วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ทศชาติชาดก : ชาติที่ 5 มโหสถชาดก ( ปัญญาบารมี ) (๒)



ทศชาติชาดก : ชาติที่ 5 มโหสถชาดก ( ปัญญาบารมี ) 

นับแต่กาลนั้นมา มโหสถบัณฑิตถวายอนุศาสน์อรรถธรรมแด่พระเจ้ากรุงมิถิลา มโหสถคิดว่า ก็เราดูแลเศวตฉัตรอันเป็นราชสมบัติของพระราชา ควรที่เราจะไม่ประมาท ดำริฉะนี้จึงให้ทำกำแพงใหญ่ในพระนครและให้ทำกำแพงน้อยอย่างนั้น ทั้งหอรบที่ประตูและที่ระหว่าง ๆ ให้ขุดคู ๓ คู คือคูน้ำ คูเปือกตม คูแห้ง ให้ซ่อมแซมเรือนเก่า ๆ ภายในพระนคร ให้ขุดสระโบกขรณีใหญ่ ให้ฝังท่อน้ำในสระนั้น ทำฉางทั้งปวงในพระนครให้เต็มด้วยธัญญาหาร ให้นำพืชหญ้ากับแก้และกุมุทจากพวกดาบสผู้มาแต่หิมวันตประเทศมาปลูกไว้ ให้ชำระล้างท่อน้ำให้น้ำไหลเข้าออกสะดวก ให้ซ่อมแซมสถานที่ทั้งหลายมีศาลาเก่าภายนอกพระนครเป็นต้น 

เพราะเหตุการณ์อะไร มโหสถจึงให้ตกแต่งบ้านเมืองดังนั้น เพราะจะป้องกันภัยอันจะมาถึงในกาลข้างหน้า มโหสถไต่ถามพวกพาณิชผู้มาแต่ประเทศนั้น ๆ ว่า มาแต่ไหน เมื่อได้รับตอบว่า มาแต่สถานที่โน้น จึงซักถามว่า อะไรเป็นที่ชอบพระราชหฤทัยของพระราชาแห่งพวกท่าน ได้ความแล้วก็ทำความนับถือต่อพวกนั้นแล้วส่งกลับไป 

แล้วเรียกโยธาร้อยเอ็ดของตนมากล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงรับเครื่องบรรณาการที่เราจะให้ แล้วไปสู่ราชธานีร้อยเอ็ด ถวายบรรณาการเหล่านี้แด่พระราชาเหล่านั้น เพื่อต้องการให้พระราชาเหล่านั้นรักตน แล้วจงอยู่บำรุงพระราชาเหล่านั้น คอยเฝ้าดูกิริยาหรือความคิดแห่งพระราชาเหล่านั้น แล้วส่งข่าวมาให้เรารู้ เราจะเลี้ยงบุตรและภรรยาของพวกท่านเองไม่ต้องเป็นห่วง

สั่งดังนี้แล้วจารึกกุณฑล ฉลองพระบาท พระขรรค์และสุวรรณมาลาให้เป็นอักษรในราชาภรณ์นั้น ๆ เพื่อพระราชาเหล่านั้น ๆ แล้ว ตั้งสัตยาธิษฐานว่า กิจของเราย่อมมีเมื่อใด อักษรเหล่านี้จงปรากฏเมื่อนั้น แล้วมอบให้โยธาร้อยเอ็ดเหล่านั้นไป 

โยธาเหล่านั้นไปในประเทศนั้น ๆ ถวายบรรณาการแด่พระราชาเหล่านั้น เมื่อพระราชาเหล่านั้นตรัสถามว่า มาธุระอะไร ก็ทูลว่า มาบำรุงพระองค์ ครั้นตรัสถามว่า มาแต่ไหน ก็ไม่ทูลตามตรง ทูลว่ามาจากที่อื่น เมื่อทรงรับ ก็อยู่รับราชการในภายใน

กาลนั้นมีพระราชาองค์หนึ่งพระนามว่า สังขพลกะ ในกัมพลรัฐ ให้เตรียมศัสตราวุธและเรียกระดมกองทัพ ทหารของมโหสถที่วางให้สดับข่าว และระวังเหตุการณ์ ที่ส่งไปอยู่ ณ ราชสำนักแห่งพระเจ้าสังขพลกราชนั้น ได้ส่งข่าวสาสน์มายังมโหสถและขอให้มโหสถได้ส่งสุวบัณฑิต (นกแก้วฉลาด)ไปสืบความเองโดยละเอียด 

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้ฟังข่าวนั้นจึงเรียกสุวโปดกลูกนกแก้วมากล่าวว่า เจ้าจงไปสืบข่าวว่า พระราชาองค์หนึ่งมีพระนามว่าสังขพลกะ ในกัมพลรัฐ ให้เตรียมศัสตราวุธและเรียกระดมกองทัพ แล้วจงเที่ยวไปสืบในสกลชมพูทวีปมาแจ้งแก่เรา กล่าวฉะนี้แล้วให้สุวโปดกกินข้าวตอกคลุกน้ำผึ้งให้ดื่มน้ำผึ้ง แล้วเอาน้ำมันหุงร้อยหน หุงพันหนทาขนปีก แล้วให้จับที่หน้าต่างเบื้องปราจีนทิศปล่อยไป สุวบัณฑิตนั้นไปในที่นั้น เที่ยวสืบเรื่องของพระเจ้าสังขพลกราชจากสำนักทหารของมโหสถนั้นโดยละเอียดแล้ว และไปสืบข่าวทั่วชมพูทวีปทั้งสิ้นจนถึงอุตรปัญจาลนครในกัปปิลรัฐ

กาลนั้น พระราชามีพระนามว่าจุลนีพรหมทัต ครองราชสมบัติในอุตรปัญจาลนครนั้น พราหมณ์ชื่อเกวัฏ เป็นนักปราชญ์ผู้ฉลาดพร่ำถวายอรรถธรรมแก่พระราชานั้น 

ในเวลาใกล้รุ่งวันหนึ่ง ปุโรหิตนั้นตื่นขึ้นแลดูห้องประกอบด้วยสิริอันประดับแล้ว คำนึงว่าพระเจ้าจุลนีพรหมทัตพระราชทานเกียรติยศอันยิ่งใหญ่แก่เรา ควรที่เราจักจัดการให้พระองค์ได้เป็นอัครราชาในสกลชมพูทวีป เราก็จักได้เป็นอัครปุโรหิตของพระองค์ คิดฉะนี้แล้วเข้าเฝ้าพระราชาแต่เช้า ทูลถามถึงสุขไสยาตามธรรมเนียมแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้อความอันข้าพระบาทจะพึงทูลปรึกษามีอยู่ 

