโมทย์ ตรัสปฏิสันถารอย่างอ่อนหวานว่า แน่ะบัณฑิตเจ้าจงรู้อาสน์ที่สมควรนั่งเถิด 

กาลนั้น พระโพธิสัตว์แลดูเศรษฐีผู้บิดา ลำดับนั้นบิดาของมโหสถก็ลุกจากอาสน์ด้วยสัญญาที่บุตรแลดูแล้ว กล่าวว่า แน่ะบัณฑิตเจ้าจงนั่งที่อาสน์นี้

มโหสถก็นั่งที่อาสน์นั้น 

เสนกะ ปุกกุสะ กามินทะ เทวินทะและชนเหล่าอื่นผู้โฉดเขลา ก็พากันตบมือสรวลเสเฮฮาเยาะเย้ยว่า คนทั้งหลายพากันเรียกคนโฉดเขลาผู้นี้ว่าบัณฑิต การเรียกผู้ที่ให้บิดาลุกจากอาสน์ แล้วตนนั่งเสียเองนี้ว่า บัณฑิต ไม่สมควร 

พระราชามีพระพักตร์เศร้าหมอง ทรงเสียพระหฤทัย 

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลถามพระราชาว่า พระองค์เสียพระราชหฤทัยหรือพระเจ้าข้า 

พระราชามีพระราชดำรัสตอบว่า เออ ข้าเสียใจ เพราะได้ฟังความเป็นไปของเจ้าก็เป็นที่ยินดี แต่พอได้เห็นความเป็นไปของเจ้าก็เกิดเสียใจ เพราะว่าเจ้าให้บิดาของเจ้าลุกจากอาสน์แล้วเจ้านั่งเสียเอง 

มโหสถจึงทูลถามว่า ก็พระองค์ทรงสำคัญว่า บิดาอุดมกว่าบุตรในที่ทั่วไปหรือ 

ครั้นตรัสตอบว่า เข้าใจอย่างนั้น 

จึงกราบทูลว่า พระองค์พระราชทานข่าวไปว่า ให้ข้าพระบาทส่งม้าอัสดรหรือม้าประเสริฐกว่าม้าสามัญมาถวายไม่ใช่หรือพระเจ้าข้า 

กราบทูลดังนี้แล้ว ลุกจากอาสน์ให้บริวารให้นำลาที่นำมานั้น มาให้นอนแทบพระบาทยุคลแห่งพระเจ้าวิเทหราช แล้วกราบทูลถามว่า ลานี้ราคาเท่าไรพระเจ้าข้า

พระราชาตรัสตอบว่า ราคามัน ๘ กหาปณะ 

มโหสถทูลถามต่อไปว่า ก็ม้าอัสดรอาศัยลานี้เกิดในท้องนางม้าสามัญ หรือนางลาอันเป็นแม่ม้าอาชาไนย ม้าอัสดรนั้นจักมีราคาเล่าไรเล่า พระเจ้าข้า

ครั้นพระราชาตรัสตอบว่า หาค่ามิได้ซิ เจ้าบัณฑิต 

ข้าแต่สมมติเทพ เหตุไรตรัสดังนั้น ก็พระองค์ตรัสเมื่อกี้นี้ว่า บิดาอุดมกว่าบุตรในที่ทุกสถานมิใช่หรือ ถ้าพระราชดำรัสนั้นจริง ลาก็อุดมกว่าม้าอัสดรของพระองค์ พระองค์จงทรงรับลานั้นไว้ ถ้าว่าม้าอัสดรอุดมกว่าลาทั้งหลายพระองค์จงทรงรับม้าอัสดรนั้นไว้ ก็เป็นอย่างไร บัณฑิตทั้งหลายของพระองค์จึงไม่สามารถจะรู้เหตุเท่านี้ พากันตบมือหัวเราะเฮฮา โอ บัณฑิตทั้งหลายของพระองค์บริบูรณ์ด้วยปัญญา พวกนั้นพระองค์ได้มาแต่ไหน 

ครั้นทูลอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ก็กราบทูลว่า ถ้าบิดาประเสริฐกว่าบุตรทั้งหลาย ขอได้ทรงรับบิดาของข้าพระองค์ไว้ ถ้าบุตรประเสริฐกว่าบิดา ขอได้ทรงรับข้าพระองค์ไว้ เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำนั้นก็ทรงโสมนัส ราชบริษัททั้งปวงก็แซ่ซ้องสาธุการว่า มโหสถบัณฑิตกล่าวปัญหาดีแล้ว บัณฑิต ๔ คน ต่างมีหน้าเศร้าหมองซบเซาไปตาม ๆ กัน

ปุจฉาว่า บุคคลผู้รู้คุณแห่งบิดามารดา เช่นกับพระโพธิสัตว์ย่อมไม่มีมิใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไรพระโพธิสัตว์จึงทำอย่างนี้

วิสัชนาว่า พระโพธิสัตว์นั้นได้ทำอย่างนั้น เพื่อประสงค์จะดูหมิ่นบิดาก็หาไม่ ก็แต่พระราชาส่งข่าวไปว่า ให้ส่งม้าอัสดรหรือม้าประเสริฐกว่าม้าสามัญมาถวาย เพราะฉะนั้นจึงทำอย่างนี้ เพื่อจะทำปัญหานั้นให้แจ่มแจ้งเพื่อจะประกาศความที่ตนเป็นบัณฑิต และเพื่อจะทำอาจารย์ทั้ง ๔ มีเสนกะเป็นต้นให้หมดรัศมี

พระเจ้าวิเทหราชทรงรับมโหสถบัณฑิตไว้เป็นราชบุตร

พระเจ้าวิเทหราชทรงยินดี จับพระเต้าทองคำอันเต็มด้วยน้ำหอมทรงหลั่งน้ำนั้นลงในมือสิริวัฒกเศรษฐี พระราชทานให้ปกครองปาจีนยวมัชฌคาม แล้วตรัสว่า เหล่าอนุเศรษฐีจงบำรุงสิริวัฒกเศรษฐี แล้วให้ส่งเครื่องสรรพาลังการพระราชทานแก่นางสุมนาเทวีมารดาพระโพธิสัตว์ 

พระเจ้าวิเทหราชทรงเลื่อมใสในปัญหาลา จึงตรัสกะเศรษฐีเพื่อจะทรงรับพระโพธิสัตว์ไว้เป็นราชบุตรที่รักของพระองค์ว่า ดูก่อนคฤหบดีผู้เจริญ ท่านจงให้มโหสถบัณฑิตไว้เป็นราชบุตรแห่งเรา 

เศรษฐีทูลค้านว่า ข้าแต่สมมติเทพ มโหสถบุตรของข้าพระองค์นี้ยังเด็กนัก จนถึงวันนี้ กลิ่นน้ำนมในปากของเธอยังได้กลิ่นอยู่ ต่อในกาลเมื่อเธอเป็นผู้ใหญ่ เธอจึงอยู่ในราชสำนัก 

พระราชาตรัสว่า นับแต่นี้ไปท่านอย่าห่วงใยในมโหสถเลย มโหสถนี้จักเป็นราชบุตรของเราแต่วันนี้ไปเราพอจะเลี้ยงบุตรของท่านได้ ท่านจงกลับบ้านเถิด 

ตรัสฉะนี้แล้วมีพระราชานุญาตให้เศรษฐีกลับบ้าน เศรษฐีถวายบังคมบรมกษัตริย์แล้วสวมกอดมโหสถให้นอนแนบอก จุมพิตศีรษะ ให้โอวาทแก่มโหสถว่า แน่ะพ่อดุจดวงใจ ดุจดวงตาอันประเสริฐ พ่อมโหสถผู้บัณฑิต พ่ออย่าทำให้บิดาหาที่พึ่งมิได้ นับแต่นี้ไป พ่อจงบำรุงพระราชาของเราทั้งหลายด้วยความไม่ประมาทเถิด

มโหสถไหว้บิดาแล้วกล่าวว่า บิดาอย่าวิตกเลย แล้วส่งให้บิดากลับเคหสถานแห่งตน

พระเจ้าวิเทหราชตรัสถามมโหสถว่า เจ้าจักเป็นข้าหลวงเรือนในหรือข้าหลวงเรือนนอก พระโพธิสัตว์คิดว่า บริวารของเรามีมาก ควรเราจักเป็นข้าหลวงเรือนนอก จึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์จักเป็นข้าหลวงเรือนนอกลำดับนั้น พระราชาจึงพระราชทานเคหสถานอันสมควร แล้วพระราชทานเสบียงและเครื่องอุปโภคทั้งปวง ตลอดถึงบริวารพันหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมา มโหสถบัณฑิตก็รับราชการกับพระราชา ฝ่ายพระราชาก็ทรงใคร่จะทดลองมโหสถนั้นต่อไป

หัวข้อว่า แก้วมณีในรังกา

ก็กาลนั้น แก้วมณีได้มีอยู่ในรังกาบนต้นตาลต้นหนึ่งที่ริมฝั่งสระโบกขรณี ไม่ไกลประตูเบื้องทักษิณแห่งพระนคร เงาของแก้วมณีนั้นปรากฏในสระโบกขรณี ชนทั้งหลายทูลแด่พระราชาว่า แก้วมณีมีอยู่ในสระโบกขรณีพระราชาตรัสเรียกเสนกะมาตรัสถามว่า แน่ะอาจารย์เสนกะ ได้ยินว่า มณีรัตนะปรากฏในสระโบกขรณี ทำอย่างไร จึงจะถือเอาแก้วมณีนั้นได้ 

ครั้นเสนกทูลว่า ควรวิดน้ำถือเอา จึงมอบการนั้นให้เป็นภาระของเสนก อาจารย์เสนกให้คนเป็นอันมากประชุมกันวิดน้ำโกยตมออกจากสระโบกขรณี แม้ขุดถึงพื้นก็ไม่เห็นแก้วมณี เมื่อน้ำเต็มสระโบกขรณี เงาแก้วมณีก็ปรากฏอีก เสนกก็ทำดังนั้นอีก ก็ไม่เห็นแก้วมณีนั้นเลย 

ต่อนั้นพระราชาตรัสเรียกมโหสถบัณฑิตมาตรัสว่า แก้วมณีดวงหนึ่งปรากฏในสระโบกขรณี อาจารย์เสนกให้นำน้ำและโคลนออกจากสระโบกขรณี กระทั่งขุดพื้นก็ไม่เห็นแก้วมณีนั้น เมื่อน้ำเต็มสระโบกขรณี เงาแก้วมณีก็ปรากฏอีก เจ้าสามารถจะให้เอาแก้วมณีนั้นมาได้หรือ 

มโหสถกราบทูลสนองว่า ข้อนั้นหาเป็นการหนักไม่ พระเจ้าข้า เชิญเสด็จเถิด ข้าพระองค์จักแสดงแก้วมณีนั้นถวาย 

พระเจ้าวิเทหราชได้สดับดังนั้นก็ทรงดีพระหฤทัย ทรงคิดว่า วันนี้เราจักเห็นกำลังปัญญาของมโหสถบัณฑิต ก็เสด็จพร้อมด้วยข้าราชบริพารไปสู่ฝั่งโบกขรณี 

พระมหาสัตว์ยืนที่ฝั่งแลดูมณีรัตนะก็รู้ว่า แก้วมณีนี้ไม่มีในสระโบกขรณี มีอยู่บนต้นตาล จึงกราบทูลว่า แก้วมณีไม่มีในสระโบกขรณี พระเจ้าข้า 

ครั้นพระเจ้าวิเทหราชรับสั่งว่า แก้วมณีปรากฏในน้ำไม่ใช่หรือ 

พระมหาสัตว์จึงให้นำภาชนะสำหรับขังน้ำมาใส่น้ำเต็ม แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ทอดพระเนตร แก้วมณีนี้หาได้ปรากฏในสระโบกขรณีแต่แห่งเดียวไม่ แม้ในภาชนะน้ำก็ปรากฏ 

ครั้นพระเจ้าวิเทหราชตรัสถามว่า เจ้าบัณฑิต ก็แก้วมณีมีอยู่ที่ไหน 

มโหสถบัณฑิตจึงกราบทูลสนองว่า ข้าแต่สมมติเทพเงาปรากฏในสระโบกขรณีบ้าง ในภาชนะน้ำบ้าง แก้วมณีไม่ได้อยู่ในสระโบกขรณี แต่แก้วมณีมีอยู่ในรังกาบนต้นตาล 

พระเจ้าวิเทหราชจึงโปรดให้ราชบุรุษขึ้นไปนำลงมาถวายเถิด พระราชาก็ตรัสให้ราชบุรุษขึ้นไปนำแก้วมณีลงมา มโหสถบัณฑิตรับแก้วมณีจากราชบุรุษแล้ววางในพระหัตถ์ของพระราชา มหาชนให้สาธุการแก่มโหสถบัณฑิต บริภาษอาจารย์เสนก ชมเชยมโหสถว่า แก้วมณีอยู่บนต้นตาล เสนกโง่ให้คนมากมายขุดสระทำลายสระโบกขรณี แต่มโหสถบัณฑิตไม่ทำเช่นนั้น 

แม้พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงโสมนัส พระราชทานสร้อยมุกดาหารเครื่องประดับพระศอของพระองค์ แก่มโหสถ พระราชทานสร้อยมุกดาวลีแก่ เด็กผู้เป็นบริวารพันหนึ่ง ทรงอนุญาตพระโพธิสัตว์พร้อมบริวารให้ปฏิบัติราชการโดยทำนองนี้

จบปัญหา ๑๙ ข้อ

เรื่องกิ้งก่าได้ทอง

อีกวันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปพระราชอุทยานกับมโหสถบัณฑิต กาลนั้น มีกิ้งก่าตัวหนึ่งอยู่ที่ปลายเสาค่าย มันเห็นพระราชาเสด็จมาก็ลงจากเสาค่ายหมอบอยู่ที่พื้นดิน พระราชาทอดพระเนตรเห็นกิริยาของกิ้งก่านั้นจึงตรัสถามว่า แน่ะบัณฑิต กิ้งก่าตัวนี้ทำอะไร 

มโหสถทูลตอบว่า กิ้งก่าตัวนี้ถวายตัว พระเจ้าข้า 

พระราชาตรัสว่า การถวายตัวของกิ้งก่าอย่างนี้ ไม่มีผลก็หามิได้ ท่านจงให้โภคสมบัติแก่มัน 

มโหสถกราบทูลว่ากิ้งก่านี้หาต้องการทรัพย์ไม่ ควรพระราชทานเพียงแต่ของกินก็พอ 

ครั้นตรัสถามว่า มันกินอะไร 

ทูลตอบว่า มันกินเนื้อ 

แล้วตรัสซักถามว่า มันควรได้ราคาเท่าไร 

ทูลว่า ราคาราวกากณึกหนึ่ง 

จึงตรัสสั่งราชบุรุษหนึ่งว่า รางวัลของหลวงเพียงกากณึกหนึ่งไม่ควร เจ้าจงนำเนื้อราคากึ่งมาสกมาให้มันกินเป็นนิตย์ 

ราชบุรุษรับพระราชโองการ ทำดังนั้นนับแต่นั้นมา 

วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ คนไม่ฆ่าสัตว์ ราชบุรุษนั้นไม่ได้เนื้อ จึงเจาะเหรียญกึ่งมาสกนั้นเอาด้ายร้อยผูกเป็นเครื่องประดับที่คอมัน ลำดับนั้น ความถือตัวก็เกิดขึ้นแก่กิ้งก่านั้น อาศัยมันมีกึ่งมาสกนั้น 

วันนั้น พระราชาเสด็จไปพระราชอุทยานกิ้งก่านั้นเห็นพระราชาเสด็จมา ก็ทำตนเสมอพระราชาด้วย เหมือนจะเข้าใจว่าพระองค์มีพระราชทรัพย์มากหรือ ตัวเราก็มีมากเหมือนกัน ด้วยอำนาจความถือตัวอันอาศัยทรัพย์กึ่งมาสกนั้นเกิดขึ้น ไม่ลงจากปลายเสาค่าย หมอบยกหัวร่อนอยู่ไปมาบนปลายเสาค่ายนั่นเอง พระเจ้าวิเทหราชได้ทอดพระเนตรเห็นกิริยาของมัน เมื่อจะตรัสถามว่า แน่ะเจ้าบัณฑิต วันนี้ มันไม่ลงมาเหมือนในก่อน เหตุเป็นอย่างไรหรือ

ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตรู้ว่า ในวันอุโบสถ คนไม่ฆ่าสัตว์ มันอาศัยกึ่งมาสกที่ราชบุรุษผูกไว้ที่คอ เพราะหาเนื้อให้กินไม่ได้ ความถือตัวของมันจึงเกิดขึ้น ดังนี้จึงกล่าวว่า

กิ้งก่าได้กึ่งมาสก ซึ่งไม่เคยได้ จึงดูหมิ่นพระเจ้าวิเทหราช ผู้ทรงสงเคราะห์ชาวกรุงมิถิลา

พระราชาตรัสให้เรียกราชบุรุษนั้นมาตรัสถาม ก็ได้ความสมจริงดังนั้น ก็ทรงเลื่อมใสในพระโพธิสัตว์เกินเปรียบ ด้วยเห็นว่า อัธยาศัยของกิ้งก่า มโหสถไม่ได้ถามอะไร ๆ ก็รู้ได้ ดังพระสัพพัญญูพุทธเจ้ารู้อัธยาศัยเวไนยสัตว์ ฉะนั้น จึงพระราชทานส่วยที่ประตูทั้ง ๔ แก่มโหสถบัณฑิต แต่กริ้วกิ้งก่าทรงปรารภจะให้ฆ่าเสีย มโหสถทูลทัดทานพระราชาว่า ธรรมดาสัตว์ดิรัจฉานหาปัญญามิได้ ขอพระองค์โปรดยกโทษให้มันเถิด ขอเดชะ

 เรื่องสิริกับกาลกรรณี

ครั้งนั้น มีมาณพคนหนึ่ง ชื่อปิงคุตตระเป็นชาวมิถิลา ไปกรุงตักกศิลาเรียนศิลปะในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เรียนได้รวดเร็ว มาณพนั้นให้ทรัพย์เครื่องตอบคุณอาจารย์แล้วจึงลากลับบ้าน ก็ธรรมเนียมมีอยู่ว่า ถ้าธิดาในสกุลนั้นเป็นผู้เจริญวัย อาจารย์ต้องยกให้แก่ศิษย์ผู้ใหญ่ อาจารย์นั้นมีธิดาอยู่คนหนึ่ง มีรูปงามเปรียบด้วยเทพอัปสร ลำดับนั้น อาจารย์กล่าวกะปิงคุตตรมาณพนั้นว่า เราให้ธิดาแก่เจ้า เจ้าจงพาไปด้วย 

แต่มาณพนั้นไม่ใช่ผู้มีบุญ เป็นคนกาลกรรณี ส่วนนางกุมาริกาเป็นผู้มีบุญมาก จิตของปิงคุตตรมาณพมิได้ปฏิพัทธ์เพราะเห็นนางกุมาริกานั้น มาณพนั้น แม้ไม่ปรารถนานางกุมาริกาก็ต้องรับด้วยคิดว่า เราจักไม่ทำลายคำของอาจารย์ 

พราหมณ์ทิศาปาโมกข์ได้ให้ธิดาแก่มาณพนั้น มาณพนั้นนอน ณ ที่นอนอันมีสิริที่ตกแต่งแล้วในเวลาราตรี ให้ละอายใจเนื่องเพราะนางกุมารีนั้นมาขึ้นนอนด้วย ก็ลงจากที่นอน มานอนที่พื้น ฝ่ายนางกุมาริกาก็ลงมานอนใกล้ ๆ มาณพนั้น มาณพก็ลุกขึ้นไปบนที่นอน นางกุมาริกานั้นก็ขึ้นไปยังที่นอนอีก พอนางกุมาริกาขึ้นไปมาณพก็ลงจากที่นอน นอนที่พื้นอีก 

ชื่อว่ากาลกรรณีย่อมไม่ร่วมกับสิริ

นางกุมาริกานอนที่ที่นอน มาณพนั้นนอนที่ภาคพื้น มาณพนั้นยังกาลให้ล่วงไปอย่างนี้สิ้นสัปดาห์หนึ่ง ก็พานางกุมาริกานั้นไหว้อาจารย์ออกจากพระนครตักกศิลา ในระหว่างทางมิได้พูดจาปราศรัยกันเลย ชนทั้งสองมิได้มีความปรารถนากัน 

เมื่อได้มาถึงกรุงมิถิลาปิงคุตตรมาณพถูกความหิวเบียดเบียน เห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งเต็มไปด้วยผลในที่ใกล้พระนคร ก็ขึ้นต้นไม้นั้น เคี้ยวกินผลมะเดื่อ ฝ่ายนางกุมาริกานั้นก็หิวโหยเช่นกัน จึงไปที่โคนต้นไม้กล่าวว่า ข้าแต่นาย จงทิ้งผลลงมาให้ข้าพเจ้าบ้าง 

มาณพนั้นตอบว่า มือตีนของเจ้าไม่มีหรือเจ้าจงขึ้นมาเก็บกินเอง 

นางก็ขึ้นไปเก็บเคี้ยวกิน มาณพเมื่อเห็นนางขึ้นมา ก็ได้โอกาส รีบลงล้อมสะต้นมะเดื่อด้วยหนามแล้วกล่าวว่า เราได้พ้นจากหญิงกาลกรรณีแล้ว แล้วก็หนีไป นางกุมาริกานั้นเมื่อไม่อาจลงจากต้นมะเดื่อ ก็นั่งอยู่บนนั้นนั่นเอง 

วันนั้น พระเจ้าวิเทหราชเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ทรงเล่นอยู่ในพระราชอุทยานนั้นแล้วเมื่อประทับนั่งบนคอช้างเสด็จเข้าพระนครในเวลาเย็น ได้ทอดพระเนตรเห็นนางกุมาริกานั้น มีพระหฤทัยปฏิพัทธ์ในนาง จึงตรัสสั่งให้ถามว่า นางมีผู้หวงแหนหรือหาไม่ 

นางแจ้งว่า สามีของนางที่สกุลตบแต่งให้นั้นมีอยู่ แต่เขาให้ข้าพเจ้านั่งบนต้นไม้นี้ แล้วทิ้งข้าพเจ้าหนีไปเสีย 

อำมาตย์กราบทูลความนั้นแด่พระราชา พระราชาทรงดำริว่า ภัณฑะไม่มีเจ้าของ ตกเป็นของหลวง จึงให้รับนางลงแล้วให้ขึ้นคอช้างนำไปราชนิเวศน์ อภิเษกสถาปนาไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี พระนางเป็นที่รัก เป็นที่ชอบพระหฤทัยแห่งพระราชา ชนทั้งหลายกำหนดรู้พระนามของพระนางว่า อุทุมพรเทวี เพราะพระราชาได้พระนางมาแต่อุทุมพรพฤกษ์

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าหน้าที่จ้างชาวบ้านใกล้ประตูเมืองให้แผ้วถางทางเพื่อประโยชน์ในการเสด็จพระราชดำเนินสู่สวนหลวง ปิงคุตตรมาณพเมื่อทำการจ้าง โจงกระเบนมั่นถางทางด้วยจอบ เมื่อทางยังไม่แล้ว พระราชาประทับบนรถที่นั่งกับด้วยพระนางอุทุมพรเทวีเสด็จออกจากพระนคร 

พระนางอุทุมพรเทวีได้ทอดพระเนตรเห็นปิงคุตตรมาณพผู้กาลกรรณีนั้นแผ้วถางอยู่ เมื่อทอดพระเนตรมาณพนั้น ด้วยนึกในพระหฤทัยว่า บุรุษกาลกรรณีนี้ไม่สามารถจะทรงสิริเห็นปานดังนี้ไว้ ก็ทรงพระสรวล พระราชาทอดพระเนตรเห็นพระนางทรงพระสรวลก็กริ้ว ตรัสถามว่า หัวเราะอะไร 

พระนางกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ บุรุษผู้ถางทางนี้เป็นสามีคนเก่าของข้าพระบาท ยังข้าพระบาทให้ขึ้นต้นมะเดื่อแล้วเอาหนามสะวงไว้แล้วหนีไป ข้าพระบาทแลดูเขาแล้วคิดว่า บุรุษกาลกรรณีนี้ไม่สามารถจะทรงสิริเห็นปานดังนี้ไว้ จึงหัวเราะ 

พระราชาตรัสว่าเธอกล่าวมุสา เธอเห็นอะไรอื่น เราจักฆ่าเธอ ตรัสฉะนี้แล้วทรงจับพระแสงดาบ 

พระนางมีความเกรงกลัวพระราชอาญา จึงกราบทูลว่า ขอพระองค์ตรัสถามบัณฑิตทั้งหลายก่อน 

พระราชาจึงตรัสถามเสนกว่า ท่านเชื่อหรือ

เสนกทูลว่า ข้าพระองค์ไม่เชื่อ ชายอะไรจะละสตรีดังเช่นพระเทวีนี้ไป พระเจ้าข้า 

พระนางอุทุมพรได้ทรงสดับคำของเสนกยิ่งกลัวพระราชอาญาเหลือเกิน ลำดับนั้น พระราชาทรงดำริว่า เสนกจะรู้อะไร เราจักถามมโหสถ จึงตรัสถามมโหสถว่า

ดูก่อนมโหสถบัณฑิต สตรีผู้รูปงาม และนางนั้นสมบูรณ์ด้วยอาจารมารยาท จะมีบุรุษที่ไม่ปรารถนาสตรีนั้น เจ้าเชื่อเรื่องนี้หรือ

มโหสถบัณฑิตได้ฟังกระแสพระราชดำรัสนั้น จึงกล่าวว่า

ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์เชื่อ บุรุษผู้หาบุญมิได้นั้นย่อมมีในโลกนี้ สิริและกาลกรรณีย่อมร่วมกันไม่ได้ ไม่ว่าในกาลไหน ๆ 

พระราชาทรงทราบเหตุการณ์นั้นตามคำของมโหสถก็ทรงหายกริ้ว ทรงยินดีต่อมโหสถ ตรัสว่า 

แน่ะเจ้าบัณฑิต ถ้าไม่ได้เจ้า วันนี้ข้าจักเสื่อมจากสตรีแก้วเช่นนี้ ด้วยถ้อยคำของเสนกผู้โฉดเขลา ข้าได้นางนี้ไว้เพราะอาศัยเจ้า 

ตรัสชมฉะนี้แล้ว พระราชทานกหาปณะแสนหนึ่งบูชามโหสถ 

ฝ่ายพระเทวีถวายบังคมพระราชาแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่เทพเจ้า ข้าพระองค์ได้ชีวิตเพราะอาศัยมโหสถบัณฑิต ข้าพระองค์ปรารถนาพระพรเพื่อให้มโหสถบัณฑิตนี้ตั้งอยู่ในที่เป็นน้องชาย ขอพระองค์โปรดประทานเถิด 

พระเจ้าวิเทหราชก็พระราชทานพรแก่พระนางว่า ดีแล้วพระเทวี เธอจงรับพร เราให้พรแก่เธอ 

พระนางจึงกราบทูลว่า ข้าแต่เทพเจ้า นับแต่วันนี้ ข้าพระองค์จะไม่บริโภคอะไร ๆ มีรสอร่อยแต่เพียงผู้เดียว โดยมิได้แบ่งปันให้น้องชายผู้นี้ ตั้งแต่นี้ไป ข้าพระองค์จงได้รับอนุญาตจากพระองค์เพื่อให้เปิดประตูได้ในทุกเวลา เพื่อส่งของมีรสอร่อยไปให้น้องชายนั้น ข้าพระองค์ขอรับพระพรนี้ 

พระเจ้าวิเทหราชตรัสว่า ดีแล้ว นางผู้เจริญ เธอจงรับพรนี้

เรื่องแพะในทวาทสนิบาต

วันอื่น พระเจ้าวิเทหราชเสวยกระยาหารเช้าแล้ว เสด็จดำเนินไปมา ณ ระหว่างพื้นยาวแห่งปราสาท เมื่อทอดพระเนตรออกไปทางช่องพระแกล ได้ทอดพระเนตรเห็นแพะหนึ่ง สุนัขหนึ่ง ทำความเชยชิดเป็นมิตรกัน 

เรื่องมีอยู่ว่า แพะนั้นกินหญ้าในโรงช้างที่เขาวางไว้หน้าช้าง คนเลี้ยงช้างทั้งหลายจึงไล่ตีแพะนั้นให้ออกไป คนเลี้ยงช้างคนหนึ่งไล่ติดตามแพะนั้น ซึ่งร้องหนีไปโดยเร็ว เอาท่อนไม้ตีขวางลงที่หลังแพะ แพะนั้นแอ่นหลังได้ทุกขเวทนาไปนอนใกล้ตั่งอาศัยฝาใหญ่ในพระราชคฤหาสน์ 

วันนั้นสุนัขเคี้ยวกินกระดูกและหนังเป็นต้นที่ห้องเครื่องหลวงจนอ้วนพี เมื่อพ่อครัวจัดภัตตาหารแล้วก็ออกไปข้างนอกครัวเพื่อผึ่งเหงื่อในตัวให้แห้ง สุนัขนั้นได้กลิ่นอาหาร ไม่อาจอดกลั้นความอยากก็เข้าไปในห้องเครื่อง ทำฝาปิดภาชนะให้ตกลงแล้วเคี้ยวกินเนื้อในภาชนะนั้น ฝ่ายพ่อครัวได้ยินเสียงฝาภาชนะตก ก็เข้าไปตามเสียง เห็นสุนัขกำลังกินเนื้ออยู่จึงปิดประตูตีสุนัขนั้นด้วยก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น สุนัขนั้นก็ทิ้งเนื้อที่เคี้ยวกินจากปากร้องวิ่งหนีออกไป พ่อครัวรู้ว่าสุนัขหนีออกไป จึงติดตามไปตีขวางที่หลังด้วยท่อนไม้ สุนัขก็แอ่นหลังยกเท้าข้างหนึ่งเข้าไปในที่แพะนอน 

แพะถามสุนัขนั้นว่า เพื่อนแอ่นหลังยกเท้าข้างหนึ่งมาด้วยเหตุไร ลมเสียดแทงเพื่อนหรือ 

ฝ่ายสุนัขก็ถามว่า เพื่อนแอ่นหลังนอนอยู่ ลมเสียดแทงเพื่อนหรือ

แพะบอกเรื่องของตนแก่สุนัข แม้สุนัขก็บอกอย่างนั้นเหมือนกัน ลำดับนั้นแพะถามสุนัขว่า เพื่อนสามารถจะไปสู่โรงครัวอีกหรือ 

สุนัขตอบว่า ข้าไม่สามารถแล้ว เมื่อข้าไปชีวิตจะไม่มี ก็เพื่อนสามารถจะไปสู่โรงช้างอีกหรือ

แพะตอบว่า ถึงข้าก็ไม่กล้าไปที่โรงช้างนั้น ถ้าข้าขืนไป ชีวิตก็จะไม่มี 

สัตว์ทั้งสองคิดหาอุบายว่า บัดนี้เราจะเป็นอยู่ได้อย่างไรหนอ แพะจึงกล่าวกะสุนัขว่า ถ้าเราทั้งสองอาจอยู่ร่วมกัน อุบายก็มี คือตั้งแต่นี้ไป เจ้าจงไปโรงช้าง พวกคนเลี้ยงช้างจักไม่สงสัยในตัวเจ้า ด้วยเห็นว่า สัตว์นี้ไม่กินหญ้า เจ้าพึงนำหญ้ามาเพื่อข้า ส่วนข้าจักเข้าไปในโรงครัว พ่อครัวจักไม่สงสัยในตัวข้าด้วยเห็นว่า สัตว์นี้ไม่กินเนื้อ ข้าก็จักนำเนื้อมาเพื่อเจ้า 

สัตว์ทั้งสองตกลงกันว่า อุบายนี้เข้าที สุนัขจึงไปโรงช้าง คาบฟ่อนหญ้านำมาวางไว้ใกล้หลังฝาใหญ่ ฝ่ายแพะไปสู่ห้องเครื่องคาบก้อนเนื้อเต็มปากนำมาวางไว้ใกล้ที่นั้นเอง สุนัขก็เคี้ยวกินเนื้อ แพะเคี้ยวกินหญ้า สัตว์ทั้งสองนั้นพร้อมเพรียงชอบพอกันอยู่ใกล้หลังฝาใหญ่ 

พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นความที่แพะและสุนัขทั้งสองนั้นชอบกันโดยเป็นเพื่อน จึงทรงจินตนาการว่า เหตุการณ์ที่เรายังไม่เคยเห็น เราได้เห็นแล้วในวันนี้ แต่ก่อนมาสัตว์ทั้งสองนี้เป็นศัตรูกัน บัดนี้อยู่ร่วมกันได้ เราจักจับเหตุการณ์นี้ทำเป็นปัญหาถามบัณฑิตทั้งหลาย บัณฑิตใดไม่รู้ปัญหานี้ เราจักขับบัณฑิตนั้นจากแคว้น แต่เราจักสักการะแก่บัณฑิตผู้รู้ เพราะบัณฑิตอื่นรู้อย่างนี้ไม่มี วันนี้หมดเวลาแล้ว พรุ่งนี้เราจักถามบัณฑิตเหล่านั้นในเวลามาทำการในหน้าที่ 

รุ่งขึ้นในเมื่อบัณฑิตทั้งหลายมานั่งทำการในหน้าที่ของตนแล้ว จึงตรัสถามปัญหาขึ้นว่า

ความที่สัตว์เหล่าใดเป็นเพื่อนกันในโลกนี้ แม้ไปด้วยกันสัก ๗ ก้าว ไม่เคยมีในกาลไหน ๆ สัตว์ ทั้งสองนั้นเป็นศัตรูกัน มาเป็นเพื่อนประพฤติเพื่อคุ้นกันได้ เพราะเหตุอะไร

ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ได้ตรัสอย่างนี้อีกว่า

ถ้าเวลากินอาหารเช้าแล้ววันนี้ ท่านทั้งหลายไม่สามารถกล่าวแก้ปัญหานี้ของเรา เราจักขับท่านทั้งปวงจากแว่นแคว้น เพราะเราไม่ต้องการพวกคนเขลา

เสนกะนั่งอยู่ต้นอาสนะ มโหสถบัณฑิตนั่งอยู่ที่สุดอาสนะ พระมหาสัตว์พิจารณาปัญหานั้น ยังไม่เห็นเนื้อความจึงคิดว่า พระราชาองค์นี้มีพระชวนะเฉื่อยช้า ไม่สามารถจะทรงจับคิดปัญหานี้ พระองค์คงจักทอดพระเนตรเห็นอะไรแน่ วันหนึ่งเมื่อเราได้โอกาสจักนำปัญหานี้ออกแสดง อาจารย์เสนกะจักยังพระราชาให้งดสักวันหนึ่งในวันนี้ ด้วยอุบายอย่างหนึ่งจะได้หรือ ชนทั้งสามนอกนี้แลไม่เห็นอะไร ๆ เหมือนเข้าห้องมืดฉะนั้น 

เสนกะแลดูพระโพธิสัตว์ด้วยมนสิการว่า ความเป็นไปของมโหสถจะเป็นอย่างไรหนอ 

ฝ่ายมโหสถก็แลดูเสนก เสนกรู้ความประสงค์ของพระโพธิสัตว์ ด้วยอาการที่พระโพธิสัตว์แลดู จึงคิดว่าปัญหานั้นยังไม่ปรากฏแก่มโหสถ เพราะเหตุนั้น มโหสถจึงปรารถนาโอกาสวันหนึ่ง เราจักทำมโนรถของมโหสถให้เป็นผล จึงสรวลขึ้นด้วยวิสาสะกับพระราชา ทูลว่า พระองค์จักขับข้าพระบาทเหล่านี้ ผู้ไม่สามารถกล่าวแก้ปัญหาจากแคว้นจริง ๆ หรือ พระเจ้าข้า 

พระราชาตรัสตอบว่าจริง ๆ ซิ บัณฑิต 

เสนกะจึงทูลว่า พระองค์ทรงกำหนดปัญหานี้ว่า ปัญหามีเงื่อนเดียวหรือ ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่สามารถจะกล่าวแก้ปัญหานี้ในวันนี้ ขอได้ทรงงดหน่อยหนึ่ง ปัญหานี้มีเงื่อน ข้าพระองค์ทั้งหลายจักกล่าวแก้ในท่ามกลางประชุมชน จะต้องนั่งคิดในที่หนึ่ง ภายหลังจักทูลแก้แด่พระองค์ ขอได้โปรดพระราชทานโอกาสแก่พวกข้าพระองค์

พระราชาทรงสดับคำของเสนกะก็ดีพระหฤทัย ตรัสคุกคามดังนี้ว่า ดีแล้ว ท่านทั้งหลายจงคิด เมื่อแก้ไม่ได้จักให้ขับเสีย 

บัณฑิตทั้ง ๔ ลงจากพระราชนิเวศน์ เสนกะจึงกล่าวกะบัณฑิตอื่นว่า พระราชาตรัสถามปัญหาสุขุม เมื่อพวกเราแก้ไม่ได้ ภัยใหญ่จักเกิดขึ้น เหตุนั้น ท่านทั้งหลายบริโภคสบายแล้ว จงพิจารณาปัญหานั้นโดยชอบ

ฝ่ายมโหสถลุกไปสู่สำนักพระราชเทวีอุทุมพรทูลถามว่า ข้าแต่พระเทวีเจ้า วันนี้หรือวานนี้พระราชาประทับอยู่ในที่ไหนนาน พระนางอุทุมพรรับสั่งว่า เมื่อวานนี้พระราชาเสด็จไปมา ทอดพระเนตรที่พระแกล ณ ภายในพื้นยาว 

แต่นั้นพระโพธิสัตว์จึงคิดว่า พระราชาจักได้ทอดพระเนตรเห็นเหตุอะไร ๆ โดยข้างนี้ จึงไปในที่นั้นแลดูภายนอก ได้เห็นกิริยาแห่งแพะและสุนัข ก็ทำความเข้าใจว่า พระราชาทอดพระเนตรเห็นสัตว์ทั้งสองนี้ จึงทรงประพันธ์ปัญหาจับเค้าได้ฉะนี้แล้วก็กลับไปเคหสถาน 

ฝ่ายบัณฑิตทั้งสามคิดแล้วไม่เห็นอะไรจึงไปหาเสนกะ เสนกะเห็นบัณฑิตทั้งสามนั้นจึงถามว่า ท่านเห็นปัญหาแล้วหรือ 

ครั้นได้รับตอบว่ายังไม่เห็น จึงกล่าวว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น พระราชาจักขับท่านทั้งหลายจากแว่นแคว้น ท่านทั้งหลายจักทำอย่างไร 

ครั้นบัณฑิตทั้งสามย้อนถามว่า ก็ท่านเห็นหรือ 

ก็ตอบว่า แม้เราก็ยังไม่เห็น 

ครั้นบัณฑิตทั้งสามกล่าวว่า เมื่ออาจารย์ไม่เห็น ข้าพเจ้าทั้งหลายจะเห็นอะไร ก็เมื่อวานนี้เราทั้งหลายบันลือสีหนาทในราชสำนักว่า จักคิดแก้ แล้วมาบ้าน บัดนี้พระราชาจักกริ้วพวกเราผู้แก้ไม่ได้ พวกเราจักทำอย่างไร 

เสนกะจึงกล่าวว่า ปัญหานี้อันเราทั้งหลายไม่อาจเห็น มโหสถจักคิดได้ตั้งหลายร้อยนัย เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงมาไปสำนักมโหสถด้วยกันกับเรา 

บัณฑิตทั้งสี่ไปสู่ประตูเคหสถานแห่งมโหสถ ให้แจ้งความที่ตนมาแล้วเข้าไปสู่เรือน ปราศรัยกันแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง แล้วถามมโหสถว่า บัณฑิต ท่านคิดปัญหาได้แล้วหรือ

พระโพธิสัตว์ตอบว่า ในเมื่อข้าพเจ้าคิดไม่ได้ คนอื่นใครจักคิดได้ เออ ปัญหานั้นข้าพเจ้าคิดได้แล้ว 

ครั้นเมื่อบัณฑิตทั้งสี่กล่าวว่า ถ้ากระนั้นท่านจงบอกแก่ข้าพเจ้าบ้าง มโหสถจึงดำริว่า ถ้าเราจักไม่บอกแก่บัณฑิตทั้งสี่นี้ พระราชาจักกริ้วบัณฑิตทั้งสี่ ขับเสียจากแคว้น พระราชทานรัตนะ ๗ แก่เรา คนเขลาเหล่านี้อย่าได้ฉิบหายเสียเลย เราจักบอกแก่พวกนี้ ดำริฉะนี้แล้วให้บัณฑิตทั้งสี่นั่ง ณ อาสน์ต่ำแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงพยากรณ์อย่างนี้ ในกาลเมื่อพระราชาตรัสถาม แล้วให้บัณฑิตทั้งสี่เรียนบาลีประพันธ์เป็นคาถา ๔ คาถาแล้วส่งให้กลับไป

ในวันที่ ๒ บัณฑิตเหล่านั้นไปสู่ราชุปัฏฐาน นั่ง ณ อาสน์ที่ลาดไว้ พระราชาตรัสถามเสนกะว่า ท่านรู้ปัญหาแล้วหรือ เสนกะจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า เมื่อข้าพระองค์ไม่รู้ คนอื่นใครเล่าจักรู้ ครั้นรับสั่งให้กล่าว จึงกล่าวคาถาโดยทำนองที่เรียนมาทีเดียวว่า

เนื้อแพะเป็นที่รักที่เจริญใจแห่งบุตรอำมาตย์ และ พระราชโอรส ชนเหล่านั้นไม่บริโภคเนื้อสุนัข ครั้งนี้ มิตรธรรมแห่งแพะนั้นกับด้วยสุนัข มีต่อกัน

แม้กล่าวคาถาแล้ว เสนกะก็หารู้เนื้อความไม่ ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชทรงทราบความ เพราะปรากฏแก่พระองค์ เพราะฉะนั้นจึงตรัสถามปุกกุสะต่อไป ด้วยเข้าพระหฤทัยว่า เสนกะรู้แล้ว ฝ่ายปุกกุสะจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์ไม่ใช่บัณฑิตหรือ แล้วกล่าวคาถาโดยทำนองที่เรียนมาทีเดียวว่า

ชนทั้งหลายใช้หนังแพะเป็นเครื่องลาดหลังม้า เป็นเหตุแห่งความสุข ไม่ใช้หนังสุนัขเป็นเครื่องลาดหลังม้า ครั้งนี้มิตรธรรมแห่งแพะนั้นกับด้วยสุนัข มีต่อกัน

แม้ปุกกุสะก็ไม่รู้ความหมายแห่งบาทคาถานั้น

ฝ่ายพระราชาเข้าพระหฤทัยว่า ปุกกุสะนี้รู้เนื้อความเพราะปรากฏแก่พระองค์ จึงตรัสถามกามินทะต่อไป กามินทะจึงกล่าวคาถาตามที่ได้เรียนมาทีเดียวว่า

แพะมีเขาอันโค้งแท้จริง แต่เขาทั้งหลายแห่งสุนัขไม่มีเลย แพะกินหญ้า สุนัขกินเนื้อ ครั้งนี้มิตรธรรมแห่งแพะนั้นกับด้วยสุนัข มีต่อกัน

แม้กามินทะก็ไม่รู้ความหมายแห่งบาทคาถานั้น

พระราชาเข้าพระหฤทัยว่า แม้กามินทะนี้ก็รู้เนื้อความแล้ว จึงตรัสถามเทวินทะต่อไป เทวินทะก็กล่าวคาถาตามที่ได้เรียนมาทีเดียวว่า