เมื่อพระราชาทรงอนุญาตให้กราบทูล จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า สถานที่ลับในพระนครไม่มี ขอเสด็จไปพระราชอุทยาน

พระราชาทรงเห็นชอบด้วย จึงเสด็จไปพระราชอุทยานกับปุโรหิต วางพลนิกายไว้ภายนอกให้เฝ้ารักษา แล้วเสด็จเข้าสู่พระราชอุทยานกับพราหมณ์เท่านั้น ประทับนั่ง ณ แผ่นศิลาเป็นมงคล ครั้งนั้น สุวโปดกเห็นกิริยาของพระราชากับพราหมณ์ จึงคิดว่า ดูจากกิริยาของพระราชากับพราหมณ์นี้เห็นทีจะมีเหตุการณ์อันใดเป็นแน่ วันนี้เราจักได้ฟังอะไร ๆ ที่ควรแจ้งแก่มโหสถ 

คิดฉะนี้แล้วบินเข้าไปสู่พระราชอุทยาน จับเร้นอยู่ระหว่างใบไม้รังอันเป็นมงคล พระราชาตรัสให้เกวัฏทูลเรื่อง พราหมณ์จึงกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอพระองค์ทรงเก็บความนี้ไว้เฉพาะในพระองค์ ความคิดนี้จักชื่อว่ารู้กัน ๔ หู ถ้าพระองค์ทรงทำตามคำของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จักทำพระองค์ให้เป็นอัครราชาในสกลชมพูทวีป

พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับคำของเกวัฏ ก็ทรงโสมนัสด้วยความเป็นผู้มีความปรารถนาใหญ่ จึงตรัสว่า กล่าวไปเถิดอาจารย์ เราจักทำตามคำของท่าน

พราหมณ์เกวัฏจึงทูลบรรยายความคิดว่า ข้าแต่สมมติเทพ เราทั้งหลายจักเรียกระดมกองทัพแล้วล้อมเมืองน้อยยึดเอาไว้ก่อน ข้าพระบาทจักเข้าสู่เมืองทางประตูน้อยแล้วแจ้งแก่พระราชานั้นว่า ถ้าพระองค์ไม่ประสงค์ที่จะทำศึก โภคสมบัติเป็นของพวกข้าพระเจ้าทั้งสิ้น พระองค์จักคงเป็นพระราชาอยู่อย่างนั้น ก็ถ้าพระองค์จักรบ ก็จะพ่ายแพ้แน่นอนเพียงอย่างเดียว เพราะความที่พลและพาหนะของพวกข้าพระเจ้ามาก ถ้าพระราชานั้นจักทำตามคำของพวกเรา พวกเราจักจับพระราชานั้นไว้ ถ้าพระราชานั้นจักไม่ทำตามคำของเราไซร้ พวกเราจักรบแล้วฆ่าพระราชานั้นให้สิ้นพระชนม์ แล้วถือเอากองทัพนครนั้น ไปยึดเอาเมืองอื่นต่อไป ถือเอาราชสมบัติในสกลชมพูทวีปโดยอุบายนี้ แล้วพวกเราจักจัดงานดื่มชัยบาน นำพระราชาร้อยเอ็ดพระนครมาสู่เมืองเรา แล้วให้ดื่มสุราเจือยาพิษในอุทยาน เมื่อพระราชาทั้งหมดสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ให้ทิ้งพระศพของพระราชาเหล่านั้นเสียในคงคา เมื่อเป็นอย่างนี้ราชสมบัติในราชธานีร้อยเอ็ดพระนครก็จะอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์จักเป็นอัครราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้นด้วยประการฉะนี้ 

พระราชาทรงยินดีตรัสว่า ดีแล้วอาจารย์ เราจักทำอย่างนั้น

พราหมณ์เกวัฏกราบทูลว่า ความคิดนี้ชื่อว่าความคิดรู้กัน ๔ หู เพราะว่าบุคคลอื่นไม่อาจมาล่วงรู้ เพราะเหตุนั้น ขอพระองค์อย่าชักช้า รีบยกกองทัพออกทีเดียว 

พระราชาได้ทรงสดับคำนั้นก็ทรงโสมนัสรับว่า ดีแล้ว

สุวโปดกได้ฟังเรื่องนั้นทั้งหมด ในกาลเมื่อพราหมณ์กับพระราชาคิดการนี้จบลง จึงประหนึ่งบินลงจับกิ่งไม้รังที่ห้อย ยังมูลให้ตกลงบนศีรษะแห่งเกวัฏแล้วร้องขึ้นว่า นี้อะไรกัน พอเกวัฏแหงนขึ้นก็ยังมูลให้ตกลงในปากร้องกิริ ๆ บินขึ้นจากกิ่งไม้รังกล่าวว่า แน่ะเกวัฏ ท่านสำคัญว่า ความคิดของท่านรู้กันแต่ ๔ หูหรือ บัดนี้รู้กันเป็น ๖ หูแล้ว จักรู้กันเป็น ๘ หูอีก แล้วจักรู้กันหลายร้อยหูทีเดียว 

ครั้นเมื่อเกวัฎร้องสั่งพวกทหารว่า ช่วยกันจับ ๆ ให้ได้ สุวโปดกก็บินไปสู่กรุงมิถิลาโดยกำลังเร็วดุจลม เข้าไปสู่เคหสถานแห่งมโหสถบัณฑิต ความประพฤติของสุวโปดกนั้นมีปกติเป็นเช่นนี้ คือถ้าว่าได้ข่าวมาแต่ที่ไร ๆ แล้วข่าวควรจะบอกแก่มโหสถผู้เดียว เมื่อนั้นสุวโปดกก็ลงจับที่จะงอยบ่าแห่งมโหสถ ถ้าว่าควรบอกแก่นางอมราเทวี สุวโปดกก็ลงจับที่ตัก ถ้าว่าข่าวนั้นควรแจ้งแก่มหาชน สุวโปดกก็ลงจับที่พื้น 

กาลนั้นสุวโปดกลงจับที่จะงอยบ่าแห่งมโหสถ ด้วยสัญญาณนั้น มหาชนก็หลีกไปด้วยรู้กันว่า สุวโปดกมีความลับจะแจ้ง มโหสถพาสุวโปดกขึ้นไปสู่พื้นชั้นบนแล้วถามว่า พ่อได้เห็นได้ฟังอะไรมาหรือ 