แพะกินหญ้ากินใบไม้ สุนัขไม่กินหญ้าไม่กินใบไม้ สุนัขจับกระต่ายหรือแมวกิน ครั้งนี้มิตรธรรมแห่งแพะนั้นกับด้วยสุนัข มีต่อกัน

แม้เทวินทะก็ไม่รู้ความหมายแห่งบาทคาถานั้น

ลำดับนั้น พระราชาเข้าพระหฤทัยว่า แม้เทวินทะนี้ก็รู้ เพราะปรากฏแก่พระองค์ จึงตรัสถามมโหสถว่า ดูก่อนพ่อมโหสถ แม้ตัวเจ้ารู้ปัญหานี้หรือ มโหสถโพธิสัตว์ทูลสนองว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ตั้งแต่อเวจีจนถึงภวัคคพรหม ยกข้าพระองค์เสีย คนอื่นใครจะรู้ปัญหานี้ ครั้นพระราชาตรัสให้กล่าวมโหสถบัณฑิตจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์ทรงฟัง

แพะมีเท้า ๔ เท้า มีกีบ ๘ สุนัขนี้นำหญ้ามาเพื่อแพะนี้ แพะนี้นำเนื้อมาเพื่อสุนัขนั้น พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าชาววิเทหรัฐประทับอยู่ ณ ปราสาทอันประเสริฐ ได้ทอดพระเนตรเห็นการนำอาหารมาแลกกันกินโดยประจักษ์ และได้ทอดพระเนตรเห็นมิตรธรรมแห่งสุนัขและแพะเอง

พระราชาเมื่อไม่ทรงทราบความที่อาจารย์ทั้งสี่เหล่านั้นรู้ปัญหาเพราะอาศัยมโหสถโพธิสัตว์ ทรงสำคัญว่า บัณฑิตทั้ง ๔ รู้ด้วยปัญญาของตนเอง ก็ทรงโสมนัสตรัสว่า

ลาภของเราไม่น้อยเลยที่มีบัณฑิตเช่นนี้อยู่ในราชสกุล เพราะว่าบัณฑิตทั้งหลายแทงตลอดเนื้อความ ของปัญหาอันลึกละเอียดด้วยเป็นสุภาษิต

ครั้นตรัสฉะนี้แล้วได้พระราชทานรถเทียมม้า รถหนึ่ง และบ้านส่วย บ้านหนึ่ง แก่บัณฑิตทั้งห้าเหล่านั้น
เรื่องสิริเมณฑกปัญหา

ฝ่ายพระราชเทวีอุทุมพรทรงทราบความที่บัณฑิตทั้ง ๔ รู้ปัญหาอาศัยมโหสถ จึงทรงดำริว่า พระราชาพระราชทานรางวัลแก่บัณฑิตทั้ง ๕ เป็นเหมือนคนทำค่าของถั่วเขียวให้เท่ากับถั่วราชมาษ จึงเสด็จไปเฝ้าพระราชาทูลถามว่า ใครทูลแก้ปัญหาถวาย พระราชาตรัสตอบว่า บัณฑิตทั้ง ๕ 

พระราชเทวีทูลว่า บัณฑิตทั้ง ๕ รู้ปัญหาของพระองค์อาศัยใคร 

พระราชาตรัสตอบว่า เราไม่รู้ 

พระนางอุทุมพรจึงกราบทูลว่า บัณฑิตทั้ง ๔ คนเหล่านี้จะรู้อะไร มโหสถให้เรียนปัญหาด้วยสงสารว่า คนเขลาเหล่านี้อย่าได้ฉิบหายเสียเลย ก็พระองค์พระราชทานรางวัลแก่บัณฑิตทั้งปวงเสมอกันนั่นไม่สมควรเลย ควรจะพระราชทานแก่มโหสถให้เป็นพิเศษ 

พระราชาทรงเห็นว่ามโหสถนี้ไม่บอกความที่บัณฑิตทั้ง ๔ รู้ปัญหาอาศัยตน ก็ทรงโสมนัส มีพระประสงค์จะทรงทำสักการะให้ยิ่งกว่า จึงทรงคิดว่า ยกไว้เถิด เราจักถามปัญหาอันหนึ่งกะบุตรของเรา และทำสักการะใหญ่ในกาลเมื่อบุตรของเรากล่าวแก้ เมื่อพระราชาทรงคิดปัญหาอันหนึ่ง จึงทรงคิดสิริเมณฑกปัญหา (ปัญหาว่าปัญญากับทรัพย์อะไรจะประเสริฐกว่ากัน) 

วันหนึ่ง เวลาบัณฑิตทั้ง ๕ มาเฝ้า จึงตรัสกะเสนกะว่า ท่านอาจารย์เสนกะ เราจักถามปัญหา

เสนกะกราบทูลรับว่า ตรัสถามเถิด พระเจ้าข้า 

พระราชาจึงตรัสคาถาที่หนึ่งในสิริเมณฑกปัญหาว่า

แน่ะอาจารย์เสนกะ เราถามเนื้อความนี้กะท่าน บรรดาคน ๒ พวก คือคนสมบูรณ์ด้วยปัญญา แต่เสื่อมจากสิริ และคนมียศแต่ไร้ปัญญา นักปราชญ์ยกย่องใครว่าประเสริฐ

ได้ยินว่า ปัญหานี้สืบเนื่องมาจากวงศ์ของเสนกะ ฉะนั้นเสนกะจึงได้กราบทูลเฉลยปัญหานั้นได้ทันทีว่า

ข้าแต่พระจอมประชาราษฏร์ คนฉลาดและคนเขลา คนบริบูรณ์ด้วยศิลปะและหาศิลปะมิได้ แม้มีชาติ สูงก็ย่อมเป็นผู้รับใช้ของคนหาชาติมิได้แต่มียศ ข้าพระองค์เห็นความดังนี้จึงขอทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนเลวทราม คนเป็นใหญ่นั่นแลเป็นคนประเสริฐ

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำของเสนกะนั้นแล้ว ไม่ตรัสถามอาจารย์อีก ๓ คน เมื่อจะตรัสถามมโหสถบัณฑิตผู้ยังใหม่ในหมู่ซึ่งนั่งอยู่ จึงตรัสว่า

ดูก่อนมโหสถ เราถามเจ้า ในคน ๒ พวกนี้ นักปราชญ์ยกย่องใครคนไหนว่าประเสริฐ ระหว่างคนพาลผู้มียศ หรือบัณฑิตผู้ไม่มีโภคะ

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลพระราชาว่า

คนพาลทำกรรมเป็นบาปด้วยความเมาในอิสริยะ เมื่อตายไปก็ต้องไปเกิดในนรกในปรโลก ครั้นมาจากนรกนั้นก็ต้องมาเกิดเป็นผู้มีโภชนะเป็นทุกข์ในตระกูลต่ำในโลกนี้อีก ชื่อว่าย่อมพ่ายแพ้ในโลกทั้งสอง ข้าพระองค์เห็นความเหล่านี้จึงขอกราบทูลว่า คนมีปัญญาประเสริฐแท้ คนเขลามียศจะประเสริฐอะไร

เมื่อพระโพธิสัตว์ทูลดังนี้ พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรดูเสนกะตรัสว่า มโหสถสรรเสริญคนมีปัญญาว่าเป็นผู้สูงสุดมิใช่หรือ 

เสนกะทูลว่าข้าแต่พระมหาราชเจ้า มโหสถยังเด็ก แม้จนวันนี้ปากของเธอก็ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมิใช่หรือ เธอจะรู้อะไร ทูลฉะนี้แล้วจึงกล่าวว่า

ศิลปะนี้ก็ดี พวกพ้องก็ดี ร่างกายก็ดี หาได้จัดโภคสมบัติมาให้ไม่ มหาชนย่อมคบหาโควินทเศรษฐี ผู้มีน้ำลายไหลออกจากคางทั้งสองข้าง ผู้ได้รับความสุข มีศิริต่ำช้า ข้าพระพุทธเจ้าเห็นความดังนี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนเลวทราม คนมีศิริเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ พระเจ้าข้า



ได้ยินว่า โควินทะนั้นเป็นเศรษฐีมีสมบัติ ๘๐โกฏิ ในพระนครนั้นแล มีรูปร่างแปลก ไม่มีบุตร ไม่มีธิดา ไม่รู้ศิลปะอะไรๆ เมื่อเขาพูด น้ำลายไหล ๒ ข้างลูกคาง มีสตรีสองคนดั่งเทพอัปสร ประดับด้วยเครื่องประดับทั้งปวงถือดอกอุบลเขียวที่บานดีแล้ว ยืนอยู่สองข้างคอยรองรับน้ำลายด้วยดอกอุบลเขียวแล้วทิ้งดอกอุบลทางหน้าต่าง ฝ่ายพวกนักเลงสุราเมื่อจะเข้าร้านเครื่องดื่ม มีความต้องการดอกอุบลเขียว ก็พากันไปประตูเรือนของเศรษฐีนั้น แล้วกล่าวว่า ข้าแต่นายโควินทเศรษฐี ท่านเศรษฐีได้ยินเสียงนักเลงเหล่านั้น ยืนที่หน้าต่างกล่าวว่า อะไรพ่อ ขณะนั้นน้ำลายก็ไหลจากปากของท่าน หญิงสองคนนั้นก็เอาดอกอุบลเขียวรองรับน้ำลายแล้วโยนทิ้งไปในระหว่างถนน พวกนักเลงก็เก็บดอกอุบลเหล่านั้นเอาไปล้างน้ำ แล้วประดับตัวเข้าร้านเครื่องดื่ม เศรษฐีนั้นเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสิริอย่างนี้ เสนกะเมื่อแสดงเศรษฐีนั้นเป็นตัวอย่าง จึงกล่าวอย่างนี้.

พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้วตรัสว่า พ่อมโหสถบัณฑิต เจ้าจะกล่าวแก้อย่างไร 

มโหสถบัณฑิตกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เสนกะจะรู้อะไร เห็นแต่ยศเท่านั้น ไม่เห็นไม้ค้อนใหญ่ซึ่งจะตกบนศีรษะ เปรียบเหมือนกาอยู่ในที่เทข้าวสุก และเปรียบเหมือนสุนัขปรารภจะดื่มนมส้ม โปรดฟังเถิดพระเจ้าข้า ทูลฉะนี้แล้ว ได้กล่าวว่า

คนมีปัญญาน้อย เมื่อได้รับความสุขอันเกิดจากยศแล้ว ย่อมมัวเมา แม้ถูกความทุกข์กระทบแล้วย่อมถึงความหลง อันสุขทุกข์ที่จรมากระทบเข้าแล้วย่อมหวั่นไหว ดุจปลาที่ดิ้นรนอยู่ในที่ร้อนฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นความข้อนี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเท่านั้นประเสริฐ คนโง่ ถึงมียศจะประเสริฐอะไร พระเจ้าข้า

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสถามเสนกะว่า ท่านอาจารย์จะแก้อย่างไร 

เสนกะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ มโหสถนี้จะรู้อะไร มนุษย์ทั้งหลายจงยกไว้ก่อน วิหกทั้งหลายย่อมคบหาแต่ต้นไม้ที่เกิดในป่า ซึ่งสมบูรณ์ด้วยผลเท่านั้น ทูลฉะนี้แล้ว ได้กล่าวว่า

ฝูงนกย่อมพากันบินเร่ร่อนไปมาโดยรอบต้นไม้ที่มีผลดีในป่า ฉันใด คนเป็นอันมากย่อมคบหาผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์ มีโภคสมบัติ เพราะเหตุต้องการทรัพย์ ก็ฉันนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนเลวทราม คนมีศิริเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ พระเจ้าข้า

พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสกะมโหสถว่า พ่อจะแก้อย่างไร

มโหสถบัณฑิตจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เสนกะท้องโตคนนี้จะรู้อะไร โปรดฟังเถิด พระเจ้าข้า ทูลฉะนี้แล้วจึงกล่าวว่า

คนโง่ถึงจะมีกำลังก็หายังประโยชน์ให้สำเร็จไม่ เมื่อได้ทรัพย์มาด้วยกรรมอันร้ายแรง เมื่อตายไปนายนิรยบาลทั้งหลาย ย่อมฉุดคร่าเอาคนโง่ ผู้ไม่ฉลาด คร่ำครวญอยู่นั้น ไปสู่นรกอันร้ายกาจ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่าคนมีปัญญาเท่านั้น ประเสริฐ คนโง่ถึงมียศจะประเสริฐ อะไร พระเจ้าข้า

เมื่อพระราชาตรัสถามอีกว่า ท่านอาจารย์เสนกะ ท่านจะแก้อย่างไร

เสนกะจึงทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า โปรดฟังเถิด แล้วกล่าวว่า

แม่น้ำน้อยใหญ่อันใดอันหนึ่ง ย่อมไหลไปสู่แม่น้ำคงคา แม่น้ำเหล่านั้นทั้งหมดเทียว ย่อมละทิ้งชื่อและถิ่นเดิม แม่น้ำคงคาไหลไปถึงมหาสมุทร ย่อมไม่ปรากฏชื่อ คงได้แต่ชื่อว่ามหาสมุทรเท่านั้น ฉันใด คนในโลกนี้ที่มีปัญญามากก็ไม่ปรากฏ คือไม่มีใครรู้จักชื่อ เหมือนแม่น้ำคงคาเข้าไปสู่มหาสมุทร ฉันนั้นแล ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญา เป็นคนเลวทราม คนมีศิริเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสอีกว่า พ่อบัณฑิต เจ้าจะแก้อย่างไร มโหสถบัณฑิตกราบทูลว่า โปรดฟังเถิด พระเจ้าข้า แล้วกล่าวว่า

ข้าพระเจ้าจะกล่าวแก้ปัญหาที่ท่านอาจารย์กล่าว แม่น้ำน้อยใหญ่ทั้งหลายย่อมหลั่งไหลไปสู่ทะเลใหญ่ ทะเลนั้นแม้มีกำลังมากอย่างยิ่ง สามารถยกคลื่นขึ้นเป็นพัน ๆ แต่ก็ไม่อาจล่วงฝั่งไปได้ คลื่นทั้งหมดถึงฝั่งแล้วย่อมแตกไปแน่แท้ ฉันใด กิจการที่คนเขลาประสงค์ ย่อมไม่อาจล่วงคนมีปัญญาไปได้ เมื่อถึงคนมีปัญญานั้นแล้วย่อมทำลายไปฉันนั้นเหมือนกัน คนมีศิริย่อมไม่ล่วงเลยคนมีปัญญาไปได้ไม่ว่าในกาลไหนๆ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญา เท่านั้นประเสริฐ คนโง่ถึงมียศจะประเสริฐอะไร

พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสถามเสนกะ ว่าจะแก้อย่างไร

เสนกะกราบทูลว่า โปรดฟังเถิด พระเจ้าข้า แล้วกล่าวว่า

หากว่าคนมียศผู้ไม่มีศีลอยู่ในที่วินิจฉัย กล่าวข้อความแก่ชนเหล่าอื่น เมื่อเขาซึ่งแวดล้อมไปด้วยบริวารใหญ่ กล่าวมุสาทำให้เป็นเจ้าของบ้าง ให้ไม่เป็นเจ้าของบ้าง คำของเขานั่นแลย่อมเป็นที่เชื่อถืออยู่ในหมู่บริษัท คนมีปัญญาไม่สามารถทำให้คนมีสิริต่ำช้าเชื่อฟังถ้อยคำของตนได้ ข้าพระองค์เห็นความดังนี้ จึงทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนต่ำช้า คนมีสิริเป็นคนประเสริฐแท้

เมื่อพระราชาตรัสถามมโหสถอีกว่า พ่อจะแก้อย่างไร มโหสถบัณฑิตจึงกราบทูลว่า โปรดฟังเถิด พระเจ้าข้า เสนกะคนเขลาจะรู้อะไร ดูอยู่แค่โลกนี้เท่านั้น ไม่ดูไปถึงปรโลก แล้วกล่าวว่า

คนเขลามีปัญญาน้อยกล่าวมุสาแก่คนอื่นบ้าง แม้แก่ตนบ้าง คนเขลานั้นถูกติเตียนในท่ามกลางที่ ประชุม ภายหลังเขาจะไปทุคติ ข้าพระองค์เห็นความดังนี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ คนเขลามียศหาประเสริฐไม่

ลำดับนั้น เสนกะกล่าวคาถานี้ว่า

ถ้าคนมีปัญญาดุจแผ่นดิน ไม่มีที่อยู่ มีทรัพย์น้อย เป็นคนเข็ญใจ เมื่อกล่าวข้อความ คำของเขานั้นย่อมไม่งอกงามในท่ามกลางญาติ และสิริย่อมไม่มีแก่คนมีปัญญา ข้าพระองค์เห็นความดังนี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนต่ำช้า คนมีสิริเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ

เมื่อพระราชาตรัสถามมโหสถอีกว่า พ่อจะแก้อย่างไร 

มโหสถบัณฑิตจึงกราบทูลว่า เสนกะจะรู้อะไร ดูอยู่แค่โลกนี้เท่านั้น ไม่ดูไปถึงปรโลก แล้วกล่าวว่า

คนมีปัญญาดุจแผ่นดินไม่กล่าวคำเหลาะแหละ เพื่อเหตุของผู้อื่นหรือแม้ของตน คนผู้นั้นอันมหาชน บูชาแล้วในท่ามกลางที่ประชุม ภายหลังเขาจะไปสุคติ ข้าพระองค์เห็นความดังนี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญา เท่านั้นเป็นคนประเสริฐ คนเขลามียศหาประเสริฐไม่

ลำดับนั้น เสนกะกล่าวว่า

ช้าง โค ม้า กุณฑลแก้วมณี และนารีทั้งหลาย เกิดในสกุลมั่งคั่ง ทั้งหมดนั้นย่อมเป็นอุปโภคของบุรุษผู้มีอิสระ สัตว์ผู้ไม่มีอิสระก็เป็นอุปโภคของผู้มีอิสระ ข้าพระองค์เห็นความดังนี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนต่ำช้า คนมีสิริเท่านั้นเป็นคน ประเสริฐ

ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตกล่าวว่า เสนกะจะรู้อะไร เมื่อจะชักเหตุอันหนึ่งมาแสดง จึงกล่าวว่า

สิริย่อมละเสียซึ่งคนเขลาผู้ไม่จัดการงาน ผู้มีความคิดอย่างคนไม่มีความคิด ผู้มีปัญญาทราม เหมือนงูละคราบเก่าเสียฉะนั้น ข้าพระองค์เห็นความดังนี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ คนเขลามียศหาประเสริฐไม่

ลำดับนั้น ครั้นพระราชาตรัสถามเสนกะว่าจะแก้อย่างไร 

เสนกะกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ มโหสถนี้ยังเป็นเด็กรุ่น จะรู้อะไร โปรดฟังเถิด พระเจ้าข้า ทูลฉะนี้แล้วคิดว่า เราจักทำมโหสถให้หมดปฏิภาณ จึงกล่าวว่า

ขอจงทรงพระเจริญ พวกข้าพระองค์เป็นบัณฑิต ๕ คน ทั้งหมด เคารพบำรุงพระองค์ พระองค์เป็น อิสระครอบงำข้าพระองค์ทั้งหลาย ดุจท้าวสักกเทวราชผู้เป็นเจ้าแห่งภูตทั้งหลาย ข้าพระองค์เห็นความ ดังนี้จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนต่ำช้า คนมีสิริเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ

ได้ยินว่า พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำของเสนกะนี้แล้วทรงดำริว่าเหตุการณ์ที่เสนกะชักมาดีอยู่ บุตรของเราจักสามารถนำเหตุการณ์อื่นมาทำลายวาทะของเสนกะนี้ได้หรือหนอ จึงตรัสว่า พ่อบัณฑิต เจ้าจะแก้อย่างไร 

ได้ยินว่า เมื่อเสนกะชักเหตุการณ์นี้มา คนอื่นเว้นพระโพธิสัตว์เสีย ที่ชื่อว่าสามารถทำลายวาทะนั้นไม่มี เพราะฉะนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะทำลายวาทะแห่งเสนกะนั้น ด้วยกำลังญาณของตน จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้าเสนกะนี้เป็นคนเขลา จะรู้อะไร แลดูอยู่เฉพาะยศเท่านั้น ไม่ทราบความวิเศษแห่งปัญญา โปรดฟังเถิด พระเจ้าข้า กราบทูลฉะนี้แล้ว จึงกล่าวว่า

คนเขลามียศเป็นดุจทาสของคนฉลาด ในเมื่อกิจต่าง ๆ เกิดมี คนฉลาดย่อมจัดกิจอันละเอียดใด คน เขลาย่อมถึงความหลงพร้อมในกิจนั้น ข้าพระองค์เห็นความอย่างนี้จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเท่านั้น เป็นคนประเสริฐ คนเขลามียศหาประเสริฐไม่

พระมหาสัตว์แสดงเหตุการณ์แห่งนัยปัญญาด้วยประการฉะนี้ ราวกะผู้วิเศษคุ้ยทรายทองขึ้นแต่เชิงเขาสิเนรุ และราวกะผู้มีฤทธิ์ยังดวงจันทร์เต็มดวงให้ตั้งขึ้นในท้องฟ้า ฉะนั้น 

เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวแสดงอานุภาพแห่งปัญญาอยู่นั่นแล พระราชาตรัสกะเสนกะว่า เสนกะ ท่านจะแก้อย่างไร ท่านอาจกล่าวให้ยิ่งขึ้นหรือ เสนกะนั้นยังวิทยาคมที่เรียนมาให้สิ้นไป เป็นผู้หมดปฏิภาณ เป็นผู้เก้อนั่งซบเซาอยู่ เหมือนข้าวเปลือกที่เขาเก็บไว้ในฉาง ก็ถ้าเสนกะนั้นพึงนำเหตุการณ์อื่นมาไซร้ มโหสถจะพึงเฉลยอันจัดเป็นชาดกนี้ให้จบลงด้วยคาถาพันหนึ่ง พระมหาสัตว์เมื่อจะพรรณนาปัญญานั่นแลให้ยิ่งขึ้นเหมือนนำห้วงน้ำลึกมาในกาลที่เสนกะนั้นหมดปฏิภาณนิ่งอยู่ จึงกล่าวว่า

ปัญญาเป็นที่สรรเสริญแห่งสัตบุรุษทั้งหลาย สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญปัญญาว่าประเสริฐแท้จริง สิริ เป็นที่ใคร่ของพวกคนเขลา พวกคนเขลาใคร่ซึ่งสิริ ยินดีในโภคสมบัติ ก็ความรู้ของเหล่าท่านผู้รู้อันใคร ๆ ซึ่งเปรียบด้วยอะไรไม่ได้ คนมีสิริย่อมไม่ล่วงเลยคนมีปัญญาในกาลไหน ๆ ข้าพระองค์เห็นความอย่างนี้จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเท่านั้นเป็นคนประเสริฐ คนเขลามียศหาประเสริฐไม่

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำนั้นก็ทรงโสมนัสด้วยปัญหาพยากรณ์แห่งพระมหาสัตว์ เมื่อจะทรงบูชาพระมหาสัตว์ด้วยทรัพย์ ราวกะผู้วิเศษยังฝนลูกเห็บให้ตก จึงตรัสว่า

ดูก่อนมโหสถผู้เห็นธรรมทั้งปวง เราได้ถามปัญหานั้นใดกะเจ้า เจ้าได้ประกาศเผยแผ่ปัญหานั้นแก่เรา เรายินดีด้วยการแก้ปัญหาของเจ้า เราให้โคพันหนึ่ง ทั้งโคอุสุภราช ช้าง รถเทียมม้าอาชาไนย ๑๐ คัน และบ้านส่วย ๑๖ ตำบลแก่เจ้า. 


 เรื่อง ฉันนปถปัญหา

นับแต่นั้น มโหสถโพธิสัตว์ได้มียศใหญ่ พระนางอุทุมพรเทวีได้ทรงพิจารณาปัญหานั้นทั้งหมด ในกาลเมื่อมโหสถมีอายุได้ ๑๖ ปี พระนางทรงดำริว่า น้องชายของเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้ยศของเธอก็ใหญ่ เราควรจะทำอาวาหมงคลแก่เธอ ทรงดำริฉะนี้แล้วได้กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระเจ้าวิเทหราช บรมกษัตริย์ได้ทรงสดับเนื้อความนั้น จึงมีพระราชดำรัสว่า ดีแล้วเธอจงให้เจ้าตัวทราบ พระนางให้มโหสถทราบความ เมื่อมโหสถรับทำอาวาหมงคล จึงมีพระเสาวนีย์ว่า ถ้ากระนั้น เราจะนำนางกุมาริกามาเพื่อเธอ

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์คิดว่า นางกุมาริกาที่พระนางจะนำมาบางทีจะไม่พึงชอบใจเรา เราจะพิจารณาหาดูเองก่อน คิดฉะนี้แล้วจึงทูลว่า ข้าแต่พระราชเทวีพระองค์อย่าตรัสอะไรแด่พระราชาสักสองสามวัน ข้าพระบาทจักแสวงหานางกุมาริกานางหนึ่งเองที่ชอบใจ แล้วจักทูลให้ทรงทราบ 

พระนางอุทุมพรทรงอนุญาต มโหสถจึงถวายบังคมลาพระเทวีไปเรือนของตน ให้สัญญาแก่พวกสหายแล้ว แปลงตนให้ใคร ๆ ไม่รู้จัก ถือเครื่องอุปกรณ์แห่งช่างชุนผ้า ออกทางประตูด้านทิศอุดรแต่ผู้เดียว ไปสู่บ้านอุตตรยวมัชฌคาม

ก็ในกาลนั้น มีสกุลเศรษฐีสกุลหนึ่งในบ้านนั้น เป็นสกุลเก่าแก่ ธิดาของสกุลนั้นนางหนึ่ง ชื่ออมราเทวี นางมีรูปงามบริบูรณ์ด้วยลักษณะดีทุกอย่างเป็นผู้มีบุญ 

วันนั้น นางต้มข้าวต้มแต่เช้า นำข้าวต้มนั้น คิดว่าจักไปสู่ที่บิดาไถนา จึงออกจากเรือนเดินสวนทางกับมโหสถ พระมหาสัตว์เห็นนางเดินมาคิดในใจว่า สตรีนี้สมบูรณ์ด้วยลักษณะดีทุกอย่าง ถ้ายังไม่มีสามี นางนี้ก็ควรเป็นภรรยาของเรา 

ฝ่ายนางอมราพอเห็นมโหสถ ก็คิดในใจว่า ถ้าเราได้บุรุษนี้เป็นสามีไซร้ เราอาจจะยังทรัพย์สมบัติให้เกิดมั่งคั่ง 

ลำดับนั้นพระมหาสัตว์ดำริว่า เรายังไม่รู้ความที่สตรีนี้มีสามีหรือยังไม่มี จักถามนางด้วยวิธีใช้ใบ้ ถ้านางฉลาด ก็จักรู้เนื้อความแห่งปัญญาของเรา คิดฉะนี้แล้วยืนอยู่แต่ไกลกำมือเข้า 

นางอมรารู้ความว่า บุรุษนี้ถามว่าเรามีสามีหรือยัง จึงยืนอย่างนั้นเอง แบมือออก 

มโหสถรู้เหตุนั้นแล้วจึงเข้าไปใกล้นางถามว่า แน่ะนางผู้เจริญเธอชื่ออะไร 

นางอมราตอบว่า ข้าแต่นาย สิ่งใดไม่มีในอดีต ในอนาคตหรือในปัจจุบัน สิ่งนั้นเป็นชื่อของข้าพเจ้า 

มโหสถกล่าวว่า แน่ะ นางผู้เจริญ ชื่อว่าความไม่ตายไม่มีในโลก ฉะนั้นนางจักชื่อว่า อมรา 

นางอมราตอบว่า อย่างนั้น นาย 

มโหสถถามว่า เธอจักนำข้าวต้มไปเพื่อใคร 

เมื่อนางอมราตอบว่า ข้าพเจ้านำไปเพื่อบุรพเทวดา 

มโหสถจึงกล่าวว่า บิดามารดาชื่อว่าบุรพเทวดา ชะรอยเธอจักนำข้าวต้มไปเพื่อบิดาของเธอ 

นางอมราตอบว่าถูกแล้ว 

มโหสถถามว่า บิดาของเธอทำงานอะไร 

นางอมราตอบว่า บิดาของดิฉันทำสิ่งหนึ่งโดยส่วนสอง 

มโหสถกล่าวว่า แน่ะนางผู้เจริญ การไถนาชื่อว่าการทำสิ่งหนึ่งโดยส่วนสอง ชะรอยบิดาของเธอไถนา 

นางอมราตอบว่าถูกแล้ว 

มโหสถถามว่า บิดาของเธอไถนาอยู่ที่ไหน 

นางอมราตอบว่า ชนทั้งหลายไปในที่ใด คราวเดียวภายหลังไม่กลับมา บิดาของดิฉันไถนาในที่นั้นแล 

มโหสถกล่าวว่า ป่าช้าชื่อว่าสถานที่แห่งชนทั้งหลายไปคราวเดียวภายหลังไม่กลับ ชะรอยบิดาของเธอจะไถนาในที่ใกล้ป่าช้า 

นางอมราตอบว่าถูกแล้ว 

มโหสถถามต่อไปว่า แน่ะนางผู้เจริญ วันนี้เธอจะกลับหรือไม่กลับ

นางอมราตอบว่า ข้าแต่นาย ถ้าว่ามา ดิฉันจะยังไม่กลับ ถ้าว่าไม่มาดิฉันจักกลับ 

มโหสถกล่าวว่า แน่ะนางผู้เจริญ บิดาของเธอชะรอยจักไถนาใกล้ฝั่งแม่น้ำ ครั้นเมื่อน้ำมา เธอจักไม่กลับ ครั้นเมื่อน้ำไม่มา เธอจักกลับ

นางอมราตอบว่า ถูกแล้ว 

ทั้งสองเจรจาโต้ตอบกันเท่านี้แล้ว ภายหลังนางอมรา เชิญมโหสถให้ดื่มข้าวต้ม พระมหาสัตว์ดำริว่า การปฏิเสธเป็นอวมงคลจึงกล่าวรับว่าจักดื่ม นางจึงปลงหม้อข้าวต้มลง พระมหาสัตว์คิดว่า ถ้านางอมราไม่ล้างภาชนะ ไม่ให้น้ำล้างมือ ให้ข้าวต้ม เราจักละนางเสียในที่นี้ไป

ฝ่ายนางอมราล้างภาชนะแล้ว นำน้ำมาด้วยภาชนะให้น้ำล้างมือ ไม่วางภาชนะเปล่าในมือ คนหม้อที่วางไว้บนพื้นแล้วตักข้าวต้มใส่เต็มภาชนะ ก็แต่เมล็ดข้าวในภาชนะนั้นน้อย ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวว่า แน่ะนางผู้เจริญ น้ำข้าวต้มมากเกินหรือ 

นางอมราตอบว่า ข้าแต่นาย ดิฉันได้น้ำแล้ว 

พระมหาสัตว์กล่าวว่า เธอเห็นจักไม่ได้น้ำมาแต่ทุ่งนา 

นางอมราตอบว่า ถูกแล้วแล้ว

นางแบ่งข้าวต้มไว้ให้บิดา เหลือจากนั้นให้พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ดื่มข้าวต้มนั้นแล้วบ้วนปาก พูดว่า แน่ะนางผู้เจริญ เราจักไปสู่เรือนของเธอ เธอจงบอกทางแก่เรา นางอมรากล่าวว่าดีแล้ว เมื่อจะบอกทาง จึงกล่าวคาถานี้ ในเอกนิบาตว่า

ร้านขายข้าวสัตตู ถัดไปร้านขายน้ำส้ม ถัดสอง ร้าน ต้นทองหลางดอกบานมีใบสองชั้น มีอยู่โดย ทางใด ดิฉันถือภาชนะข้าวต้มด้วยมือขวาใด ดิฉัน บอกทางนั้นโดยมือขวานั้น ดิฉันไม่ได้ถือภาชนะข้าว ต้มด้วยมือซ้ายใด ดิฉันไม่ได้บอกทางนั้นโดยมือซ้ายนั้น ทางนั้นเป็นทางไปเรือนของดิฉัน ซึ่งตั้งอยู่ในบ้าน อุตตรยวมัชฌคาม ขอท่านจงทราบทางอันปกปิดนี้



คาถานั้นมีความว่า ข้าแต่นาย ท่านเข้าไปภายในหมู่บ้านแล้วจะเห็นร้านขายข้าวสัตตูร้านหนึ่ง ถัดไป ร้านขายน้ำส้ม ข้างหน้าร้านค้าสองร้านนั้นมีต้นทองหลาง มีใบสองชั้นมีดอกบาน ฉะนั้นท่านจงไปทางที่มีร้านขายข้าวสัตตู ร้านขายน้ำส้ม และต้นทองหลางดอกบาน ยืนที่โคนต้นทองหลาง ถือเอาทางขวา ละทางซ้าย นี้เป็นทางไปเรือนของพวกเรา ซึ่งตั้งอยู่ในบ้านยวมัชฌคาม ขอท่านจงทราบทางที่ข้าพเจ้ากล่าวปกปิดอย่างนี้ 

นางอมราบอกทางแก่มโหสถอย่างนี้แล้ว ถือข้าวต้มไปส่งบิดา

เรื่องการแสวงหานางอมราเทวี

มโหสถโพธิสัตว์ไปสู่เรือนนั้นตามทางที่นางอมราบอก ลำดับนั้นมารดาของนางอมราเห็นมโหสถแล้วจึงให้พระมหาสัตว์นั่ง ณ อาสนะแล้วกล่าวว่า จักดื่มข้าวต้มไหมนาย 

มโหสถตอบว่า ข้าแต่แม่ น้องหญิงอมราเทวีได้ให้ข้าวต้มแก่ฉันหน่อยหนึ่งแล้ว 

แม้มารดาของนางอมราก็รู้ว่า ชายคนนี้คงมาเพื่อต้องการลูกสาวของเรา พระมหาสัตว์แม้จะรู้ว่าสกุลนั้น ๆ เข็ญใจก็ถามว่า ข้าแต่แม่ ฉันเป็นช่างชุนผ้า มีผ้าอะไร ๆ ที่ฉันควรเย็บบ้างไหม

มารดานางอมราตอบว่า นาย ผ้านั้นมี แต่ค่าจ้างไม่มี 

มโหสถกล่าวว่า ข้าแต่แม่ ฉันไม่ทำเอาค่าจ้าง แม่จงนำมา ฉันจักเย็บให้ 

มารดานางอมราจึงนำผ้าเก่า ๆ มาให้มโหสถชุน พระโพธิสัตว์ก็ให้ผ้าที่นำมา ๆ แล้วเสร็จทั้งหมดเพราะว่าการทำของท่านผู้มีบุญย่อมสำเร็จง่ายดาย 

ลำดับนั้นมโหสถแจ้งแก่มารดานางอมราว่า แม่จงบอกกล่าวตามฟากถนน ให้นำผ้ามาจ้างชุน มารดานางอมราก็บอกแก่ชาวบ้านทั่วไป พระมหาสัตว์ทำการชุนผ้าวันเดียวเท่านั้นได้ทรัพย์พันหนึ่ง 

ฝ่ายมารดานางอมราหุงข้าวให้มโหสถกินเวลานั้นแล้วถามว่า เวลาเย็นข้าจะหุงเท่าไร 

มโหสถตอบว่า ชนมีประมาณเท่าใดบริโภคในเรือนนี้แม่จงหุงโดยประมาณแห่งชนเท่านั้น 

นางจึงหุงภัตตาหารเป็นอันมากทั้งแกงทั้งกับมิใช่น้อย ฝ่ายนางอมราเทวี เวลาเย็นเอามัดฟืนทูนศีรษะและกระเดียดใบไม้มาแต่ป่า บรรจุฟืนที่ประตูด้านตะวันออก แล้วเข้าสู่เรือนทางประตูด้านตะวันตก ส่วนบิดาของนางอมรากลับบ้านเย็นกว่าธิดากลับ มโหสถบริโภคโภชนาหารมีรสเลิศต่าง ๆ 

นางอมราให้บิดามารดาของตนบริโภคแล้วตนจึงบริโภคภายหลัง แล้วชำระเท้าบิดามารดา และเท้ามโหสถโพธิสัตว์ 

มโหสถกำหนดสังเกตนางอมราอยู่ในบ้านนั้นสองสามวัน ลำดับนั้นเมื่อจะทดลองนาง วันหนึ่งจึงกล่าวว่า แน่ะอมราเทวีผู้เจริญ เธอจงเอาข้าวสารกึ่งทะนาน ต้มข้าวต้ม ทำขนม และหุงข้าวสวย เพื่อเรา ด้วยข้าวสารกึ่งทะนานนั้น 

นางอมรารับคำสั่งแล้วตำข้าวสารนั้น แล้วเอาข้าวสารต้นอันเป็นตัวไม่ค่อยมีเมล็ดหัก ต้มเป็นข้าวต้ม เอากลางข้าวสารอันมีเมล็ดหักโดยมากหุงเป็นข้าวสวย เอาปลายข้าวสารอันป่นทำขนม แล้วประกอบกับข้าวให้ควรแก่ข้าวสวยข้าวต้มนั้น ให้ข้าวต้มแก่มโหสถก่อน 

พอมโหสถได้ดื่มข้าวต้มถึงปาก ข้าวต้มนั้นก็แผ่ซ่านไปสู่เส้นประสาทเจ็ดพันซึ่งเป็นเส้นสำหรับรับรส มโหสถกล่าวเพื่อทดลองนางอมราว่า นางไม่รู้จักหุงต้ม ทำข้าวสารของเราให้เสียหายเพื่อประโยชน์อะไร แล้วคายถ่มข้าวต้มพร้อมกับน้ำลายลงยังพื้น 

นางอมรามิได้โกรธกล่าวว่าข้าแต่นาย ถ้าข้าวต้มไม่อร่อย ท่านจงกินขนม แล้วส่งขนมให้มโหสถ มโหสถก็ทำอาการอย่างนั้นแล้วกล่าวอย่างนั้นอีก

นางอมราจึงกล่าวว่า ถ้าขนมไม่อร่อยท่านจงกินข้าวสวย แล้วให้ข้าวสวยแก่มโหสถ มโหสถก็ทำอาการอย่างนั้นและกล่าวดังนั้นอีก ทำเป็นเหมือนขัดเคืองขยำข้าวทั้งสามอย่างนั้นเป็นอันเดียวกันแล้วทาสรีระทั้งสิ้นตั้งแต่ศีรษะแห่งนาง แล้วไล่ให้นางไปยืนอยู่ที่ประตู 

ฝ่ายนางอมราไม่โกรธเลย ประนมมือกล่าวว่า ดีจ๊ะนาย แล้วได้ทำตามสั่ง มโหสถรู้ว่านางไม่ถือตัว จึงเรียกกลับมาหา พอได้ยินเรียกคำเดียวเท่านั้น นางก็มานั่งลงที่ใกล้มโหสถ 

ฝ่ายพระมหาสัตว์เมื่อมาแต่บ้านตน หาได้มามือเปล่าไม่ เอาผ้าสาฎก ๑ ผืน กับกหาปณะ ๑ พันบรรจุในไถ้น้อยมาด้วย จึงนำผ้าสาฏกนั้นออกจากไถ้น้อยให้แก่นางอมราแล้วกล่าวว่า แน่ะนางผู้เจริญ นางจงอาบน้ำกับพวกสหายของนาง แล้วนุ่งผ้าสาฏกนี้มา 

นางอมราได้ทำตามคำสั่ง มโหสถให้ทรัพย์ที่เกิดขึ้นและทรัพย์ที่นำมาทั้งหมดแก่บิดามารดาของนางอมรา ยังคนทั้งสามให้ยินดีแล้ว ลาแม่ยายพ่อตา พานางอมรากลับไปบ้าน 

พระมหาสัตว์ให้ร่มและรองเท้าแก่นางอมราแล้วพูดอย่างนี้ว่า แน่ะนางผู้เจริญ นางจงเอาร่มกางกันตัว สวมรองเท้าเดินไป นางอมรารับของสองอย่าง ในคราวร้อนแดดในที่แจ้งนางหุบร่มเดินไป ในที่ดอน นางถอดรองเท้าถือไป ในเวลาถึงที่มีน้ำนางสวมรองเท้าเดินไป 

มโหสถเห็นเหตุนั้นจึงถามว่า แน่ะนางผู้เจริญ เป็นอย่างไรนางไม่สวมรองเท้าในที่ดอน สวมในที่มีน้ำเดินไป เพราะเหตุอะไร 

นางตอบมโหสถว่า ข้าแต่นาย ดิฉันสามารถมองเห็นสิ่งประทุษร้ายร่างกายมีหนามเป็นต้นในที่ดอน แต่ดิฉันไม่สามารถมองเห็นสิ่งประทุษร้ายร่างกายมีปลา เต่า และหนามเป็นต้นในที่มีน้ำ ถ้าเครื่องประทุษร้ายเข้าไปสู่เท้า ดิฉันก็พึงเสวยทุกขเวทนาใหญ่เพราะฉะนั้นจึงสวมรองเท้าในที่มีน้ำเดินไป 

พระโพธิสัตว์ได้ฟังคำของนางก็คิดว่า นางทาริกานี้ฉลาดมากหนอ แล้วก็เดินไป 

ลำดับนั้น นางอมราเมื่อเข้าภายในป่า ก็กั้นร่มเดินไป มโหสถถามเหตุนั้นว่า แน่ะนางผู้เจริญชนเหล่าอื่นกั้นร่มกันแดดในที่แจ้งเดินไป แต่นางหาทำอย่างนั้นไม่ เพราะเหตุอะไร 

นางตอบมโหสถว่า ข้าแต่นาย ดิฉันชื่อว่าเข้าสู่ภายในป่าก็จริงแต่ทำอย่างนี้เพราะกลัวไม้แห้งท่อนไม้ตกบนศีรษะ พระโพธิสัตว์ได้ฟังคำที่นางกล่าวด้วยเหตุ ๒ อย่างก็ยินดี 

ลำดับนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์เดินไปกับนางเห็นต้นพุทราถึงพร้อมด้วยผลในที่หนึ่ง ก็หยุดนั่งใต้ต้นพุทรา ฝ่ายนางอมราเห็นพระมหาสัตว์นั่งใต้ต้นพุทราก็พูดขึ้นว่า ข้าแต่นาย ท่านจงขึ้นเก็บผลพุทรากิน ให้ดิฉันบ้าง 

มโหสถตอบว่า แน่ะนางผู้เจริญ เราเหน็ดเหนื่อยไม่อาจขึ้น นางขึ้นเถิด 

นางได้ฟังคำของมโหสถก็ขึ้นต้นพุทรานั้นเลือกเก็บผล ฝ่ายพระโพธิสัตว์กล่าวกะนางว่า แน่ะนางผู้เจริญ นางจงให้ผลแก่เราบ้าง นางคิดว่า เราจักดูบุรุษนี้ฉลาดหรือโง่ จักทดลองเขาดู จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่นายท่านจะกินผลร้อนหรือผลเย็น 

พระโพธิสัตว์แม้รู้เหตุที่นางถาม ก็ทำเป็นเหมือนไม่รู้ จึงกล่าวตอบอย่างนี้ เพื่อทดลองว่า แน่ะนางผู้เจริญ เราต้องการด้วยผลร้อน 