ลำดับนั้น สุวโปดกจึงกล่าวกะมโหสถว่า ข้าแต่นาย ข้าพเจ้าไม่เห็นภัยอะไร ๆ จากสำนักพระราชาอื่นในสกลชมพูทวีป จะมีก็แต่พราหมณ์ชื่อเกวัฏ ผู้เป็นปุโรหิตของพระราชาจุลนีพรหมทัต พาพระราชาไปอุทยานแล้วทูลความคิดอันรู้แต่ ๔ หู ข้าพเจ้าจับอยู่ระหว่างกิ่งไม้รัง ถ่ายมูลให้ตกลงในปากแห่งพราหมณ์เกวัฏแล้วมานี่  กล่าวฉะนี้แล้วบอกกิจที่ได้เห็นที่ได้ฟังทั้งปวงแก่มโหสถ 

ครั้นมโหสถถามว่า ก็พระเจ้าจุลนีรับจะทำตามหรือไม่ 

สุวโปดกตอบว่า รับจะทำตาม 

มโหสถจึงทำกิจที่ควรทำแก่นกนั้น คือให้นอนในกรงทองคำ มีเครื่องลาดอันอ่อน แล้วคิดว่า ชะรอยเกวัฏไม่รู้จักความที่เราชื่อมโหสถบัณฑิต เราจักให้เขารู้ คิดแล้วจึงให้ถ่ายสกุลเข็ญใจที่อยู่ในเมืองออกอยู่นอกเมือง นำสกุลมีอิสริยยศซึ่งอยู่ใกล้ประตูชนบทในแคว้นเข้ามาอยู่ภายในเมือง ให้สะสมธัญญาหารไว้เป็นอันมาก

ฝ่ายพระเจ้าจุลนีพรหมทัตเชื่อคำแห่งเกวัฏ จึงยกพลเสด็จไปล้อมเมืองหนึ่ง ฝ่ายเกวัฏก็เข้าไปในเมืองนั้นโดยนัยที่กล่าวแล้ว ทำพระราชาในเมืองนั้นให้ยอมแพ้แล้ว ทำเมืองนั้นให้เป็นของตน ทำกองทัพทั้ง ๒ ให้เป็นกองเดียวกันไปล้อมเมืองอื่น ก็ยึดเมืองทั้งปวงได้หมดโดยลำดับ

พระเจ้าจุลนีเชื่อคำของพราหมณ์เกวัฏ พระราชาทั้งหลายในสกลชมพูทวีป เว้นเสียแต่พระเจ้าวิเทหราช ก็ตกเป็นของพระองค์ด้วยประการฉะนี้

บุรุษที่มโหสถวางไว้ก็ส่งข่าวถึงมโหสถเนืองนิตย์ว่า นครทั้งหลายนั้นพระเจ้าจุลนีพรหมทัตยึดไว้ได้แล้ว ขอท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท ฝ่ายมโหสถบัณฑิตส่งข่าวตอบไปยังบุรุษที่วางไว้เหล่านั้นว่า เราอยู่ในที่นี้แล้วเป็นผู้มิได้ประมาท แม้พวกเจ้าทั้งหลายก็อย่าได้วิตกถึงเรา จงเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่เถิด

ฝ่ายพระเจ้าจุลนีพรหมทัตยกทัพไปยึดนครนั้น ๆ สิ้น ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ก็ได้ราชสมบัติในสกลชมพูทวีป จึงตรัสกะเกวัฏปุโรหิตว่า นครทั้งหลายเท่านี้ เราได้ไว้แล้ว ๆ เราจักยึดราชสมบัติของพระเจ้าวิเหหราช ณ กรุงมิถิลา 

ปุโรหิตทูลค้านว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พวกเราไม่ควรจะยึดราชสมบัติในนครที่มโหสถอยู่ เพราะว่ามโหสถนั้นเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยความรู้ และเป็นผู้ฉลาดในกลอุบายอย่างยิ่ง 

ปุโรหิตพรรณนาคุณสมบัติของมโหสถ ดุจบุคคลยกมณฑลแห่งดวงจันทร์ขึ้นกล่าว แล้วทูลห้ามพระเจ้าจุลนีว่า ข้าแต่เทพเจ้า ราชสมบัติในมิถิลานครเป็นของเล็กน้อย ราชสมบัติในสกลชมพูทวีปเป็นของพอแก่เราทั้งหลาย ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติในนครมิถิลาแก่เราทั้งหลายเล่า 

ฝ่ายพระราชาประเทศราชทั้งหลายก็กล่าวว่า เราทั้งหลายจักยึดราชสมบัติในกรุงมิถิลาแล้วดื่มชัยบาน 

ฝ่ายเกวัฏก็ทูลห้ามพระราชาเหล่านั้นแล้วให้พระราชาเหล่านั้นรู้ด้วยอุบายว่า เราทั้งหลายจักยึดราชสมบัติในวิเทหรัฐทำอะไร พระราชานั้นก็เป็นดุจของเราทั้งหลาย ขอพระองค์ทั้งหลายเสด็จกลับเถิด 

พระราชาเหล่านั้นได้ฟังคำของเกวัฏ ต่างก็เสด็จกลับนครของตน ๆ

เหล่าบุรุษที่วางไว้สดับเหตุการณ์ ก็ส่งข่าวแก่มโหสถว่า พระเจ้าจุลนีพรหมทัตพร้อมด้วยพระราชาร้อยเอ็ดจะมาสู่กรุงมิถิลา แต่ก็กลับสู่เมืองของตน ฝ่ายมหาสัตว์ก็ส่งข่าวตอบพวกบุรุษที่วางไว้ว่า นับแต่นี้ พวกเจ้าจงคอยดูกิริยาของพระเจ้าจุลนี 

ฝ่ายพระจุลนีทรงปรึกษากับอาจารย์เกวัฎว่า บัดนี้เราจักทำกิจอย่างไร ครั้นเกวัฏทูลว่า เราจักดื่มชัยบาน จึงให้ประดับอุทยานแล้ว ตรัสสั่งพวกราชเสวกว่า พวกเจ้าจงตระเตรียมสุราไว้ในไหสักร้อยไหพันไหตระเตรียมของบริโภคมีรส คือปลาและเนื้อเป็นต้น มีอย่างต่าง ๆ ไว้ให้เพียงพอ