นางจึงเก็บผลโยนไปในที่พื้นดินกล่าวว่า ท่านจงกินเถิด นาย 

พระโพธิสัตว์ก็เก็บผลมาปัดเป่าให้หมดผงแล้วเคี้ยวกิน เมื่อจะทดลองนางอีกจึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะนางผู้เจริญ นางจงให้ผลเย็นแก่เรา 

นางก็เก็บผลพุทราโยนไปบนพื้นหญ้า พระโพธิสัตว์ก็เก็บผลนั้น ไม่ต้องปัดเป่าเคี้ยวกินทีเดียว รู้ว่านางทาริกานี้ฉลาดเหลือเกินก็ยินดี แล้วบอกให้นางลงจากต้นพุทรา นางอมราได้ฟังคำมโหสถเรียกให้ลง ก็ลงจากต้นพุทรา ถือหม้อไปแม่น้ำนำน้ำมาให้มโหสถ มโหสถก็ดื่มน้ำแล้วบ้วนปาก นางยืนอยู่ส่วนข้างหนึ่ง เขาทั้งสองลุกขึ้นเดินไปเข้าสู่พระนคร 

พระมหาสัตว์ให้นางอยู่ที่เรือนคนเฝ้าประตู แล้วแจ้งแก่ภรรยาแห่งคนเฝ้าประตูให้ทราบ เพื่อทดลองนาง แล้วเข้าสู่เคหสถานของตน เรียกชายทั้งหลายมาแจ้งว่า เราให้สตรีคนหนึ่งอยู่ที่เรือนโน้นจึงมาบ้านนี้ เจ้าทั้งหลายจงเอาทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะนี้ไปที่เรือนนั้น พูดเกี้ยวพานลองดู สั่งฉะนี้แล้วให้กหาปณะหนึ่งพันแล้วส่งไป 

บุรุษเหล่านั้นไปสู่สำนักนางอมรา แล้วได้ทำตามมโหสถสั่ง นางไม่ปรารถนา คิดเห็นว่าความประพฤติของบุรุษเหล่านี้ไม่ถึงสักว่าละอองเท้าของสามีแห่งเรา บุรุษเหล่านั้นก็กลับมาบอกแก่มโหสถ 

ลำดับนั้น มโหสถส่งบุรุษเหล่านั้นไปบ่อย ๆ ถึง ๓ คราวในวาระที่ ๔ จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้าทั้งหลายจงไปจับตัวนางคร่ามา บุรุษเหล่านั้นก็ไปทำดังนั้น นางก็ได้มาเห็นพระมหาสัตว์ตั้งอยู่ในความเป็นผู้มีทรัพย์สมบัติมากก็จำไม่ได้ แลดูมโหสถแล้วหัวเราะแล้วร้องไห้ 

มโหสถซักถามถึงเหตุทั้งสองนั้น นางก็แจ้งแก่มโหสถว่า ข้าแต่นาย ดิฉันเห็นสมบัติของท่านก็นึกในใจว่า สมบัตินี้ท่านไม่ได้ด้วยไม่มีเหตุ ก็แต่ท่านจักทำกุศลไว้ในปางก่อนจึงได้สมบัตินี้ โอ ผลของบุญทั้งหลายน่าอัศจรรย์หนอ นึกในใจดังนี้จึงได้หัวเราะ ก็เมื่อดิฉันร้องไห้ก็ร้องไห้ด้วยความกรุณาในตัวท่าน ด้วยสงสารว่า บัดนี้ท่านมาทำร้ายในวัตถุที่คนอื่นปกครองหวงแหน ก็จักไปสู่นรก

มโหสถทดลองนางอมรารู้ความที่นางเป็นผู้บริสุทธิ์ จึงกล่าวสั่งว่า เจ้าทั้งหลายจงไป จงพานางไปอยู่ที่เดิม แล้วแปลงเพศเป็นช่างชุนผ้าไปแรมอยู่กับนาง

รุ่งเช้าก็เข้าไปสู่ราชสำนัก ทูลประพฤติเหตุนั้นแด่พระนางอุทุมพร พระนางนำความกราบทูลพระเจ้าวิเทหราช แล้วประดับนางอมราเทวีด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงให้นั่งในวอใหญ่ นำมายังเคหสถานของมโหสถทำอาวาหมงคลด้วยเกียรติอันยิ่งใหญ่ 

พระราชาทรงส่งทรัพย์มูลค่าพันกหาปณะเป็นบรรณาการแก่พระโพธิสัตว์ ชาวพระนครทั้งสิ้นตั้งแต่คนรักษาประตู ก็ได้จัดของขวัญมาให้

ฝ่ายนางอมราเทวีก็แบ่งของที่ได้รับพระราชทานเป็นสองส่วน คืนเข้าพระคลังส่วนหนึ่ง รับไว้ส่วนหนึ่ง ได้ส่งของช่วยของชาวนครทั้งสิ้นไปสงเคราะห์ชาวนครโดยวิธีนี้ แต่นั้นมาพระมหาสัตว์ก็ได้อยู่ร่วมกับนางอมรา ได้ถวายอนุศาสน์อรรถธรรมแด่พระราชา. 

 เรื่องโจรลักรัตนะ ๔ คน

อยู่มาวันหนึ่ง เสนกะเห็นปุกกุสะ กามินทะ และเทวินทะทั้งสามอาจารย์มาสู่สำนักตน จึงปรึกษาอาจารย์เหล่านั้นกล่าวว่า แน่ะผู้เจริญทั้งสามเราทั้งสี่คนไม่เทียมทันมโหสถผู้บุตรคฤหบดี ก็บัดนี้เขานำภรรยาผู้ฉลาดนักมาเอง พวกเราพึงทำลายเขาระหว่างพระราชาเสียอย่างไรดี 

อาจารย์ทั้งสามตอบเสนกะว่า ข้าพเจ้าทั้งสามจะรู้อะไร ขอท่านดำริเถิด 

เสนกะจึงกล่าวว่า พวกท่านอย่าวิตก เรามีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง 

อาจารย์ทั้งสามถามว่า อุบายอะไรท่านอาจารย์ 

เสนกะจึงแจ้งว่า เราจักลักพระจุฬามณีของพระราชามา ท่านปุกกุสะจงลักสุวรรณมาลามา ท่านกามินทะจงลักคลุมบรรทมกัมพลมา ท่านเทวินทะจงลักฉลองพระบาททองคำมา ก็และครั้นลักราชาภรณ์ทั้งสี่อย่างมาได้ฉะนี้แล้ว เราทั้งสี่จงยังราชาภรณ์ทั้งสี่นั้นให้เข้าไปอยู่ในเรือนของมโหสถ เราแม้ทั้งสี่จักลักราชาภรณ์ทั้งสี่มาด้วยอุบายแล้ว แต่นั้นจักให้เข้าไปอยู่ในเรือนมโหสถ ทำมิให้ประชาชนสงสัยพวกเรา 

อาจารย์ทั้งสามรับว่าอุบายนี้งามนัก

เสนกะจึงนำพระจุฬามณีลงไว้ในหม้อเปรียงก่อนแล้วส่งให้ทาสีคนหนึ่งนำหม้อเปรียงนั้นไปสั่งว่า เจ้าจงนำหม้อเปรียงนี้ไปเร่ขาย อย่าขายให้แก่ชนเหล่าอื่นผู้รับซื้อ ถ้าเมื่อชนในเรือนมโหสถรับซื้อ เจ้าจงให้เปล่าทั้งหม้อ 

ทาสีก็ไปสู่ประตูเรือนมโหสถร้องขายว่า ท่านทั้งหลายจงซื้อเปรียง ๆ เดินกลับไปกลับกลับมาที่หน้าประตูเรือนนั้น 

นางอมราเทวียืนอยู่ที่ประตูเห็นกิริยาของทาสีนั้นจึงคิดว่า หญิงนี้ไม่ไปที่อื่น น่าจะมีกลอุบายอันใดในหญิงนี้ จึงส่งสัญญาณให้ทาสีทั้งหลายให้เลี่ยงไป แล้วเรียกทาสีผู้ขายเปรียงนั้นมาว่า มานี่แม่ฉันจะซื้อเปรียง เมื่อนางผู้ขายเปรียงมาแล้ว นางอมราเทวีก็ทำสัญญาณเรียกให้พวกทาสีของตนมา

ครั้นเมื่อพวกทาสีของตนยังไม่มา จึงให้นางผู้ขายเปรียงนั้นไปเรียกมา เมื่อนางขายเปรียงนั้นไปตามที่นางสั่ง นางอมราเทวีจึงล้วงมือลงในหม้อ พบพระจุฬามณีในนั้น เมื่อนางผู้ขายเปรียงนั้นกลับมาจึงถามว่า แม่มาแต่สำนักใครนะ 

นางขายเปรียงนั้นตอบว่า ข้าแต่แม่เจ้า ข้าเป็นทาสีของอาจารย์เสนกะ จากนั้นนางอมราจึงซักถามชื่อของนาง และของบิดามารดาแห่งนาง เมื่อได้รับคำตอบแล้วก็ถามว่า เปรียงนี้แม่จะขายราคาเท่าไร 

ก็ได้รับตอบว่า เท่าราคาข้าว ๔ ทะนาน 

จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นแม่จงขายแก่ฉัน 

ก็ได้รับตอบว่า เมื่อแม่เจ้ารับซื้อ จะต้องการอะไรด้วยราคา จงรับไว้ทั้งหม้อไม่คิดราคา 

นางอมราเทวีก็ว่า ถ้าเช่นนั้นก็ตกลง แล้วให้นางขายเปรียงนั้นกลับไป แล้วให้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรถือไว้ มีความว่า เดือนนั้น วันนั้น อาจารย์เสนกะให้ทาสีชื่อนี้ ธิดาของทาสีชื่อนี้ นำพระจุฬามณีของพระราชามาขายไว้ 

ฝ่ายปุกกุสะวางสุวรรณมาลาในผอบซึ่งบรรจุดอกมะลิ แล้วปิดสุวรรณมาลานั้นด้วยดอกมะลิแล้วส่งไป 

ฝ่ายกามินทะวางคลุมบรรทมกัมพลในกระเช้าซึ่งบรรจุผักแล้วปิดด้วยผักแล้วส่งไป

ฝ่ายเทวินทะสอดฉลองพระบาททองคำภายในฟ่อนข้าวเหนียวแล้วส่งไป 

นางอมรารับสิ่งทั้งปวงนั้นไว้ บันทึกเรื่องไว้โดยนัยหนหลัง บอกแก่พระมหาสัตว์แล้วเก็บไว้ 

ฝ่ายบันฑิตทั้งสี่นั้นไปสู่ราชสำนักทูลว่า พระองค์ไม่ทรงประดับพระจุฬามณีหรือพระเจ้าข้า พระเจ้าวิเทหราชตรัสว่า จะประดับ จงไปนำมา

อาจารย์ทั้งสี่นั้นไปดู ไม่เห็นพระจุฬามณีในสถานที่เก็บ และไม่เห็นราชาภรณ์อีหสามอย่าง จึงทูลยุยงว่า ข้าแต่สมมติเทพ ราชาภรณ์ของพระองค์อยู่ในเรือนของมโหสถ มโหสถกล้าใช้ราชาภรณ์ เห็นจะตั้งตนเป็นศัตรูต่อพระองค์

ลำดับนั้นคนสอดแนมของมโหสถ ก็นำความมาแจ้งแก่มโหสถ มโหสถได้ฟังคำของพวกสอดแนม จึงคิดว่า เราจักเฝ้าพระราชาจึงจะรู้เรื่อง จึงไปสู่ที่เฝ้าพระราชา พระราชากริ้วมโหสถ ไม่ให้มโหสถเห็นพระองค์ด้วยทรงคิดถึงเหตุที่เกิดว่า เราไม่รู้มโหสถจะมาทำไมในที่นี้ มโหสถรู้ว่าพระราชากริ้ว จึงกลับบ้านของตน 

พระราชาตรัสสั่งให้จับมโหสถ ฝ่ายมโหสถบัณฑิตได้ฟังคำของพวกสอดแนมจึงคิดว่า ควรเราจะหลบหลีกไป จึงให้สัญญาแก่นางอมราแล้วแปลงเพศออกจากเมือง ไปสู่ทักขิณยวมัชฌคามทำหม้อเลี้ยงชีพอยู่ ณ บ้านนั้น 

ครั้งนั้นก็เกิดโกลาหลขึ้นในพระนครว่า มโหสถบัณฑิตหนีไปแล้ว อาจารย์ทั้งสี่มีเสนกะเป็นต้นรู้ว่ามโหสถหนีไปแล้ว จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าวิตก เราทั้งหลายไม่ใช่บัณฑิตหรือ กล่าวฉะนี้แล้วไม่นัดแนะกันและกันให้รู้ ต่างก็ส่งบรรณาการไปให้นางอมรา นางอมรารับบรรณาการที่อาจารย์ทั้งสี่ส่งไปแล้วคิดว่า เราจักให้ทั้งสี่คนมาหาเราแล้วเราจักทำให้ได้อาย จึงบอกกับผู้นำบรรณาการมาส่งว่าขอให้นายของท่านจงมาในเวลานั้น เวลานั้น จากนั้นจึงเรียกเหล่าทาสีมาสั่งให้ขุดหลุมหนึ่ง ล้อมรั้วที่หลุมนั้น เทคูถกับน้ำลงในหลุมนั้น แล้วให้ปิดแผ่นกระดานยนต์ที่พื้นข้างบนแห่งหลุมคูถ ปกปิดด้วยเสื่อลำแพนมีลิ่มสลักสองข้าง แล้วแต่งเคหสถานให้ห้อยบุปผชาติ เป็นต้นให้เป็นเหมือนน่ารื่นรมย์ ให้ตั้งน้ำไว้ จัดแจงเตรียมการสิ่งทั้งปวงให้แล้วเสร็จ 

เวลาค่ำวันนั้น เสนกะแต่งตัว กินโภชนาหารมีรสเลิศต่าง ๆ แล้วไปสู่เรือนมโหสถ ยืนอยู่แทบประตู ให้แจ้งคนรักษาประตูถึงการที่ตนมา เพื่อให้ให้บอกแก่นางอมรา นางอมราครั้นทราบว่าเสนกะมาจึงกล่าวว่ามาเถิด เสนกะก็ไปยืนอยู่ใกล้นางอมรา นางอมราจึงกล่าวอย่างนี้กะเสนกะว่า ข้าพเจ้าตกอยู่ในอำนาจของท่านในบัดนี้แล้ว การไม่อาบน้ำแล้วนอนไม่ควร ท่านจงไปอาบน้ำหอมนี้เสียก่อนจึงมา

เสนกะรับคำแล้วไปเหยียบแผ่นกระดานจักอาบ นางอมราทำเป็นเหมือนรดน้ำให้ในกาลเมื่อเสนกะขึ้นยืนบนแผ่นกระดาน นางเหยียบที่แผ่นกระดานกล ทำเสนกะให้ตกลงในหลุมคูถ 

ในเวลาต่อมา เมื่อปุกกุสะผู้แต่งกายกินโภชนะเลิศแล้วมาในเวลาเย็น นางก็ทำให้ตกในหลุมคูถนั้นด้วยอุบายเดียวกัน ปุกกุสะเมื่อตกลงไปในหลุมคูถ ตัวไปกระทบเสนกะเข้าจึงถามเสนกะว่า ท่านเป็นคนหรือ ก็ได้รับตอบว่า เราเป็นอาจารย์เสนกะ ฝ่ายเสนกะก็ถามปุกกุสะว่า ก็ท่านเล่า เป็นคนหรือ ก็ได้รับตอบว่าเราเป็นอาจารย์ปุกกุสะ 

นางอมราทำกามินทะและเทวินทะทั้งสองผู้มาตาม ๆ กันให้ตกลงในหลุมคูถ โดยอุบายนั้นเหมือนกัน อาจารย์ทั้งสี่คนนั้นยืนอยู่ในหลุมคูถเพียงท้อง ศีรษะโดนกันและกัน ต่างถามกันว่า นั่นใคร ๆ 

ครั้นทั้งสามอาจารย์ถามว่า จะทำอย่างไรกัน ท่านอาจารย์เสนกะจึงห้ามว่า ท่านทั้งหลายอย่าอึงไป ตั้งแต่นี้ไป ความอายจักมีแก่พวกเรา บัณฑิตทั้งสี่คนอยู่ในหลุมคูถอันสกปรกน่าเกลียดอย่างนี้ตลอดคืน ครั้นรุ่งสว่างนางอมรา ให้ทั้งสี่คนนั้นจับเชือกสาวขึ้นมาจากหลุมคูถนั้น ให้อาบน้ำแล้วให้เอามีดโกนโกนผมและหนวดทั้งสี่อาจารย์นั้นให้โล้นแล้วให้ขัดร่างด้วยแผ่นอิฐจนเลือดออกซิบ ๆ แล้วให้เอาข้าวสารหนึ่งทะนาน แช่น้ำให้ชุ่มแล้วตำให้ละเอียด บรรจุในภาชนะกวนให้เป็นเหมือนแป้งเปียกข้าวยาคูเป็นอันมากให้ทาให้ทั่วทั้งตัวของอาจารย์ทั้งสี่ตั้งแต่ศีรษะ แล้วให้เอานุ่นย่อย ๆ โรยลงให้ทั่วตัว ตั้งแต่ศีรษะ จับให้นอนในกระชุกรุเสื่อลำแพน ปิดผูกพันด้วยเชือกให้แน่น ประทับตรา แล้วให้นำรัตนะ ๔ อย่างกับอาจารย์ทั้งสี่ไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ทรงรับบรรณาการทั้งหลาย กราบทูลฉะนี้แล้ว ให้วางเสื่อลำแพนทั้งสี่แทบพระบาทมูลแห่งพระราชา 

ลำดับนั้น พระราชาให้เปิดเสื่อลำแพนนั้นออก ทอดพระเนตรเห็นบัณฑิตทั้งสี่มีเสนกะเป็นต้น เหมือนกับวานรเผือก ก็ทรงดุษณีภาพ ฝ่ายมหาชนเห็นอาจารย์ทั้งสี่นั้น ก็พูดกันว่า โอ วานรเผือกงามมาก ๆ เราทั้งหลายไม่เคยเห็น มาได้เห็น แล้วพากันสรวลเฮฮาใหญ่ อาจารย์ทั้งสี่ได้ความอายมาก 

ลำดับนั้น นางอมราถวายรัตนะ ๔ อย่างกับอาจารย์ทั้ง ๔ แด่พระราชา เมื่อจะประกาศความที่มโหสถสามีของตนไม่มีความผิด จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพมโหสถบัณฑิตไม่ได้เป็นโจร แต่อาจารย์ทั้ง ๔ ของพระองค์เป็นโจร คือเสนกะลักพระจุฬามณีของพระองค์ ปุกกุสะลักสุวรรณมาลา กามินทะลักคลุมบรรทมกัมพล เทวินทะลักฉลองพระบาททองคำ รัตนะทั้ง ๔ อย่างนี้ อันอาจารย์ทั้ง ๔ ให้ทาสีชื่อนี้ เป็นลูกสาวของทาสีชื่อนี้ ส่งไปขายให้ข้าพระบาทในวันนั้นเดือนนั้น ขอพระองค์ทอดพระเนตรหนังสือบันทึกสำคัญนี้ แล้วทรงรับไว้เป็นของหลวง และจงทรงรับโจรและรัตนะเหล่านี้ไว้ ยังชนทั้ง ๔ ให้ถึงมหาวิปการอย่างนี้แล้วถวายบังคมลากลับบ้าน ลำดับนั้น พระราชาไม่ตรัสอะไร ๆ กะชนเหล่านั้น เพราะทรงรังเกียจในพระโพธิสัตว์ เพราะพระโพธิสัตว์หนีไปเสียแล้ว และเพราะความไม่มีชนเหล่าอื่นเป็นมนตรีผู้บัณฑิต ตรัสสั่งแต่ว่า ท่านทั้ง ๔ จงอาบน้ำกลับไปเคหสถานของตน

เรื่อง ปัญหาหิ่งห้อย

ณ กาลครั้งนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ที่เศวตฉัตรแห่งบรมกษัตริย์ไม่ได้สดับธรรมเทศนาแห่งพระโพธิสัตว์ จึงพิจารณาดูก็ทราบเหตุนั้น จึงคิดว่า เราจักทำให้พระโพธิสัตว์ได้กลับมาอยู่บ้านตามเดิม ครั้นเวลาราตรี จึงแหวกกำพูฉัตรออกมาถามปัญหาพระเจ้าวิเทหราช ๔ ข้อ มีคำว่า หนฺติ หตฺเถหิปาเทหิ เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาอันเทวดาถามในจตุกนิบาต 

พระราชาได้ทรงสดับเทวปัญหานั้น ยังไม่ทรงทราบ จึงตรัสตอบเทวดานั้นว่า ข้าพเจ้ายังไม่รู้ จักถามบัณฑิตอื่น ๆ ก่อน แล้วตรัสขอเทพบริหารอย่าให้ต้องเทวทัณฑ์สักวันหนึ่ง 

ครั้นรุ่งขึ้นจึงตรัสเรียกบัณฑิตทั้ง ๔ คนมาเฝ้า ครั้นอาจารย์ทั้ง ๔ ทูลว่า พวกตนศีรษะโล้นด้วยคมมีดโกนเดินตามถนนมีความอาย จึงโปรดให้ส่งนาฬิกปัฏ ผืนผ้าทำรูปดุจทะนานไปพระราชทาน ให้เอานาฬิกปัฏนั้น ๆ สวมศีรษะมาเฝ้า ได้ยินว่า นาฬิกปัฏเกิดขึ้นแต่กาลนั้นมาจนบัดนี้ 

อาจารย์ทั้ง ๔ ก็มาเข้าเฝ้า นั่ง ณ อาสนะที่ปูลาดไว้ ลำดับนั้น พระราชาตรัสว่า ท่านอาจารย์เสนกะ คืนวันนี้เทวดาผู้สิงอยู่ ณ เศวตฉัตรถามปัญหาเรา ๔ ข้อ เราขอผัดว่า ยังไม่รู้ จักถามพวกท่านดูก่อน ท่านเสนกะจงกล่าวปัญหานั้นแก่เรา ตรัสฉะนี้แล้ว จึงถามปัญหาเป็นปฐมว่า

บุคคลทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยมือทั้งสอง หรือ ด้วยเท้าทั้งสอง และเอามือทำร้ายปากผู้อื่น บุคคลนั้นกลับเป็นที่รักแห่งผู้ถูกทำร้าย เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงเห็นว่า ผู้เป็นที่รักนั้นได้แก่ใคร

เสนกะได้ฟังเทพปัญหานั้นก็ไม่รู้ความ บ่นปัญหานั้น ๆ ว่า ใครประหารอะไร ๆ แลไม่เห็นที่สุดและเงื่อนแห่งเทพปัญหานั้น แม้อาจารย์อีก๓ คนก็หมดความคิด พระราชาทรงวิปฏิสาร ครั้นในส่วนแห่งราตรี เทวดาถามอีกว่า ทรงทราบปัญหาแล้วหรือ 

ก็ตรัสตอบว่า ข้าพเจ้าได้ถามบัณฑิตทั้ง ๔ แล้ว เขาก็ไม่รู้ 

เทวดาจึงกล่าวขู่พระราชาว่า อาจารย์ทั้ง ๔ นั้นจะรู้อะไร เว้นมโหสถบัณฑิตเสีย ใคร ๆ อื่นจะสามารถกล่าวแก้ปัญหาเหล่านั้นย่อมไม่มี ถ้าพระองค์ให้เรียกมโหสถมาให้กล่าวแก้ปัญหานั้น นั่นแหละจะเป็นการดี ถ้าไม่เรียกมโหสถมาให้กล่าวแก้ปัญหาเหล่านั้น ข้าพเจ้าจักทำลายเศียรของพระองค์ด้วยค้อนเหล็กอันลุกโพลงนี้ 

กล่าวขู่ฉะนี้แล้วทูลเตือนว่า แน่ะมหาราช เมื่อต้องการไฟ ไม่ควรจะเป่าหิ่งห้อย หรือเมื่อต้องการน้ำนม ไม่ควรจะรีดเขาโค นำเอาขัชโชปนกปัญหาในปัญจกนิบาตนี้มากล่าวคาถาว่า

ใครเล่าเมื่อไฟลุกโพลงมีอยู่ ยังเที่ยวหาไฟอีกโดยมิใช่เหตุ บุคคลเห็นหิ่งห้อยในราตรีก็สำคัญว่าไฟ เอามูลโคแห้งอันละเอียดหรือหญ้าแห้งโรยทำเชื้อบนหิ่งห้อยเพื่อให้เกิดไฟ ก็ไม่สามารถทำให้เกิดไฟลุกโพลง ด้วยสำคัญวิปริต ฉันใด คนอันธพาลดุจคนใบ้ แม้แสวงหาสิ่งที่ต้องประสงค์โดยไม่ใช่อุบาย ก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องประสงค์นั้น ฉันนั้น 

นมโคไม่มีที่เขาโค บุคคลรีดนมโคที่เขาโค ก็ไม่ได้นมโค ฉันใด บุคคลแสวงหาสิ่งที่ต้องการในที่ไม่ใช่ที่จะหาได้ ก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ฉันนั้น ชนทั้งหลายลุถึงสิ่งที่ต้องการด้วยอุบายต่าง ๆ พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลายครองแผ่นดินอันชื่อพสุนธร เพราะทรงไว้ซึ่งรัตนะคือแก้ว ก็ด้วยนิคคหะเหล่าอมิตร ปัคคหะเหล่ามิตร ได้เหล่าอำมาตย์ มีเสนีเป็นประมุข และความแนะนำของอำมาตย์ผู้ คุ้นเคยเป็นที่รักเป็นที่เจริญใจ

เทวดากล่าวขู่พระราชาว่า ชนทั้งหลายเช่นกับพระองค์ ในเมื่อไฟมีอยู่แท้ ก็หาเป่าหิ่งห้อยไม่ ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ก็พระองค์ตรัสถามอาจารย์ทั้ง ๔ มีเสนกะเป็นต้น ก็เป็นเหมือนครั้นเมื่อไฟมีอยู่ ทรงเป่าหิ่งห้อย เหมือนคนทิ้งตราชูเสียแล้วชั่งด้วยมือ และเหมือนเมื่อต้องการน้ำนมก็รีดเอาแต่เขาโคฉะนั้น อาจารย์ทั้ง ๔ เหล่านั้นจะรู้อะไร เพราะเขาเหล่านั้นเช่นกับหิ่งห้อย มโหสถบัณฑิตเช่นกับกองเพลิงใหญ่ ย่อมรุ่งโรจน์ด้วยปัญญา ขอพระองค์โปรดให้หามโหสถมาตรัสถามเถิด เมื่อพระองค์ไม่ทรงทราบปัญหาเหล่านี้พระชนมชีพของพระองค์จะไม่มี ทูลคุกคามฉะนี้แล้ว ก็อันตรธานหายไป

เรื่อง ภูริปัญหา

พระราชาถูกมรณภัยคุกคาม รุ่งขึ้นให้เรียกอำมาตย์ ๔ คนมาตรัสสั่งว่าท่านทั้ง ๔ คนจงขึ้นรถ ๔ คัน ออกจากประตูเมืองทั้ง ๔ ประตู ค้นหามโหสถบุตรเราอยู่ที่ใด จงทำสักการะแก่เธอในที่นั้น แล้วนำตัวมาโดยเร็ว 

อำมาตย์ทั้ง ๔ คนออกทางประตูคนละประตู อำมาตย์ ๓ คนไม่พบมโหสถบัณฑิต แต่อำมาตย์คนหนึ่งออกทางประตูด้านทิศทักษิณ พบพระมหาสัตว์ที่บ้านทักขิณยวมัชฌคาม ขนดินเหนียวมา มีร่างกายเปื้อนดินเหนียว นั่งบนตั่งใบไม้หมุนจักรในสำนักอาจารย์ ปั้นดินเหนียวเป็นปั้น ๆ บริโภคข้าวเหนียวไม่มีแกง

ถามว่า ก็เหตุไร มโหสถจึงทำการอย่างนี้ แก้ว่า ได้ยินว่า พระราชาทรงรังเกียจว่า มโหสถบัณฑิตจะชิงราชสมบัติของพระองค์โดยไม่สงสัย มโหสถคิดว่า เมื่อพระราชาทรงทราบว่า มโหสถเลี้ยงชีพอยู่ด้วยการทำหม้อขายก็จะทรงหายรังเกียจ จึงได้ทำอย่างนี้

มโหสถเห็นอำมาตย์ก็รู้ว่าจะมาหาตน จึงดำริว่า วันนี้ยศของเราจักกลับมามีดังเดิมอีก เราจะได้บริโภคโภชนาหารมีรสเลิศต่าง ๆ ที่นางอมราเทวีจัดไว้รับเรา เมื่อคิดฉะนี้จึงทิ้งก้อนข้าวที่ถือไว้ ลุกขึ้นบ้วนปาก อำมาตย์นั้นเข้าไปหามโหสถในขณะนั้น แต่อำมาตย์คนนั้นเป็นพวกเดียวกับเสนกะ เพราะฉะนั้น เมื่อจะสืบต่อข้อความที่เสนกะกล่าวเมื่อครั้งก่อนว่าทรัพย์ประเสริฐกว่าปัญญานั้น จึงกล่าวว่าแน่ะท่านบัณฑิต คำของอาจารย์เสนกะนั้นเป็นจริง ในเมื่อยศของท่านเสื่อม ท่านเป็นผู้มีปัญญามากถึงปานนี้ ก็ไม่สามารถจะเป็นที่พึ่งแก่ท่าน บัดนี้ท่านมีร่างกายเปรอะเปื้อนด้วยดินเหนียว นั่งที่ตั่งใบไม้กินข้าวไม่มีแกงอย่างนี้ 

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวตอบอำมาตย์นั้นว่า แน่ะเจ้าอันธพาล เรานั้นประสงค์จะทำให้ยศของเรานั้นกลับคืนมาดังเดิมด้วยปัญญาของเราเอง เราจึงได้ทำอย่างนี้

ลำดับนั้น อำมาตย์กล่าวกะมโหสถว่า แน่ะพ่อบัณฑิต เทวดาผู้สิงอยู่ ณ เศวตฉัตรถามปัญหาพระราชา พระราชาตรัสถามบัณฑิตทั้ง ๔ ก็ไม่มีบัณฑิตแม้คนหนึ่งจะแก้ปัญหาได้ เพราะเหตุนั้น พระราชาจึงดำรัสสั่งให้ข้าพเจ้ามาหาท่าน 

พระมหาสัตว์จึงกล่าวสรรเสริญอานุภาพแห่งปัญญาว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจงเห็นอานุภาพแห่งปัญญา เพราะว่าอิสริยยศย่อมเป็นที่พึ่งไม่ได้ในเวลาเช่นนี้ บุคคลผู้บริบูรณ์ด้วยปัญญาเท่านั้นย่อมเป็นที่พึ่งได้ 

อำมาตย์นั้นได้รับพระราชบัญชามาว่า จงให้มโหสถบัณฑิตอาบน้ำนุ่งห่มในที่ที่พบทีเดียวแล้วนำมา จึงได้ทำตามรับสั่งโดยมอบกหาปณะให้เป็นจำนวนหนึ่งพันกหาปนะ และผ้าสำรับหนึ่ง ซึ่งเป็นของพระราชทานแก่พระมหาสัตว์ 

ในครั้งนั้น นายช่างหม้อเกิดกลัวขึ้นเอง ด้วยคิดเห็นว่า เราได้ใช้สอยมโหสถผู้เป็นราชบัณฑิตจักเป็นความผผิด พระมหาสัตว์เห็นกิริยาของช่างหม้อ จึงพูดเอาใจว่า อย่ากลัวเลยท่านอาจารย์ ท่านเป็นผู้มีอุปการะแก่ข้าพเจ้ามาก กล่าวฉะนี้แล้วให้กหาปณะพันหนึ่งแก่ช่างหม้อ แล้วนั่งไปในรถทั้งตัวเปื้อนดินเหนียวเข้าไปสู่พระนคร 

อำมาตย์ให้ทูลข่าวมาของมโหสถแด่พระราชา พระราชารับสั่งถามว่า ท่านพบมโหสถที่ไหน อำมาตย์นั้นจึงกราบทูลว่ามโหสถทำหม้อขายเลี้ยงชีพอยู่ ณ บ้านทักขิณยวมัชฌคาม ทราบว่ามีรับสั่งให้มาเฝ้า ก็ยังไม่ได้อาบน้ำ ตรงเข้ามาเฝ้าทั้งๆ มีร่างกายเปื้อนดินเหนียวทีเดียว 

พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า ถ้ามโหสถเป็นศัตรูของเรา จะพึงเที่ยวอยู่ด้วยอิสริยศักดิ์ มโหสถนี้หาได้เป็นศัตรูของเราไม่ ทรงดำริฉะนี้แล้วตรัสสั่งว่า ท่านจงบอกแก่มโหสถบุตรของเราว่า จงไปเรือนของตนอาบน้ำตกแต่งกายแล้วมาตามเข้าเฝ้าตามทำนองเกียรติศักดิ์ที่เราให้ 

มโหสถได้สดับพระราชกระแส ก็ได้กระทำอย่างนั้นแล้วจึงกลับมาเข้าเฝ้า เมื่อได้พระราชานุญาตให้เข้าเฝ้าแล้ว ก็ตรงเข้าไปถวายบังคมพระราชา แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชเมื่อจะทรงทดลองมโหสถบัณฑิต จึงทรงปฏิสันถารกับมโหสถบัณฑิตว่า

แน่ะบัณฑิต ก็คนบางพวกไม่ทำความชั่วเพราะเหตุแห่งความเป็นผู้มีอิสระยิ่ง ด้วยคิดว่า พวกเรามีความสุขสมบูรณ์ด้วยอิสริยยศ พวกเราไม่ควรทำความชั่วด้วยเหตุเพียงเท่านี้

คนบางพวกไม่ทำความชั่วเพราะเกรงเกี่ยวข้องด้วยความติเตียน ด้วยคิดว่าคนมุ่งร้ายกล่าวติเตียนจักมีแก่เจ้านายผู้ให้ยศแก่เราอย่างนี้ บางคนมีปัญญาน้อย แต่ตัวเจ้าเป็นผู้สามารถ มีความคิดเต็มเปี่ยม ถ้าต้องการก็ครองราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้นได้ เหตุไรจึงไม่ชิงราชสมบัติ เหตุไรจึงไม่ไม่ทำความทุกข์ให้เกิดแก่เรา

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์กราบทูลพระราชาว่า

บัณฑิตทั้งหลายไม่ประพฤติความชั่ว แม้เป็นผู้มีสภาพที่พลาดจากสมบัติแล้วตั้งอยู่ในวิบัติ ย่อมไม่ละแม้ซึ่งธรรมคือประเพณี แม้ซึ่งธรรมคือสุจริต

พระราชาเมื่อจะตรัสขัตติยมายาเพื่อทดลองมโหสถอีก จึงตรัสคาถานี้ว่า

บุคคลเมื่อตกต่ำ ก็พึงทำตนให้ตั้งอยู่ในยศในสมบัติดังเดิมเสียก่อน ภายหลังจึงประพฤติธรรมก็ได้มิใช่หรือ

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะแสดงอุปมาด้วยต้นไม้ แด่พระราชาจึงกล่าวคาถานี้ว่า

บุคคลเมื่อได้นั่งหรือนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ก็ไม่พึงหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นผู้ชั่วช้า

ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงความที่ตนมิใช่ผู้ประทุษร้ายมิตรแม้ในที่ทั้งปวง จึงกล่าวว่า 

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ถ้าว่าบุคคลหักกิ่งต้นไม้ที่ตนได้บริโภค ชื่อว่าเป็นผู้ประทุษร้ายมิตรไซร้ 

บิดาของข้าพระองค์ พระองค์ก็ให้ดำรงอยู่ในอิสริยยศอันโอฬารและตัวข้าพระองค์ พระองค์ก็ทรงอนุเคราะห์เป็นอันมาก ถ้าข้าพระองค์ทำร้ายในพระองค์ จะไม่พึงชื่อว่าเป็นผู้ประทุษร้ายมิตรได้อย่างไร

บัดนี้ เมื่อจะถวายโอวาทพระราชา มโหสถบัณฑิตจึงกล่าวว่า

คฤหัสถ์บริโภคกามเป็นคนเกียจคร้าน ไม่ดี

บรรพชิตเป็นผู้ไม่สำรวมแล้ว ไม่ดี 

พระราชาผู้ไม่ทรงพิจารณาก่อนจึงทรงราชกิจ ไม่ดี 

ความโกรธของบัณฑิตผู้มักโกรธ ไม่ดี 

กษัตริย์ควรทรงพิจารณาก่อนแล้วจึงทรงราชกิจ กษัตริย์ไม่ทรงพิจารณาก่อน ไม่พึงทรงราชกิจ ยศและเกียรติย่อมเจริญแก่พระราชาผู้ทรงพิจารณาก่อน แล้วจึงทรงบำเพ็ญราชกรณียกิจเป็นปกติ 

 เรื่อง เทวปัญหา

เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว พระเจ้าวิเทหราชจึงให้พระมหาสัตว์นั่ง ณ ราชบัลลังก์ภายใต้เศวตฉัตร พระองค์เองประทับนั่ง ณ อาสนะต่ำกว่า ตรัสว่า พ่อบัณฑิต เทวดาผู้สิงอยู่ ณ เศวตฉัตรถามปัญหา ๔ ข้อกะเราแต่เราไม่รู้ปัญหา ๔ ข้อนั้น อาจารย์ ๔ คนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เจ้าจงกล่าวแก้ปัญหา ๔ ข้อนั้นแก่เรา 

มโหสถกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เทวดาผู้สิงอยู่ ณ เศวตฉัตรก็ยกไว้เถิด หรือเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นต้น ก็ยกไว้เถิด ข้าพระองค์อาจกล่าวแก้ปัญหาที่ผู้ใดผู้หนึ่งถาม ขอพระองค์ตรัสปัญหา ๔ ข้อที่เทวดาถามเถิด พระเจ้าข้า 

ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะตรัสคำถามที่เทวดาถาม จึงตรัสคำถามแรกว่า

บุคคลทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยมือทั้งสอง หรือ ด้วยเท้าทั้งสอง และเอามือทำร้ายปากผู้อื่น บุคคล นั้นกลับเป็นที่รักแห่งผู้ที่ถูกทำร้ายนั้น เพราะเหตุนั้น พระองค์ทรงเห็นบุคคลผู้เป็นที่รักได้แก่คนไหน เทวดาถามปัญหานั้นอย่างนี้

พอพระมหาสัตว์ได้สดับปัญหาเท่านั้น เนื้อความแห่งปัญหานั้นก็ปรากฏเหมือนดวงจันทร์เต็มดวงปรากฏในท้องฟ้า ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลเตือนพระราชาให้คอยทรงสดับแล้ว จึงกล่าวแก้เทวปัญหาทำให้ปรากฏประหนึ่งผู้มีฤทธิ์ชูดวงอาทิตย์ขึ้นไปกลางหาวฉะนั้นอย่างนี้ว่า 

ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อใดเด็กน้อยนอนบนตักมารดา ก็ร่าเริงยินดีเล่นทุบตีมารดาด้วยมือและเท้า ถอนผมมารดา เอามือทุบตีปากมารดา เมื่อนั้นมารดาก็กล่าวคำดังนี้เป็นต้นกับบุตรนั้นด้วยอำนาจความรักว่า แน่ะอ้ายลูกประทุษร้าย อ้ายโจร เอ็งทุบตีข้าอย่างนี้ได้หรือ กล่าวฉะนี้แล้วก็ไม่อาจจะกลั้นความรักไว้ ก็สวมกอดให้นอนระหว่างถัน จูบศีรษะ บุตรนั้นเป็นที่รักแห่งมารดาในกาลนั้น ฉันใดก็เป็นที่รักแห่งบิดาในกาลนั้น ฉันนั้น

เทวดาได้สดับอรรถาธิบายของพระโพธิสัตว์ ก็เผยกำพูฉัตรออกมาสำแดงกายกึ่งหนึ่งให้ปรากฏ ให้สาธุการด้วยเสียงอันไพเราะว่า โอ บัณฑิตกล่าวแก้ปัญหาถูกดีแล้วหนอ แล้วบูชาพระมหาสัตว์ด้วยดอกไม้และของหอมอันเป็นทิพย์ อันบรรจุเต็มในผอบแก้ว แล้วอันตรธานหายไป แม้พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงบูชาพระมหาสัตว์ด้วยบุปผชาติเป็นต้น แล้วตรัสวิงวอนให้กล่าวแก้ปัญหาข้ออื่นต่อไป ครั้นได้ทรงรับให้ตรัสถาม จึงตรัสถามคำถามที่ ๒ ว่า

บุคคลด่าผู้อื่นตามความใคร่ แต่ไม่อยากให้ผู้ถูกด่านั้นถึงภยันตราย บุคคลผู้ถูกด่านั้นย่อมเป็นที่รักของ ผู้ด่า เพราะเหตุนั้น พระองค์ทรงเห็นใครว่าเป็นที่รักแห่งผู้ด่า

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์อธิบายปัญหาที่ ๒ นั้นว่า 

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า มารดาสั่งบุตรอายุ ๗ - ๘ ขวบ ผู้สามารถจะทำตามสั่งได้ว่า แน่ะพ่อเจ้าจงไปนา เจ้าจงไปร้านตลาด ดังนี้เป็นต้น กุมารกล่าวว่า แม่จ๋า ถ้าแม่ให้ของเคี้ยวของกินนี้แก่ลูก ลูกจักไป ครั้นมารดากล่าวว่า เอาซิพ่อ กุมารนั้นก็เคี้ยวกินของกินแล้วบ้วนปาก ยืนอยู่ที่ประตูเรือน เล่นเสียกับหมู่เด็ก หาทำตามสั่งของมารดาไม่ ครั้นมารดาบังคับให้ไปก็กล่าวเฉไฉไปเรื่อย

ครั้นมารดากล่าวว่า เอ็งลวงข้า กุมารก็แสดงมือและปากล้อเลียนมารดา แล้วหนีไป มารดาเห็นบุตรหนีก็ขัดเคือง ถือไม้ไล่ตาม เมื่อไม่ทันบุตร ก็ด่าว่า อ้ายคนชั่ว อ้ายโจร เอ็งกินของกินของข้าแล้วไม่ปรารถนาจะทำงาน หยุดก่อน ๆแล้วกล่าวคำ เช่นว่า เอ็งไปเถิด อ้ายถ่อย พวกโจรจงตัดมึงให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ ด่าบริภาษตามอัธยาศัย แต่ไม่ว่าปากกล่าวจะอะไร ๆออกไป แต่ใจนั้นก็ไม่ปรารถนาให้บุตรมีภยันตรายแม้สักหน่อยหนึ่ง

ฝ่ายทารกเล่นกับพวกทารกตลอดวัน ไม่อาจจะเข้าบ้านเวลาเย็น ก็ไปยังบ้านหมู่ญาติ ฝ่ายมารดาเมื่อแลดูตามทางที่บุตรจะกลับมา เห็นบุตรที่รักยังไม่กลับบ้าน ก็มีหัวใจเต็มไปด้วยความโศกว่า ชะรอยลูกของเราจะไม่อาจเข้าบ้านมีน้ำตาไหลอาบหน้า ไปค้นหาที่เรือนญาติ เมื่อเห็นบุตรที่รักก็สวมกอดจูบที่ศีรษะเอามือทั้งสองจับบุตรให้นั่งกล่าวว่า พ่อลูกรัก อย่าเอาถ้อยคำของแม่จดไว้ในใจเลย กล่าวฉะนี้ก็ยังความรักให้เกิดขึ้นอย่างเหลือเกิน 