กาลนั้นบุรุษที่มโหสถวางไว้ก็ส่งเหตุนั้นให้มโหสถทราบ แต่บุรุษที่มโหสถวางไว้เหล่านั้นหารู้ไม่ว่า พระเจ้าจุลนีผสมสุราด้วยยาพิษ เพื่อจะฆ่าพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระนครให้สิ้นพระชนม์ชีพ ฝ่ายพระโพธิสัตว์รู้ความนั้นจากสุวโปดก จึงส่งข่าวตอบพวกบุรุษที่วางไว้นั้นว่า เจ้าทั้งหลายเมื่อรู้วันที่จะดื่มชัยบานแน่นอนแล้วจงบอกแก่เรา บุรุษที่วางไว้นั้นก็ทำตามสั่ง 

มโหสถดำริว่า เมื่อบัณฑิตเช่นเรามีอยู่ พระราชามีประมาณเท่านี้ไม่ควรสิ้นพระชนม์ชีพ เราจักเป็นที่พึ่งของพระราชาเหล่านั้น คิดฉะนี้แล้วเรียกพวกทวยหาญที่เป็นบริวารสหชาตพันคนนั้นมาแจ้งว่า 

ดูก่อนสหายทั้งหลาย ได้ยินว่า พระราชาจุลนีให้ตกแต่งพระราชอุทยาน ประสงค์จะดื่มสุรากับพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระนคร เจ้าทั้งหลายจงไปในที่นั้น เมื่อเขาตั้งอาสน์ของพระราชาทั้งหลายแล้ว ในขณะที่พระราชาทั้งหลายยังไม่นั่ง เจ้าทั้งหลายจงชิงเอาอาสน์ซึ่งตั้งอยู่ถัดจากอาสน์ของพระเจ้าจุลนี แล้วจงประกาศว่า นี้เป็นราชอาสน์แห่งพระราชาของพวกเรา ดังนี้ และเมื่อข้าราชการฝ่ายนั้นกล่าวว่า ท่านทั้งหลายเป็นคนของใคร พึงกล่าวตอบว่า เป็นข้าราชการของพระเจ้าวิเทหราช เมื่อพวกข้าราชการฝ่ายนั้นกล่าวกะพวกเจ้าว่า เราทั้งหลายเมื่อไปล้อมยึดเอานครนั้น ๆ ถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ก็หาเห็นพระราชาอันมีนามว่าวิเทหะสักวันหนึ่งไม่ พระราชาที่พวกท่านอ้างนั้น จักชื่อว่าพระราชากระไรได้ ท่านทั้งหลายจงไปเอาอาสน์ที่ตั้งอยู่ท้ายสุดนั้น เมื่อกล่าวฉะนี้แล้วก็จักทุ่มเถียงกัน พวกเจ้าก็จงเถียงว่า พระราชาอื่นนอกจากพระเจ้าจุลนีพรหมทัตเสียแล้วจะยิ่งใหญ่กว่าพระราชาของเราในที่นี้ไม่มี กล่าวฉะนี้แล้ว จงทุ่มเถียงให้มากขึ้นแล้วพูดว่า เมื่อพวกเราไม่ได้แม้ซึ่งอาสน์เพื่อพระราชาของพวกเรา พวกเราจักไม่ให้ท่านทั้งหลายดื่มสุราและเคี้ยวกินมัจฉมังสะ ณ บัดนี้ แล้วบันลือโห่ร้องยังความสะดุ้งให้เกิดแก่ข้าราชการ ฝ่ายนั้นด้วยเสียงดัง  แล้วต่อยทุบไหสุราทั้งปวงเสียด้วยค้อนใหญ่ แล้วเทสาดมัจฉมังสาหารเสีย  ทำให้บริโภคไม่ได้แล้วเข้าไปสู่ระหว่างแห่งเสนาโดยเร็ว ดุจเหล่าอสูรเข้าไปสู่เทพนคร แล้วทำเสียงให้อึกทึกครึกโครมประกาศว่า เราทั้งหลายเป็นคนของมโหสถบัณฑิตในกรุงมิถิลา ถ้าท่านทั้งหลายสามารถก็จงจับพวกเรา ให้ข้าราชการเหล่านั้นรู้ความที่พวกเจ้ามาแล้ว จงมาเถิด 

มโหสถแจ้งให้สหชาตโยธาของตนรู้ฉะนี้แล้วส่งไป

ทวยหาญสหชาตบริวารของมโหสถรับคำสั่ง ไหว้มโหสถแล้ว ผูกสอดอาวุธ ๕ออกจากกรุงมิถิลาไปในราชอุทยานแห่งพระเจ้าจุลนี เข้าไปสู่พระราชอุทยานอันตกแต่งแล้วดุจนันทนวันเทพอุทยานฉะนั้น  เห็นสิริราชสมบัติอันประดับแล้วตั้งแต่พระราชบัลลังก์ของพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระนครซึ่งยกเศวตฉัตรตั้งไว้แล้ว ก็ได้ทำกิจทั้งปวงโดยนัยอันพระโพธิสัตว์กล่าวแล้ว กระทำมหาชนให้เอิกเกริกวุ่นวายแล้วบ่ายหน้ากลับกรุงมิถิลา 

ฝ่ายราชบริษัทข้างกรุงปัญจาละก็กราบทูลเหตุนั้นแด่พระราชาเหล่านั้น พระเจ้าจุลนีพรหมทัตทรงพิโรธว่า พวกกรุงมิถิลามาทำอันตรายแก่สุราที่ประกอบยาพิษของเราเสีย ฝ่ายพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระนครก็พิโรธว่า พวกกรุงมิถิลามาทำให้พวกเราไม่ได้ดื่มชัยบาน ส่วนพลนิกายก็ขัดใจว่า เราทั้งหลายไม่ได้ดื่มสุราอันหามูลค่ามิได้  

ฝ่ายพระเจ้าจุลนีพรหมทัตก็จึงตรัสเรียกพระราชาเหล่านั้นมา รับสั่งว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมา เราทั้งหลายจักไปกรุงมิถิลา ตัดเศียรพระเจ้าวิเทหราชเสียด้วยพระขรรค์ แล้วย่ำเหยียบเสียด้วยบาท แล้วประชุมดื่มชัยบาน ท่านทั้งหลายจงเตรียมยกกองทัพ ไป 

ตรัสฉะนี้แล้วเสด็จในที่ลับ ตรัสกับเกวัฏว่า เราทั้งหลายจักจับศัตรูผู้ทำลายงานมงคลนี้ของพวกเรา พวกเราพร้อมด้วยเสนา ๑๘ อักโขภิณี และพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระนครไป ท่านอาจารย์จงไปด้วย