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า บุตรชื่อว่าเป็นที่รักยิ่งในกาลเมื่อมารดาโกรธ ด้วยประการฉะนี้ 

เทวดาได้สดับก็บูชาพระมหาสัตว์เหมือนคราวที่แล้วมา ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชก็ทรงบูชาพระมหาสัตว์เหมือนคราวที่แล้ว แล้วตรัสวิงวอนให้กล่าวแก้ปัญหาที่ ๓ ครั้นได้ทรงรับให้ตรัสถาม จึงตรัสคำถามที่ ๓ ว่า

บุคคลกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง แล้วท้วงกันด้วยคำเหลาะแหละ บุคคลนั้นย่อมเป็นที่รักแห่งกัน ด้วยเหตุนั้น พระองค์ทรงเห็นว่า ได้แก่ใคร

 ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลแก้ปัญหานั้นแด่พระราชาว่า 

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เมื่อใดภรรยาและสามี ๒ คนอยู่ในที่ลับ เล่นกันด้วยความเสน่หาตามความยินดีของโลก แล้วกล่าวตู่กันและกันด้วยคำไม่จริงอย่างนี้ว่า เราไม่รักท่านแล้ว เราได้ยินว่า ใจของท่านไปภายนอกแล้ว แล้วท้วงกันด้วยคำเหลาะแหละ เมื่อนั้นภรรยาและสามีทั้ง ๒ นั้น ก็รักกันเหลือเกิน ขอพระองค์ทรงทราบเนื้อความแห่งปัญหานั้น ด้วยประการฉะนี้ 

เทวดาได้สดับแล้วก็บูชาพระโพธิสัตว์เหมือนดังก่อนอีก  ฝ่ายพระราชาก็ทรงบูชาพระมหาสัตว์โดยนัยหนหลัง แล้วตรัสวิงวอนให้กล่าวแก้ปัญหาข้ออื่นอีก ครั้นได้รับให้ตรัสถามจึงตรัสคาถาที่ ๔ ว่า 

บุคคลนำข้าว น้ำ ผ้า และเสนาสนะไป ชื่อว่าผู้นำไปมีอยู่โดยแท้ บุคคลเหล่านั้นย่อมเป็นที่รักแห่งผู้เป็นเจ้าของข้าวน้ำเป็นต้น ด้วยเหตุนั้น พระองค์ทรงเห็นว่าได้แก่ใคร

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์อธิบายแก้เนื้อความแห่งปัญหาถวายพระราชาว่า 

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ปัญหานี้เทวดากล่าวหมายเอาสมณะและพราหมณ์ผู้ประพฤติธรรม 

จริงอยู่ สกุลทั้งหลายผู้มีศรัทธา เชื่อโลกนี้และโลกหน้า จึงบริจาคทานและใคร่จะให้อีก สกุลเหล่านั้นเห็นสมณะและพราหมณ์นั้น ขอข้าวน้ำเป็นต้นไปก็ดี นำข้าวน้ำเป็นต้นที่ได้แล้วไปบริโภคก็ดี ก็เลื่อมใสรักใคร่ในสมณะและพราหมณ์เหล่านั้นเหลือเกิน ด้วยเห็นว่า สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ขอข้าวน้ำเป็นต้นของเรา ข้าวน้ำเป็นต้นที่บริโภคเป็นของของเราทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้สมณะและพราหมณ์ทั้งหลายชื่อว่าเป็นผู้นำไป คือเป็นผู้ขอโดยส่วนเดียว แลเป็นผู้นำข้าวและน้ำเป็นต้นที่ได้แล้วไปโดยแท้ ชื่อว่าเป็นผู้เป็นที่รักของเจ้าของข้าวน้ำเป็นต้น 

ก็ในเมื่อปัญหานี้อันมโหสถกล่าวแก้แล้ว เทวดาก็บูชาเหมือนอย่างนี้ แล้วกระทำสาธุการแล้วซัดผอบอันเต็มด้วยรัตนะ ๗ ประการมาแทบเท้าแห่งมโหสถแจ้งว่า ดูก่อนมโหสถบัณฑิต ท่านจงรับผอบเต็มด้วยรัตนะ ๗ ประการ ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชโปรดปรานเลื่อมใสในมโหสถเป็นอย่างยิ่ง ได้พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่เขา นับแต่นั้นมา พระมหาสัตว์ได้มียศใหญ่

เรื่อง ปริภินทกถา

บัณฑิตทั้ง ๔ เหล่านั้นปรึกษากันอีกว่า บัดนี้ มโหสถบุตรคฤหบดีมียศใหญ่นัก เราจักทำอย่างไรดี ลำดับนั้น เสนกะจึงกล่าวกะบัณฑิตทั้งสามว่า การที่เขามียศใหญ่นั้นยกไว้เถิด เราเห็นอุบายแล้ว เราทั้ง ๔ จักไปหามโหสถถามว่า ควรบอกความลับแก่ใคร ถ้าเขาจักบอกว่า ไม่ควรบอกแก่ใครไซร้ เราทั้งหลายจักทูลยุยงพระราชาว่า คฤหบดีบุตรผู้มีนามว่ามโหสถเป็นข้าศึกของพระองค์ บัณฑิตทั้ง ๓ เห็นชอบด้วย 

บัณฑิตทั้ง ๔ เหล่านั้น จึงไปเรือนมโหสถทำปฎิสันถารแล้วกล่าวว่า แน่ะบัณฑิต เราทั้ง ๔ ใคร่จะถามปัญหาท่าน

ครั้นมโหสถให้ถาม เสนกะจึงถามว่า บุคคลผู้เป็นบัณฑิตควรตั้งอยู่ในธรรมอะไร 

มโหสถตอบว่า ควรตั้งอยู่ในความจริง 

เสนกะถามว่า ผู้ตั้งอยู่ในความจริงแล้วควรทำอะไร 

มโหสถตอบว่า ควรให้ทรัพย์สมบัติเกิดขึ้น 

เสนกะถามว่าให้ทรัพย์สมบัติเกิดแล้ว ควรทำอะไร 

มโหสถตอบว่า ควรคบมิตร 

เสนกะถามว่า คบมิตรแล้วควรทำอะไรต่อไป 

มโหสถตอบว่า ควรเรียนความคิดอ่านจากมิตร 

เสนกะถามว่า เรียนความคิดอ่านจากมิตรแล้วควรทำอะไรอีก 

มโหสถตอบว่า การได้ความคิดอ่านจากมิตรนั้น ถ้าเป็นความลับ ไม่ควรบอกความลับของตนแก่ใคร 

บัณฑิตทั้ง ๔ ก็รับว่าดีแล้ว แล้วลากลับ เป็นผู้มีจิตยินดีคิดว่า บัดนี้เราทั้ง ๔ จะสามารถแก้แค้นมโหสถได้ละ แล้วไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่าข้าแต่พระมหาราชเจ้า มโหสถเป็นกบฏต่อพระองค์ 

พระเจ้าวิเทหราชตรัสห้ามว่า เราไม่เชื่อท่านทั้งหลาย มโหสถจะไม่เป็นกบฎต่อเรา บัณฑิตทั้ง ๔ จึงกราบทูลว่า จริงนะพระเจ้าข้า ขอได้ทรงเชื่อ ก็ถ้าไม่ทรงเชื่อจงตรัสถามเขาดูว่า ความลับของเขา เขาไม่ควรบอกแก่ใคร ถ้าเขาจักไม่เป็นกบฏต่อพระองค์เขาจักทูลว่า ควรบอกแก่คนชื่อนั้น ถ้าเขาจักเป็นกบฏต่อพระองค์ เขาจักทูลว่าไม่ควรบอกแก่ใคร ๆ ในเมื่อความปรารถนาสำเร็จจึงควรบอก ในกาลนั้นพระองค์จักทรงเชื่อข้าพระองค์หมดสงสัย 

พระราชาทรงรับจะทดลอง วันหนึ่งเมื่อบัณฑิตทั้ง ๕ มาพร้อมกัน จึงตรัสคาถานี้ในปัญจปัณฑิตปัญหา ในวีสตินิบาตว่า

ท่านทั้งหลายผู้เป็นบัณฑิตทั้ง ๕ มาพร้อมกันแล้ว บัดนี้ปัญหาแจ่มแจ้งแก่เรา ท่านทั้งหลายจงฟัง ปัญหานั้น บุคคลควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญ อันเป็นข้อความลับแก่ใคร

ครั้นพระราชาตรัสอย่างนี้แล้ว เสนกะคิดว่า เราจักให้พระราชาเข้ามาเป็นพวกเราด้วย จึงกล่าวว่า

ข้าแต่พระภูมิบาล พระองค์จงตรัสเปิดเผยแก่เหล่าข้าพระองค์ก่อน พระองค์เป็นผู้ชุบเลี้ยง เป็นผู้ทรงอดทนต่อราชกรณียะอันหนัก จงตรัสก่อน ข้าแต่พระจอมประชากร เหล่าข้าพระองค์ผู้เป็นนักปราชญ์ทั้ง ๕ จักพิจารณาสิ่งที่พระองค์พอพระราชหฤทัยและ เหตุเป็นที่ชอบด้วยพระอัธยาศัย แล้วกราบทูลภายหลัง

ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสคาถานี้ ด้วยความเป็นผู้เป็นไปในอำนาจกิเลสของพระองค์ว่า

ภรรยาใดมีศีลาจารวัตร ไม่ให้ผู้อื่นลักสัมผัส คล้อยตามอำนาจความพอใจของภัสดา เป็นที่รักเป็นที่ เจริญใจ สามีควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียน หรือ ควรสรรเสริญ อันเป็นความลับแก่ภรรยา

แต่นั้นเสนกะยินดีว่า บัดนี้เราทั้งหลายยังพระราชาให้เข้าในพวกเราได้แล้ว เมื่อจะแสดงเหตุการณ์ที่ตนทำไว้เอง จึงกล่าวคาถานี้ว่า

สหายใดเป็นที่ระลึก เป็นที่ถึง เป็นที่พึ่งของบุคคลผู้ถึงความทุกข์ เดือดร้อนอยู่ บุคคลควรเปิดเผย ข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญ อันเป็นความลับ แก่สหายนั้นเทียว

ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามปุกกุสะว่า แน่ะอาจารย์ปุกกุสะ ท่านเห็นอย่างไร ความลับของตนควรบอกแก่ใคร ปุกกุสะเมื่อจะกราบทูลจึงกล่าวว่า

พี่น้องชายใด ผู้เป็นพี่ใหญ่หรือพี่กลางหรือน้อง ถ้าว่าพี่น้องชายนั้นตั้งอยู่ในศีล เสพสิ่งที่ควรเสพ บุคคลควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรร เสริญ อันเป็นความลับ แก่พี่น้องชายนั้น

แต่นั้น พระราชาตรัสถามกามินทะว่า แน่ะอาจารย์กามินทะ ท่านเห็นอย่างไร ความลับควรบอกแก่ใคร กามินทะเมื่อจะกราบทูลจึงกล่าวคาถานี้ว่า

บุตรใดดำเนินตามใจบิดา เป็นผู้อดทนต่อโอวาท เป็นอนุชาต*มีปัญญา ไม่ทรามกว่าบิดา บิดาควรเปิดเผยข้อความที่ควร ติเตียนหรือควรสรรเสริญอันเป็นความลับแก่บุตรนั้น



* บุตรมี ๓ ประเภท คือ อภิชาต ๑ อนุชาต ๑ อวชาต ๑ บุตรผู้ยังยศที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ชื่อว่า อภิชาต บุตรที่เป็นเชื้อสายของสกุล เป็นผู้ตัดวงศ์สกุล ทำทรัพย์ให้พินาศ ชื่อว่า อวชาต บุตรผู้รักษาแบบแผนของสกุล ประเพณีของสกุลไว้ได้ ชื่อ อนุชาต

แต่นั้น พระราชาตรัสถามเทวินทะว่า แน่ะอาจารย์เทวินทะ ท่านเห็นอย่างไร ความลับควรบอกแก่ใคร เทวินทะเมื่อจะกราบทูลเหตุการณ์ที่ตนทำไว้จึงกล่าวคาถานี้ว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ประเสริฐที่สุดแห่งมนุษยนิกร มารดาใดเลี้ยงบุตรด้วยความพอใจรักใคร่ บุตรควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียนหรือควรสรรเสริญ อันเป็นความลับแก่มารดานั้น

พระราชาครั้นตรัสถามอาจารย์ ๔ คนเหล่านั้น ซึ่งกล่าวตอบไปอย่างนี้แล้ว จึงตรัสถามมโหสถบัณฑิตว่า เจ้าเห็นอย่างไร พ่อบัณฑิต ความลับควรบอกแก่ใคร มโหสถบัณฑิตเมื่อจะกราบทูลเหตุแห่งความลับ จึงกล่าวว่า

การซ่อนความลับไว้นั่นแลเป็นการดี การเปิดเผยความลับไม่ดีเลย บุคคลผู้มีปรีชา เมื่อความปรารถนายังไม่สำเร็จก็พึงกลั้นไว้ เมื่อความปรารถนาสำเร็จแล้วพึงกล่าวตามสบาย

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เมื่อสิ่งที่ตนปรารถนายังไม่สำเร็จเพียงใด บัณฑิตพึงอดกลั้นไว้ ไม่พึงแจ้งแก่ใคร ๆ เพียงนั้น

เมื่อมโหสถบัณฑิตกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระราชาทรงเสียพระทัย

เสนกะแลดูพระพักตร์พระราชา พระราชาก็ทอดพระเนตรหน้าเสนกะ มโหสถบัณฑิตเห็นกิริยาแห่งเสนกะและพระราชา ก็รู้ว่าอาจารย์ทั้ง ๔ นี้ได้ยุยงในระหว่างเราและพระราชาไว้ก่อนแล้ว พระราชาตรัสถามปัญญาเพื่อทดลองเรา 

เมื่อพระราชาและราชบริษัทเจรจากันอยู่ ดวงอาทิตย์อัสดงคต เจ้าหน้าที่ตามประทีป มโหสถดำริว่า ขึ้นชื่อว่าราชการเป็นของหนักย่อมไม่ปรากฏ ใครจะรู้เรื่อง อะไรจักมี เราควรรีบกลับเสียก่อน ดำริฉะนี้จึงลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระราชาแล้วกลับออกไป แล้วมีความคิดว่า เสนกะกล่าวว่า ควรบอกความลับแก่สหาย ปุกกุสะกล่าวว่าควรบอกความลับแก่พี่น้องชาย กามินทะกล่าวว่า ควรบอกควาบลับแก่บุตร เทวินทะกล่าวว่า ควรบอกความลับแก่มารดา เราสำคัญว่า กิจที่เป็นความลับของคนเหล่านี้คงได้เกิดขึ้นแล้วเป็นแน่ คนเหล่านี้คงได้ทำกิจที่เป็นความลับนั้นแล้วแน่ คนเหล่านี้คงกล่าวถึงกิจที่ตนทำแล้ว เอาเถิด เราจักรู้เรื่องเหล่านั้นในวันนี้ 

ฝ่ายราชบัณฑิตทั้ง ๔ เมื่อออกจากราชสำนักแล้ว ปกติแล้วในวันอื่น ๆ เคยนั่งที่หลังถังข้าวถังหนึ่งใกล้ประตูพระราชนิเวศน์ ปรึกษากันถึงกรณียกิจแล้วจึงกลับไปบ้าน เพราะเหตุนั้น มโหสถจึงดำริว่า วันนี้ เรานอนอยู่ภายใต้ถังข้าว ก็สามารถจะรู้ความลับของอาจารย์ทั้ง ๔ นั้น จึงให้คนใช้ยกถังข้าวนั้นแล้วให้ลาดเครื่องลาด แล้วเข้าอยู่ภายใต้ถังข้าวนั้น แล้วให้สัญญาแก่คนใช้ว่า เมื่ออาจารย์ทั้ง ๔ มานั่งปรึกษากันลุกไปแล้ว พวกเจ้าจงมานำข้าวออก คนใช้เหล่านั้นรับคำสั่งแล้วหลีกไป 

ฝ่ายอาจารย์เสนกะทูลพระเจ้าวิเทหราชว่า พระองค์ยังไม่ทรงเชื่อข้าพระบาทหรือ บัดนี้ข้อความนั้นเป็นอย่างไรพระเจ้าข้า 

พระราชาทรงสดับคำของพวกอาจารย์ผู้ยุยง ก็หาได้ทรงพิจารณาไม่ เป็นผู้ทั้งกลัวทั้งตกพระหฤทัย จึงตรัสถามว่า แน่ะท่านเสนกบัณฑิต บัดนี้เราจักทำประการไร 

เสนกะจึงทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้าควรที่พระองค์จะไม่ชักช้า อย่าทันให้มโหสถรู้ตัว แล้วฆ่าเสีย 

พระราชาตรัสว่า แน่ะอาจารย์เสนกะ นอกจากท่านแล้ว คนอื่นที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ใคร่จะทำความเจริญให้แก่เราย่อมไม่มี ท่านจงชวนสหายของท่านคอยอยู่ที่ภายในประตู เมื่อมโหสถบุตรคฤหบดีมาสู่ราชสำนักแต่เช้า จงตัดศีรษะเสียด้วยพระแสงขรรค์ 

ดำรัสสั่งดั่งนี้แล้วก็พระราชทานพระแสงขรรค์รัตนะที่ทรง 

อาจารย์ทั้ง ๔ นั้นกราบทูลว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า ขอพระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย พวกข้าพระบาทจักฆ่ามโหสถนั้นเสียให้จงได้ 

ทูลฉะนี้แล้วออกมานั่งที่หลังถังข้าว รำพึงกันว่า พวกเราจักสามารถแก้แค้นปัจจามิตรได้แล้ว แต่นั้นเสนกะจึงเอ่ยขึ้นว่า ใครจักฆ่ามโหสถ

อาจารย์ทั้ง ๓ จึงตอบว่า ท่านอาจารย์นั่นแลจักฆ่าได้ แล้วก็ยกกิจนั้นให้เป็นภาระของเสนกะนั้นผู้เดียว 

ลำดับนั้น เสนกะจึงถามอาจารย์ทั้ง ๓ ว่า ท่านทั้ง ๓ กล่าวว่า ชื่อว่าความลับควรบอกแก่บุคคลชื่อโน้น ๆ ดังนี้ กิจนั้นท่านทั้ง ๓ ได้ทำแล้ว หรือเห็นแล้ว หรือได้สดับแล้วอย่างไร 

ลำดับนั้น อาจารย์ทั้ง ๓ กล่าวกะเสนกะว่า ข้าแต่อาจารย์ กิจที่ท่านกล่าวว่า ความลับควรบอกแก่สหายนั้นเป็นของปรากฏแล้ว กิจนั้นท่านทำแล้ว หรือเห็นแล้ว หรือได้ฟังแล้วอย่างไรเล่า 

กิจนั้นเราได้ทำเอง 

ข้าแต่อาจารย์ ถ้ากระนั้นท่านจงกล่าวให้ทราบ 

ความลับนี้ถ้าพระราชาทรงทราบแล้ว ชีวิตของเราจะไม่มี 

ข้าแต่อาจารย์ ท่านอย่ากลัวเลย บุคคลผู้ทำลายความลับของเราทั้งหลายในที่นี้ไม่มี ขอจงกล่าวให้ทราบเถิด 

เสนกะเอาเล็บเคาะถังข้าวว่า มโหสถอยู่ใต้ถังข้าวนี้กระมัง 

อาจารย์ทั้ง ๓ ตอบว่า มโหสถเป็นคนเมาอิสริยยศ คงไม่เข้าไปอยู่ในที่เช่นนี้ บัดนี้จักเป็นคนเมายิ่งด้วยยศ ท่านเห็นซึ้งไปได้ 

ฝ่ายเสนกะเมื่อจะบอกความลับของตน จึงกล่าวว่า ท่านทั้ง ๓ รู้จักหญิงแพศยาชื่อโน้นในนครนี้หรือ 

ข้าพเจ้าทั้ง ๓ ทราบ บัดนี้นางคนนั้นยังปรากฏอยู่หรือหายไป ไม่พบเลย 

ท่านอาจารย์เสนกะจึงแจ้งว่า เราทำกิจของบุรุษกับด้วยนางคนนั้นในสวนไม้รัง แล้วฆ่านางคนนั้นให้ตายเพราะเราต้องการเครื่องประดับของนาง แล้วนำเครื่องประดับของนางนั้นมาห่อด้วยผ้าสาฎก แล้วแขวนไว้บนไม้รูปเหมือนงาช้างในห้องเรือนของเรา เรายังไม่อาจจะใช้เครื่องประดับนั้น เห็นความที่เครื่องประดับนั้นเป็นของเก่า เราทำความผิดพระราชกำหนดอย่างนี้ ได้บอกแก่สหายคนหนึ่ง สหายคนนั้นมิได้บอกแก่ใคร ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวว่า เราได้บอกความลับแก่สหาย 

มโหสถเริ่มตั้งใจกำหนดจดจำความลับของเสนกะไว้เป็นอย่างดี 

ฝ่ายปุกกุสะเมื่อจะบอกความลับของตน จึงกล่าวว่า โรคเรื้อนมีที่ขาของข้าพเจ้า น้องชายน้อยของข้าพเจ้าเท่านั้นรู้ ข้าพเจ้าไม่ให้ใคร ๆ รู้ ชำระแผลนั้นทายา พันผ้าทับแผล พระราชามีพระหฤทัยกรุณาในข้าพเจ้า ตรัสเรียกข้าพเจ้าว่า ปุกกุสะจงมา แล้วบรรทมที่ขาของข้าพเจ้าบ่อย ๆ ก็ถ้าราชาทรงทราบเรื่องนี้ พึงประหารชีวิตข้าพเจ้า นอกจากน้องชายน้อยคนนั้นของข้าพเจ้าแล้ว คนอื่นไม่รู้เลย ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าบอกความลับแก่น้องชายน้อย 