พราหมณ์เกวัฏดำริด้วยความที่ตนเป็นผู้ฉลาดว่า ถ้าเราไม่อาจจะเอาชนะมโหสถบัณฑิต ความอับอายจะมีแก่พวกเราเป็นแน่ เราจักทำให้พระราชาเปลี่ยนพระทัย

ลำดับนั้นเกวัฏจึงทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช นั่นหาใช่กำลังของพระเจ้าวิเทหราชไม่ นั่นเป็นการจัดแจง นั่นเป็นอานุภาพของมโหสถบัณฑิต อันกรุงมิถิลานั้นเป็นเมืองที่เขาปกปักรักษาแล้ว ก็เสมือนอาณาบริเวณที่ราชสีห์รักษาแล้ว ไม่ว่าใคร ๆ ก็ไม่อาจยึดเอา ความอายจักมีแก่พวกเราอย่างเดียว เราไม่ควรไป ณ กรุงมิถิลา 

ฝ่ายพระราชาจุลนีเป็นผู้มัวเมาในราชอิสริยยศ ด้วยถือพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์ จึงตรัสว่า มโหสถจักทำอะไรเราได้ ตรัสฉะนี้แล้วจึงเสด็จออกไปพร้อมด้วยพระราชาร้อยเอ็ดพระนคร แวดล้อมไปด้วยเสนา ๑๘ อักโขภิณี 

ฝ่ายอาจารย์เกวัฏเมื่อไม่อาจจะให้พระเจ้าจุลนีเชื่อคำของตน ก็โดยเสด็จไปด้วย ด้วยคิดเห็นว่า เราไม่ควรจะประพฤติขัดต่อพระราชา

ฝ่ายสหชาตโยธาของมโหสถก็กลับถึงกรุงมิถิลาภายในราตรีเดียว เมื่อกลับมาถึงก็ได้แจ้งกิจที่ตนได้ทำแก่มโหสถ ฝ่ายเหล่าบุรุษที่มโหสถวางไว้ก็ส่งข่าวก่อนว่า พระเจ้าจุลนีพร้อมด้วยพระราชาร้อยเอ็ดพระนครเสด็จมาด้วยทรงมุ่งจะจับพระเจ้าวิเทหราช ขอท่านผู้เป็นบัณฑิตอย่าประมาท 

มโหสถได้รับข่าวเป็นระยะ ๆ จากเหล่าบุรุษที่วางไว้ว่า วันนี้พระเจ้าจุลนีเสด็จถึงสถานที่นั้น วันนี้ถึงสถานที่นั้น ก็วันนี้จักเสด็จถึงกรุงมิถิลา พระมหาสัตว์ได้ทราบข่าวนั้นก็ยิ่งเป็นผู้ไม่ประมาท


ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชทรงทราบข่าวว่า พระเจ้าจุลนีพรหมทัตกรีธาทัพมายึดเมืองเรา ได้ทรงฟังเสียงกึกก้องไม่ขาดเสียง ลำดับนั้น พระเจ้าจุลนีพรหมทัตพร้อมด้วยพลนิกายถือคบเพลิงนับด้วยแสนดวง ส่องมรรคาเสด็จมาถึงแต่หัวค่ำ แล้วให้ล้อมเมืองมิถิลาไว้ทั้งสิ้น 

ลำดับนั้นแม่ทัพก็ให้ตั้งหมู่พลในที่นั้น ๆ ล้อมกรุงมิถิลาด้วยปราการคือช้าง ด้วยปราการคือรถ ด้วยปราการคือม้า เหล่าพลนิกายได้ยินบันลือลั่น ปรบมือ ผิวปาก คำรนร้องอยู่ กรุงมิถิลากำหนดทั้งสิ้น ๗ โยชน์ ก็มีแสงสว่างรุ่งโรจน์ด้วยแสงสว่างประทีปและแสงสว่างเครื่องประดับ สมัยนั้นราวกะว่าเป็นการที่ปฐพีจะแตกสลายด้วยศัพท์สำเนียงแห่งม้า รถและดุริยางค์ดนตรีเป็นต้น 

นักปราชญ์ทั้ง ๔ คือเสนกะ ปุกกุสะ กามินทะ เทวินทะได้ยินเสียงโห่ร้องโกลาหลไม่รู้เรื่อง ก็เข้าไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เสียงโห่ร้องอื้ออึงมาก ก็แต่ข้าพระองค์ไม่ทราบเสียงนั่นเป็นเสียงอะไร ควรที่จะทรงพิจารณ์ให้ทราบเรื่อง 

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำของอาจารย์ทั้ง ๔ ก็ทรงคิดว่าพระเจ้าพรหมทัตจักเสด็จมาแล้ว จึงเปิดพระแกลทอดพระเนตร ก็ทรงทราบว่าเสด็จมาแล้ว ทั้งกลัว ทั้งตกพระหฤทัย ทรงเห็นชัดว่า ชีวิตของเราไม่มีละพรุ่งนี้พระเจ้าพรหมทัตจักยังพวกเราทั้งมวลให้สิ้นชีวิต ทรงเห็นฉะนี้ก็ประทับนั่งตรัสอยู่กับอาจารย์ทั้ง ๔ 

ส่วนพระโพธิสัตว์รู้ว่า พระเจ้าจุลนีพรหมทัตเสด็จมาถึงแล้ว เป็นผู้ไม่ครั่นคร้ามดุจราชสีห์ จัดการรักษาในพระนครทั้งสิ้นแล้วคิดว่า เราจักปลอบประโลมพระราชาจึงขึ้นสู่พระราชนิเวศน์ ถวายบังคมพระราชาแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง 

พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นมโหสถมาเฝ้าก็ค่อยสบายพระหฤทัย ทรงดำริว่า ยกเว้นมโหสถบัณฑิตผู้บุตรของเรา คนอื่นชื่อว่าจะสามารถเปลื้องเราจากทุกข์ ย่อมไม่มี เมื่อจะรับสั่งกับมโหสถ ได้ตรัสคาถาแรกในมหาอุมมังคชาดกนี้ว่า

ดูก่อนพ่อมโหสถได้ยินว่า พระเจ้าจุลนีเสด็จยาตราทัพมาพร้อมด้วยกองทัพทุกหมู่เหล่า นับได้ ๑๘ อักโขภิณี มีพระราชาร้อยเอ็ดเป็นผู้นำ มีกองช่างโยธา กองราบ ล้วนแต่ฉลาดในสงครามทั้งปวง สามารถแอบเข้าไปในกองทัพไม่มีใครเห็น ตัดศีรษะข้าศึกนำมาได้ มีเสียงอื้ออึง ยังกันและกันให้รู้ด้วยเสียงกลองและเสียงสังข์ ในที่นั้นไม่สามารถจะสั่งการให้รู้ด้วยคำสั่งว่า จงมา จงรุกจงรบ จงอย่าไปเป็นต้น แต่คำสั่งเช่นนั้นจะให้รู้กันได้ ด้วยเสียงกลองและด้วยเสียงสังข์ พลรบต่างประดับไปด้วยเครื่องโลหะต่าง ๆ เช่นเสื้อเกราะ หมวกเกราะ โล่เป็นต้น มีธงเกลื่อน กล่นด้วยช้างม้า ตั้งมั่นด้วยเหล่าทหารผู้แกล้วกล้า 

กล่าวกันว่าในกองทัพนี้มีบัณฑิต ๑๐ คน มีปกตินั่งปรึกษากันในที่ลับ เล่ากันว่า บัณฑิตเหล่านั้นเมื่อได้คิดกันวันสองวัน ก็สามารถจะกลับเอาแผ่นดินขึ้นตั้งไว้ในอากาศได้ 

ได้ยินว่า พระชนนีของพระเจ้าจุลนีนั้น ประกอบด้วยปัญญายิ่งกว่าบัณฑิต ๑๐ คนนั้น พระชนนีนั้นเป็นคนฉลาดที่ ๑๑ ของบัณฑิตเหล่านั้น สั่งสอนพร่ำสอนกองทหารปัญจาละ

เล่ากันมาว่า วันหนึ่งมีบุรุษคนหนึ่งถือข้าวสารหนึ่งทะนาน ข้าวสุกหนึ่งห่อ และกหาปณะหนึ่งพัน คิดจะข้ามแม่น้ำ ก็ลงถึงท่ามกลางแม่น้ำไม่อาจจะข้ามได้ จึงกล่าวกะชนทั้งหลายผู้ยืนอยู่ริมฝั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าวสารหนึ่งทะนาน ข้าวสุกหนึ่งห่อ และกหาปณะหนึ่งพัน ของข้าพเจ้ามีอยู่ในมือ บุคคลผู้สามารถทำให้ข้าพเจ้าได้ข้ามจากฝั่งนี้ไป ข้าพเจ้าจักให้สิ่งที่ข้าพเจ้าชอบใจซึ่งมีอยู่ในมือ 

ลำดับนั้น มีบุรุษหนึ่งถึงพร้อมด้วยกำลัง นุ่งผ้ามั่นแล้วข้ามลงสู่แม่น้ำ จับแขนบุรุษนั้นให้ข้ามลงไปแล้วเมื่อพาข้ามไปได้แล้วก็กล่าวว่า ท่านจงให้สิ่งที่ควรให้แก่ข้าพเจ้า 

บุรุษนั้นกล่าวตอบว่า ท่านจงถือเอาข้าวสารหนึ่งทะนานหรือข้าวสุกหนึ่งห่อ 

บุรุษผู้พาข้ามฟากจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าพาท่านข้ามฟากอย่างไม่คิดชีวิต ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยของสองสิ่งนั้น ท่านจงให้กหาปณะแก่ข้าพเจ้า 

บุรุษผู้ว่าจะให้ของชอบใจนั้นจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พูดว่า ข้าพเจ้าจะให้สิ่งที่ชอบใจจากของ ๓ อย่างแก่ท่าน บัดนี้ ข้าพเจ้าก็ให้สิ่งที่ข้าพเจ้าชอบใจแก่ท่าน ท่านอยากได้ก็จงเอาไป 

บุรุษผู้พาข้ามฟากจึงพูดกับบุคคลผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ บุคคลผู้นั้นก็กล่าวตอบว่า บุรุษผู้นั้นบอกว่าจะให้ของชอบใจ และเขาก็ได้ให้ของที่ชอบใจแก่ท่านแล้ว ท่านจงรับเอาไปเถิด 

บุรุษผู้พาข้ามฟากกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เอา

แล้วพาบุรุษผู้จะให้ของชอบใจไปสู่ศาล แจ้งแก่อำมาตย์ผู้วินิจฉัยทั้งหลาย ฝ่ายอำมาตย์ผู้วินิจฉัยเหล่านั้นได้ฟังข้อความทั้งปวงก็วินิจฉัยอย่างนั้น บุรุษผู้พาข้ามฟากไม่พอใจกับคำวินิจฉัยของอำมาตย์เหล่านั้น จึงกราบทูลพระราชา 

ฝ่ายพระราชาจุลนีให้เรียกอำมาตย์ผู้วินิจฉัยเหล่านั้นมา ทรงฟังคำของชนทั้ง ๒ จากสำนักอำมาตย์ผู้วินิจฉัย เมื่อไม่ทรงทราบจะวินิจฉัยอย่างอื่น จึงทรงวินิจฉัยทับสัตย์ บุรุษผู้พาข้ามฟากได้ฟังพระราชวินิจฉัยดังนั้น ก็พูดขึ้นหน้าพระที่นั่งว่าพระองค์ทำข้าพระองค์ผู้สละชีวิตลงสู่แม่น้ำให้มีโทษ

ขณะนั้น พระชนนีแห่งพระเจ้าจุลนีมีพระนามว่าสลากเทวี ประทับนั่งอยู่ใกล้ ทรงทราบความที่พระราชาวินิจฉัยผิด จึงตรัสว่า พ่อวินิจฉัยคดีที่วินิจฉัยผิด ดีแล้วหรือ 

พระเจ้าจุลนีทูลพระราชมารดาว่า ข้าพระเจ้าทราบเท่านี้ ถ้าว่าพระมารดาทรงทราบยิ่งกว่านี้ไซร้ ขอได้ทรงวินิจฉัยอีกเถิด 

พระนางสลากเทวีจึงรับสั่งว่า ดีล่ะพ่อ แม่จะวินิจฉัย 

จึงรับสั่งให้เรียกบุรุษผู้ว่าจะให้ของที่ชอบใจมาแล้วตรัสว่าเจ้าจงมา จงวางของ ๓ อย่างที่เจ้าถืออยู่ไว้ที่ภาคพื้น แล้วตรัสถามว่า เมื่อเจ้าลอยอยู่ในน้ำ เจ้าพูดว่ากระไรกะบุรุษผู้พาเจ้าข้ามฟากคนนี้ 