ฝ่ายกามินทะเมื่อจะแสดงความลับของตน จึงกล่าวว่า ในวันอุโบสถข้างแรม ยักษ์ชื่อนรเทวะมาสิงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ร้องดุจสุนัขบ้าร้อง ข้าพเจ้าได้แจ้งเนื้อความนี้แก่บุตร บุตรของข้าพเจ้ารู้ว่ายักษ์มาสิงข้าพเจ้า ก็ให้ข้าพเจ้านอนในห้องข้างใน ปิดประตูแล้วออกไปจัดการให้มีมหรสพที่ประตูเพื่อกลบเสียงของข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าบอกความลับแก่บุตร 

แต่นั้นอาจารย์ทั้ง ๓ จึงถามเทวินทะ เทวินทะเมื่อจะกล่าวความลับของตน จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าทำการขัดสีแก้วมณี มีแก้วมณีเป็นมงคล เป็นที่เข้าอยู่แห่งสิริ เป็นของหลวงซึ่งท้าวสักกเทวราชประทานพระเจ้ากุสราชไว้ ข้าพเจ้าลักเอามงคลมณีรัตน์นั้นมาให้มารดา มารดานั้นไม่ให้ใครรู้ ถึงเวลาข้าพเจ้าจะเข้าเฝ้าพระราชา ก็ให้มงคลมณีรัตน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังสิริให้อยู่ในตัวข้าพเจ้า ด้วยอำนาจแห่งมงคลมณีรัตน์นั้น จึงเข้าไปสู่ราชสำนัก พระราชาไม่ตรัสแก่ท่านทั้งหลาย ตรัสกับข้าพเจ้าก่อนกว่าใคร ๆ แล้วพระราชทานกหาปณะ ๘ กหาปณะบ้าง ๑๖ กหาปณะบ้าง ๓๒ กหาปณะบ้าง ๖๔ กหาปณะบ้าง แก่ข้าพเจ้าเพื่อเป็นเสบียงได้เลี้ยงชีพทุกวัน ถ้าพระราชาทรงทราบอานุภาพมณีรัตน์นั้นไซร้ ชีวิตของข้าพเจ้าก็จะไม่รอดอยู่ ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าบอกความลับแก่มารดา

พระมหาสัตว์ได้ทำความลับของอาจารย์ทั้ง ๔ ให้ประจักษ์ ก็อาจารย์ทั้ง ๔ นั้นแจ้งความลับแก่กันแลกัน ราวกะบุคคลผ่าอกของตนแผ่อวัยวะภายในออกมาภายนอก แล้วเตือนกันว่า ท่านทั้งหลายอย่าประมาท มาช่วยกันฆ่ามโหสถบุตรคฤหบดีแต่เช้า กำชับกันดังนี้แล้วต่างลุกขึ้นหลีกไป 

ในกาลเมื่ออาจารย์ทั้ง ๔ ไปแล้ว คนใช้ของมโหสถที่นัดหมายกันไว้ ก็มายกถังข้าวพาพระมหาสัตว์ออกหลีกไป พระโพธิสัตว์กลับถึงเคหสถาน อาบน้ำแต่งกายบริโภคโภชนาหารแล้วรู้ว่า วันนี้พระนางอุทุมพรเทวีผู้เชษฐภคินีของเรา คงประทานข่าวมาแต่พระราชวัง จึงวางบุรุษพิเศษไว้ที่ประตูสั่งว่า เจ้าจงให้คนมาแต่พระราชวังเข้ามา แล้วบอกแก่เราโดยเร็ว ก็แลครั้นสั่งฉะนั้นแล้วก็นอน

ขณะนั้น พระเจ้าวิเทหราชบรรทม ณ ที่บรรทมอันมีสิริ ทรงอนุสรณ์ถึงคุณของมโหสถว่า มโหสถบัณฑิตบำรุงเรามาตั้งแต่เขามีอายุได้ ๗ ปี ไม่ได้ทำความเสียหายหน่อยหนึ่งแก่เรา เมื่อเทวดาถามปัญหา ถ้าจักไม่มีมโหสถไซร้ ชีวิตของเราก็จะไม่พึงมี เรามาถือเอาคำของปัจจามิตรผู้มีเวร แล้วกล่าวสั่งว่าท่านทั้งหลายจงฆ่ามโหสถผู้มีธุระหาผู้เสมอมิได้ ฉะนี้แล้วให้พระขรรค์ เป็นอันว่าเราทำสิ่งที่ไม่ควรทำ บัดนี้แต่พรุ่งนี้ไป เราจักไม่ได้เห็นมโหสถอีก ทรงรำพึงฉะนี้ก็ยังความโศกให้เกิดขึ้น พระเสโทไหลโซมพระกาย 

พระราชานั้นเต็มไปด้วยความโศกก็ไม่ทรงได้ความผ่องใสแห่งพระมนัส พระนางอุทุมพรเทวีเสด็จไปบรรทมร่วมกับพระราชสามี ทอดพระเนตรเห็นพระอาการของพระราชสามี ทรงดำริว่า เป็นไฉนหนอ ความผิดอย่างไรของเรามีอยู่ หรือเหตุการณ์แห่งความโศกอย่างไรอื่นเกิดขึ้นแก่พระองค์ พระนางจึงได้ทูลถามดังนั้นกับพระสวามี

ลำดับนั้น พระราชาตรัสตอบพระนางว่า

แน่ะนางผู้เจริญ บัณฑิตทั้ง ๔ บอกแก่เราว่า มโหสถบัณฑิตเป็นศัตรูของเรา เราไม่ได้พิจารณาโดยถ่องแท้ สั่งฆ่ามโหสถผู้มีปัญญาดังแผ่นดินเสีย เมื่อเราคิดถึงการณ์นั้น จึงมีความโทมนัสว่า เราตายเสียดีกว่ามโหสถบัณฑิตตาย

ความโศกสักเท่าภูเขาเกิดขึ้นแก่พระนางอุทุมพร ด้วยความรักในพระมหาสัตว์ เพราะได้ทรงสดับพระราชาตรัสฉะนั้น แต่นั้นพระนางจึงทรงคิดว่า เราจักยังพระราชาให้ทรงอุ่นพระหฤทัยด้วยอุบายหนึ่ง ในกาลเมื่อพระราชาบรรทมหลับ เราจักส่งข่าวไปยังมโหสถผู้กนิษฐภาดาของเรา 

ลำดับนั้น พระนางจึงกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์ผู้ยังมโหสถให้ดำรงอยู่ในอิสริยยศใหญ่ ภายหลังมาทรงทำการดังนี้แก่เขาจะเป็นไรไป แล้วทูลเล้าโลมพระราชาว่า พระองค์ทรงสถาปนามโหสถในตำแหน่งเสนาบดี ได้ยินว่า บัดนี้เธอคิดกบฏต่อพระองค์ ก็บุคคลผู้ปัจจามิตร มิใช่เป็นคนเล็กน้อยเลย พระองค์ควรประหารชีวิตเขาเสียทีเดียว ขอพระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย 

เมื่อพระราชามีความโศกเบาบางลงก็หยั่งลงสู่นิทรารมณ์ ขณะนั้นพระราชเทวีเสด็จลุกขึ้นเข้าสู่ห้อง แล้วทรงพระอักษรมีความว่า ดูก่อนมโหสถ บัณฑิตทั้ง ๔ ทำลายเธอให้แตกกับพระราชา พระราชากริ้ว ตรัสสั่งบัณฑิตทั้ง ๔ ให้ฆ่าเธอที่ประตูพระราชวังเวลาพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เธออย่ามาสู่ราชสำนัก ถ้าจะมา ก็จงทำชาวพระนครให้อยู่ในเงื้อมมือเธอเสียก่อนแล้วพึงมา 

เมื่อทรงพระอักษรมีความฉะนี้แล้วสอดเข้าในห่อ เอาด้ายพันห่อแล้ววางในสุพรรณภาชน์ใหม่ปิดฝาประทับพระลัญจกรประทานแก่นางข้าหลวงตรัสสั่งว่า เจ้าจงนำห่อนี้ไปให้แก่มโหสถบัณฑิตผู้น้องชายน้อยของเรา 

นางข้าหลวงได้ทำตามคำสั่ง ใคร ๆ ไม่ควรสงสัยว่า ทำไมนางข้าหลวงออกจากตำหนักข้างในในเวลากลางคืนได้ เพราะว่าพระราชาพระราชทานพรแก่พระนางไว้ก่อนแล้ว ให้พระนางใช้ใครนำของเสวยอันมีรสออกไปให้มโหสถได้ตามประสงค์ เพราะฉะนั้น ใคร ๆ จึงไม่ห้ามนางข้าหลวงนั้น 

พระโพธิสัตว์รับพระสุพรรณภาชน์แล้วให้นางข้าหลวงนั้นกลับ นางข้าหลวงก็ลากลับมาทูลความที่ตนให้พระสุพรรณภาชน์แก่มโหสถแล้วแด่พระนาง ขณะนั้นพระนางจึงเสด็จมาบรรทมกับพระราชสามี 

ฝ่ายพระโพธิสัตว์แก้ห่อหนังสือออกอ่านรู้ความนั้นแล้ว จัดกิจที่จะพึงทำแล้วเข้านอน 

ฝ่ายอาจารย์ทั้ง ๔ ถือพระแสงขรรค์ยืนอยู่ภายในประตูวังแต่เช้า เมื่อไม่เห็นมโหสถมาก็เสียใจ ไปเฝ้าพระราชา ครั้นตรัสถามว่า เป็นอย่างไร ท่านทั้งหลายฆ่ามโหสถแล้วหรือ

จึงกราบทูลว่า ไม่เห็นมโหสถมา พระเจ้าข้า 

ฝ่ายพระมหาสัตว์ พออรุณขึ้นก็สนานกายด้วยน้ำหอม ประดับกายด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง บริโภคโภชนะอันเลิศ ชำระสรีรกิจแล้ว ทำชาวพระนครให้อยู่ในเงื้อมมือแล้ว ตั้งการรักษาในที่นั้น ๆ เป็นผู้อันมหาชนห้อมล้อมขึ้นรถไปสู่ประตูวังด้วยยศใหญ่ 

ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชให้เปิดพระแกลประทับยืนทอดพระเนตรอยู่ 

ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์ลงจากรถถวายบังคมบรมกษัตริย์แล้วยืนอยู่ พระราชาทอดพระเนตรเห็นกิริยาของมโหสถทรงดำริว่า ถ้ามโหสถเป็นข้าศึกแก่เรา ที่ไหนเขาจะพึงไหว้เรา 

ลำดับนั้นก็ตรัสให้เรียกมโหสถมาเฝ้า แล้วเสด็จประทับ ณ พระราชอาสน์ ฝ่ายมโหสถถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ส่วนหนึ่ง บัณฑิตทั้ง ๔ ก็นั่งอยู่ที่นั่น ลำดับนั้น พระราชาเป็นเหมือนไม่ทรงทราบอะไร ตรัสถามมโหสถว่า แน่ะพ่อมโหสถ เมื่อวานนี้เจ้ากลับบ้านแต่ยามแรก เจ้าพึ่งมาเดี๋ยวนี้ เจ้าสละเสียอย่างนี้เพราะอะไร ตรัสฉะนี้แล้ว ได้ตรัสว่า

เจ้าไปบ้านแต่หัวค่ำ แล้วมาเอาตอนนี้ ใจของเจ้ารังเกียจเพราะเจ้าได้ฟังอะไรมาหรือ ดูก่อนเจ้าผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน มีใคร ได้กล่าวกะเจ้าว่า อย่าไปเฝ้าพระราชาหรือ พวกเราอยากจะฟังคำของเจ้านั้น เชิญเจ้าบอกการณ์นั้นแก่เรา

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลเตือนพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์ถือเอาคำบัณฑิตทั้ง ๔ แล้ว มีพระราชาณัติให้ฆ่าข้าพระบาท ด้วยเหตุนั้น ข้าพระบาทจึงยังไม่มา เมื่อทูลพระราชาดังนั้นแล้วได้กล่าวว่า

มโหสถผู้มีปัญญาจะถูกฆ่า ข้าแต่พระปิ่นประชากร เมื่อพระองค์เสด็จอยู่ในที่ลับ ได้ตรัสข้อความลับที่รับสั่งแก่อาจารย์ทั้ง ๔ กับพระนางอุทุมพรเมื่อหัวค่ำ ข้อความลับอย่างนั้นของพระองค์ พระองค์ได้เปิดเผยแล้ว ก็ข้อความลับนั้นอันข้าพระบาทได้ฟังแล้วในกาลนั้น

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำของมโหสถก็ทรงพระพิโรธด้วยทรงเห็นว่า นางอุทุมพรจักส่งข่าวไปขณะนั้นเอง จึงทอดพระเนตรดูพระราชเทวี 

มโหสถรู้กิริยานั้นจึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ทรงพิโรธพระราชเทวีทำไม ข้าพระองค์ทราบเหตุการณ์ อดีต อนาคต และปัจจุบันทั้งสิ้น เรื่องที่พระนางตรัสความลับของพระองค์แก่ข้าพระองค์จงยกไว้ก่อน ความลับของเสนกะและปุกกุสะเป็นต้น ใครแจ้งแก่ข้าพระองค์เล่า ปัญหาของกิ้งก่าใครบอกแก่ข้าพระองค์ และปัญหาของเทวดาใครบอกแก่ข้าพระองค์เล่า ข้าพระองค์ทราบความลับของชนเหล่านี้ก่อนแล้วทีเดียว เมื่อจะทูลความลับของเสนกะก่อนจึงได้กล่าวคาถานี้ว่า

เสนกะได้ทำกรรมลามกไม่ใช่กรรมดีอันใด คือ ฆ่าหญิงแพศยานางหนึ่งในสวนไม้รัง ในนครนี้เอง แล้วถือเอาเครื่องประดับห่อด้วยผ้าสาฎกเก็บไว้ในเรือนของตน อยู่ในที่ลับ และได้แจ้งเรื่องนี้แก่สหายคนหนึ่ง กรรมลามกอันเป็นความลับของตนอย่างนี้ อันเสนกะทำให้ปรากฏแล้ว ความลับนี้ข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว

ข้าพระองค์มิได้คิดกบฏต่อสมมติเทพ เสนกะนั่นแหละเป็นผู้คิดกบฏ ถ้าพระองค์มีพระราชประสงค์ด้วยคนกบฏ จงโปรดให้จับเสนกะ

พระราชาทอดพระเนตรดูเสนกะแล้วมีราชกระทู้ถามว่า จริงหรือเสนกะ ก็ได้ทรงรับกราบทูลตอบว่า จริงพระเจ้าข้า จึงรับสั่งให้จำเสนกะในเรือนจำ ฝ่ายมโหสถเมื่อจะกราบทูลข้อความลับของปุกกุสะ จึงกล่าวว่า

ข้าแต่พระจอมประชากร โรคเรื้อนเกิดขึ้นแก่ ปุกกุสะ เป็นโรคที่ไม่สมควรจะใกล้ชิดพระราชา ปุกกุสะอยู่ในที่ลับได้แจ้งแก่น้องชายน้อย ความที่ ปุกกุสะเป็นโรคเรื้อน เป็นข้อความลับเห็นปานนี้ อันปุกกุสะได้ทำให้ปรากฏแล้ว ความลับนี้ข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว

พระองค์บรรทมที่ขาของปุกกุสะบ่อย ๆ ด้วยเข้าพระหฤทัยว่า ขาของปุกกุสะอ่อน ที่แท้ขาของปุกกุสะนั้นมีสัมผัสอ่อนเพราะผ้าพันแผล พระเจ้าข้า

พระราชาทอดพระเนตรดูปุกกุสะแล้ว ตรัสถามว่า จริงหรือปุกกุสะครั้นได้ทรงสดับ รับสารภาพว่าจริง จึงรับสั่งให้เอาตัวเข้าเรือนจำ มโหสถบัณฑิตเมื่อจะกราบทูลความลับของกามินทะ จึงกล่าวว่า

กามินทะนั้น เมื่อยักษ์ชื่อ นรเทวะเข้าสิงแล้วเป็นเหมือนสุนัขบ้าร้องอยู่ กามินทะได้แจ้งความลับนี้แก่บุตร ความลับเห็นปานนี้ อันกามินทะทำให้ปรากฏแล้ว ความลับนี้ข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว

พระราชาทอดพระเนตรดูกามินทะแล้วตรัสถามว่า จริงหรือ กามินทะกามินทะทูลรับสารภาพ จึงตรัสสั่งให้นำกามินทะเข้าสู่เรือนจำ ฝ่ายมโหสถบัณฑิตเมื่อจะกราบทูลความลับของเทวินทะ จึงกล่าวคาถานี้ว่า

ท้าวสักกเทวราชได้ประทานมณีรัตนะอันโอฬาร มี ๘ คดแด่พระเจ้ากุสราชผู้เป็นพระอัยยกาของพระองค์ มณีรัตนะนั้นเดี๋ยวนี้ตกถึงมือเทวินทะ ก็เทวินทะอยู่ในที่ลับได้แจ้งแก่มารดา ข้อความลับเห็นปานนี้ อัน เทวินทะทำให้ปรากฏแล้ว ความลับนี้ข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว

พระราชาตรัสถามเทวินทะว่า จริงหรือเทวินทะ ครั้นเทวินทะกราบทูลสารภาพว่าจริง จึงโปรดให้ส่งเทวินทะเข้าเรือนจำ อาจารย์ทั้ง ๔ ตั้งใจจะฆ่ามโหสถ กลับต้องเข้าเรือนจำเองทั้งหมด ด้วยประการฉะนี้

พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระองค์กราบทูลว่า อันบุคคลไม่ควรบอกความลับของตนแก่บุคคลอื่นด้วยเหตุนี้ อาจารย์ทั้ง ๔ กราบทูลว่า ควรบอก ก็ถึงความพินาศใหญ่ เมื่อจะแสดงธรรมให้ยิ่ง ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

การซ่อนความลับไว้นั่นแหละดี การเปิดเผยความลับไม่ประเสริฐเลย บุคคลผู้มีปัญญา เมื่อข้อความลับยังไม่สำเร็จ พึงอดทนไว้ ข้อความลับสำเร็จแล้ว พึงกล่าวตามสบาย

บุคคลไม่ควรเปิดเผยข้อความลับเลย ควรรักษาข้อความลับนั้นไว้ ดุจบุคคลรักษาขุมทรัพย์ ฉะนั้น ข้อความลับอันบุคคลผู้รู้แจ้งไม่ทำให้ปรากฏนั่นแลดี. บัณฑิตไม่ควรบอกความลับแก่สตรี และแก่คนไม่ใช่มิตร กับอย่าบอกความในใจแก่บุคคลที่อามิสลากไป

ผู้มีปรีชาย่อมอดทนต่อคำด่า คำบริภาษ และการทำร้ายของบุคคลผู้รู้ความลับ เพราะกลัวแต่แพร่ความลับที่คิดไว้ ประหนึ่งคนเป็นทาสอดทนต่อคำด่าแห่งนายฉะนั้น ชนทั้งหลาย รู้ความลับที่ปรึกษากันของบุคคลผู้หนึ่งเพียงใด ความหวาดสะดุ้งของบุคคลนั้นย่อมเกิดขึ้นเพียงนั้น เพราะเหตุนั้น ผู้ฉลาดไม่ควรสละความลับ

บุคคลกล่าวความลับในเวลากลางวัน พึงหาโอกาสที่เงียบ เมื่อจะพูดความลับในเวลาค่ำคืน อย่า ปล่อยเสียงให้เกินเขต เพราะว่าคนแอบฟังความ ย่อมจะได้ยินความลับที่ปรึกษากัน เพราะฉะนั้น ความลับที่ปรึกษากันจะถึงความแพร่งพรายทันที

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับ ถ้อยคำแห่งมโหสถก็ทรงพิโรธว่าอาจารย์เหล่านี้ปองร้ายกันเอง มาลงเอามโหสถว่าเป็นผู้ปองร้ายเรา จึงมีพระราชดำรัสสั่งราชบุรุษว่า พวกเจ้าจงไป จงนำอาจารย์ทั้ง ๔ นั้น ออกจากพระนคร ให้นอนหงายบนหลาวแล้วตัดศีรษะเสีย

มโหสถกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ อาจารย์เหล่านี้เป็นอำมาตย์เก่าของพระองค์ ขอพระองค์ทรงงดโทษแก่อาจารย์เหล่านี้  

พระราชาพระราชทานอนุญาต แล้วให้เรียกอาจารย์ทั้ง ๔ มา ตรัสสั่งยกให้เป็นทาสแห่งมโหสถ แต่มโหสถทูลยกให้เป็นไทในเวลานั้นนั่นเอง 

พระราชาตรัสสั่งให้ขับไล่อาจารย์ทั้ง ๔ จากพระราชอาณาจักร 

มโหสถทูลขอพระราชทานโทษว่า ขอได้โปรด อดโทษแก่คนอันธพาลเหล่านั้น ขอให้ทรงยกย่องอยู่ในฐานันดรนั้น 

พระราชาทรงเลื่อมใสในมโหสถเกินเปรียบ ด้วยทรงดำริว่า มโหสถได้มีเมตตาเห็นปานนี้ในเหล่าปัจจามิตร มโหสถจักไม่มีเมตตาเห็นปานนี้ในชนเหล่าอื่นอย่างไร นับแต่นั้น นักปราชญ์ทั้ง ๔ เป็นผู้หมดพยศ ดุจงูถูกถอนเขี้ยวเสียแล้วไม่อาจจะกล่าวอะไรอีก




 ***************************  จบปัญหาบัณฑิต ๕ ***************************

******************************จบปริภินทกถา ****************************


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น