ครั้นบุรุษผู้ว่าจะให้ของที่ชอบใจทูลดังที่ได้กล่าวมาแล้ว จึงรับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงหยิบเอาของที่เจ้าชอบใจของเจ้า ณ บัดนี้ 

บุรุษผู้ว่าจะให้ของที่ชอบใจจึงหยิบเอาถุงกหาปณะหนึ่งพัน ลำดับนั้น พระนางจึง ตรัสถามว่า เจ้าชอบกหาปณะหนึ่งพันหรือ

ครั้นได้ทรงฟังทูลตอบว่า ชอบกหาปณะหนึ่งพัน พระเจ้าข้า 

จึงตรัสว่า เจ้าพูดกะบุรุษผู้พาข้ามฟากนี้ว่า เราจักให้ของที่ชอบใจจากของ ๓ อย่างนี้แก่เขาหรือไม่ได้พูด 

ครั้นได้ทรงฟังตอบว่า ได้พูด จึงรับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงให้กหาปณะหนึ่งพันแก่บุรุษผู้พาเจ้าข้ามฟากนี้นั่นแล 

บุรุษผู้ว่าจะให้ของที่ชอบใจได้ฟังพระวินิจฉัยฉะนั้น ก็ร้องไห้คร่ำครวญและได้ให้กหาปณะหนึ่งพันแก่บุรุษผู้พาตนข้ามฟากนั้น ขณะนั้น พระเจ้าจุลนีพรหมทัตและอำมาตย์ทั้งหลายยินดีในพระวินิจฉัยนั้นต่างแซ่ซ้องสาธุการ นับแต่นั้น ความที่พระนางเจ้าสลากเทวีพระราชชนนีของพระเจ้าจุลนีเป็นผู้พร้อมไปด้วยพระปัญญา ก็บังเกิดปรากฏในที่ทั้งปวง 


กรุงมิถิลาถูกกองทัพนั้นแวดล้อมเป็น ๓ ชั้น* ราชธานีของชาววิเทหรัฐถูกขุดเป็นคูโดยรอบ.กองทัพที่แวดล้อมกรุงมิถิลาโดยรอบนั้นปรากฏเหมือนดาวบนท้องฟ้า ดูก่อนพ่อมโหสถ ตั้งแต่อเวจีจนถึงภวัคคพรหม คนอื่นที่ชื่อว่าเป็นบัณฑิตผู้ฉลาดในอุบายเช่นเจ้าไม่มี อนึ่ง ชื่อว่าความเป็นบัณฑิตย่อมรู้กันได้ในฐานะเห็นปานนี้ เพราะคนอื่นเช่นเจ้าไม่มี ฉะนั้น เจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่า พวกเราจักพ้นความทุกข์นี้ได้อย่างไร



* ถูกล้อมด้วยกำแพง ๔ เหล่านี้คือ ถูกล้อมด้วยกำแพง คือ ช้างเป็นชั้นแรก ถัดนั้นล้อมด้วยกำแพงคือรถ ถัดนั้นล้อมด้วยกำแพงคือม้า ถัดนั้นล้อมด้วยกำแพงคือพลราบ ชื่อว่าล้อม ๓ ชั้น คือระหว่างกองช้างกับกองรถเป็นชั้น ๑ ระหว่างกองรถกับกองม้าเป็นชั้น ๑ ระหว่างกองม้ากับกองพลราบเป็นชั้น ๑

พระมหาสัตว์ได้สดับพระดำรัสของพระเจ้าวิเทหราชดังนี้แล้ว ดำริว่าพระราชานี้ทรงกลัวมรณภัยเหลือเกิน ก็แพทย์เป็นที่พึ่งอาศัยของคนไข้ โภชนาหารเป็นที่พึ่งอาศัยของคนหิว น้ำดื่มเป็นที่พึ่งอาศัยของคนระหาย เว้นเราเสีย คนอื่นที่เป็นที่พึ่งอาศัยของพระราชานี้ไม่มี เราจักปลอบโยนพระองค์ให้เบาพระหฤทัย 

ครั้งนั้น พระมหาสัตว์มิได้ครั่นคร้าม ดุจราชสีห์บันลือสีหนาท ณ พื้นมโนศิลา กราบทูลพระเจ้าวิเทหราชว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้าขอพระองค์อย่าทรงกลัวเลย จงเสวยราชสมบัติให้เป็นสุขเถิด ข้าพระองค์จักทำกองทัพซึ่งนับได้ ๑๘ อักโขภิณีนี้ ให้หนีไป ดุจบุคคลเงื้อก้อนดินให้กาหนีไป และดุจบุคคลขึ้นธนูให้ลิงหนีไปฉะนั้น

มโหสถบัณฑิตยังพระราชาให้อุ่นพระหฤทัยแล้วออกมาให้ยังกลองแจ้งเรื่องเล่นมหรสพเที่ยวป่าวร้องในพระนคร กล่าวกะชาวพระนครว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้วิตกเลย จงยังวัตถุทั้งหลายมีดอกไม้ของหอมเครื่องลูบไล้ น้ำดื่มและโภชนะเป็นต้นให้ถึงพร้อมแล้วเริ่มเล่นมหรสพ 

มโหสถกล่าวกะชาวพระนครว่า ชนทั้งหลายในที่นั้น ๆ จงดื่มใหญ่ จงเล่นดีดสีตีเป่า จงประโคมดนตรี จงฟ้อนรำ จงโห่ร้อง จงเฮฮา จงบันลือเสียงให้เอิกเกริก จงตบมือให้สนุก จงขับร้องตามสบาย ค่าใช้จ่ายสำหรับพวกท่านทั้งหลาย เป็นของเราจัดให้ทั้งนั้น เราผู้มีนามว่ามโหสถบัณฑิต พวกท่านจักได้เห็นอานุภาพของเรา 

ยังชาวพระนครให้เบาใจแล้ว ชาวพระนครได้ทำตามนั้น ชนทั้งหลายอยู่นอกเมืองย่อมได้ยินเสียงมีเสียงขับประโคมเป็นต้นก็พากันเข้าสู่ภายในเมืองทางประตูน้อย ผู้รักษาทั้งหลายย่อมไม่จับกุมบุคคลที่ตนเห็นแล้ว ๆ นอกจากพวกศัตรู เพราะฉะนั้น คนเดินเข้าออกมิได้ขาดบุคคลเข้าไปในเมืองย่อมเห็นคนเล่นมหรสพ

ฝ่ายพระเจ้าจุลนีพรหมทัตได้ทรงสดับเสียงโกลาหลในกรุงมิถิลา จึงตรัสถามอำมาตย์ทั้งหลายว่า ดูก่อนผู้เจริญทั้งหลาย ในเมื่อพวกเราล้อมเมืองด้วยกองทัพนับด้วยอักโขภิณีตั้งอยู่แล้ว ความกลัวหรือเพียงความพรั่นพรึงย่อมไม่มีแก่ชาวเมือง ชาวเมืองร่าเริงปีติโสมนัส ประโคมฟ้อนรำขับโห่ร้องเกรียวกราว ตบมือ คุกคาม มีเหตุการณ์เป็นไฉน 

ลำดับนั้น บุรุษที่มโหสถวางไว้ก็ทูลมุสาแด่พระราชาว่า ข้าแต่เทพเจ้า พวกเรามีกิจอันหนึ่งเข้าไปในเมืองทางประตูน้อย เห็นประชาชนชาวเมืองเล่นการมหรสพ ได้ซักถามว่า พระราชาในสกลชมพูทวีปมาล้อมเมืองของท่านทั้งหลายแล้ว แต่พวกท่านเป็นผู้ประมาทเหลือเกิน เหตุการณ์เป็นอย่างไร 

ชาวเมืองเหล่านั้นกล่าวตอบว่าพระราชาของเราทั้งหลายทรงปรารถนาอย่างหนึ่ง ได้มีในกาลเมื่อยังทรงพระเยาว์ว่า ถ้าเมื่อเมืองเรามีพระราชาในสกลชมพูทวีปยกทัพมาล้อมแล้ว พวกเราจักเล่นมหรสพ วันนี้สมความปรารถนาของพระราชาแห่งพวกเราแล้ว เพราะฉะนั้นทางราชการจึงป่าวร้องให้ชาวเมืองเล่นมหรสพ ดื่มกินกันให้ยิ่งใหญ่ในที่ของตน ๆ 

พระเจ้าจุลนีพรหมทัตได้ทรงฟังถ้อยคำของพวกบุรุษที่มโหสถวางไว้ ก็ทรงขัดเคืองตรัสสั่งเสนาว่า ท่านทั้งหลายจงไป จงรีบถมเมืองข้างนี้ด้วยข้างนี้ด้วย จงทำลายคู จงทำลายกำแพง จงทำลายประตูหอรบ เข้าไปในเมือง เอาศีรษะชาวเมืองมาด้วยเกวียนร้อยเล่ม ดุจเอาฟักเขียวมาฉะนั้น จงตัดเศียรพระเจ้าวิเทหราชนำมา 

โยธาผู้กล้าหาญทั้งหลายได้ฟังพระราชดำรัสสั่ง ก็กุมอาวุธมีประการต่าง ๆ ไปสู่ที่ใกล้ประตูหอรบ ถูกทวยหาญของมโหสถประทุษร้ายด้วยการเทสาดเปือกตมระคนด้วยก้อนกรวดและเลนระคนด้วยทราย และการทิ้งก้อนศิลา ต่างก็ถอยกลับลงสู่คู ด้วยหมายคิดจะทำลายกำแพง 

เหล่าโยธาที่ตั้งอยู่บนประตูเชิงเทินภายใน ก็ทำให้ข้าศึกถึงความพินาศใหญ่ ด้วยเครื่องสังหารมีลูกศรหอกและโตมรเป็นต้น และด่าบริภาษขู่ด้วยประการต่าง ๆ พูดยั่วให้โกรธว่า พวกเจ้ามีร่างกายเหน็ดเหนื่อย จงมาดื่มเคี้ยวกินสักหน่อยซิ แล้วสาดสุราทิ้งภาชนะสุราและโยนมัจฉมังสะ กับทั้งไม้เสียบมัจฉมังสะลงไป ส่วนพวกสัตว์ก็ดื่มเคี้ยวกินเดินไปมาบนกำแพง 

โยธากรุงปัญจาละไม่อาจจะทำอะไรได้ก็ไปเฝ้าพระเจ้าพรหมทัต กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ บุคคลเหล่าอื่นยกท่านผู้มีอานุภาพแล้ว ไม่สามารถจะเอาชัยชนะได้ พระเจ้าจุลนีประทับแรมอยู่ ๔ - ๕ ราตรี เมื่อไม่ทรงเห็นอุบายที่จะหักเอาเมืองมิถิลาได้จึงตรัสถามเกวัฏว่า อาจารย์ พวกเราไม่สามารถจะยึดพระนครได้ แม้คนคนหนึ่ง ก็ไม่สามารถจะเข้าใกล้ จะควรทำอย่างไร 

เกวัฎกราบทูลสนองว่า ช่างก่อนเถอะพระเจ้าข้า ธรรมดาเมืองมีน้ำภายนอก เราจักเอาเมืองได้โดยวิธีทำให้สิ้นน้ำ พวกในเมืองเมื่อได้รับความลำบากเพราะขาดน้ำ ก็จักเปิดประตูเมืองออกมา 

พระราชาทรงเห็นชอบด้วยว่าอุบายนี้ดี นับแต่นั้นมา พวกข้างกองทัพก็มิให้ใครนำน้ำเข้าไปในเมือง บุรุษที่มโหสถวางไว้ก็เขียนหนังสือผูกปลายลูกศรยิงส่งข่าวเข้าไปในเมือง เพราะมโหสถตั้งอาณัติไว้ว่า ใครพบหนังสือที่ปลายลูกศรจงนำมาให้เราดังนี้ 

ครั้งนั้นบุรุษคนหนึ่งเห็นหนังสือที่ปลายลูกศรก็เอาไปแสดงแก่มโหสถ มโหสถรู้ข่าวนั้นจึงนึกว่า พระเจ้าจุลนีไม่รู้จักความที่เราเป็นมโหสถบัณฑิต จึงให้ผ่าไม้ไผ่ยาว๖๐ ศอกออกเป็น ๒ ซีก รานปล้องออกหมดแล้วประกบกันเข้าอีกรัดด้วยหนังทาโคลนข้างบน ให้หว่านโตนดสายบัวและพืชบัวขาว ซึ่งได้มาแต่ดาบสผู้มีฤทธิ์นำมาแต่หิมวันตประเทศ ในเลนใกล้ฝั่งสระโบกขรณี วางไม้ไผ่ไว้ข้างบนกรอกน้ำลงไป คืนเดียวเท่านั้นเกิดดอกขึ้นไป ๆ ถึงปลายไม้ไผ่สูงพันราว ๑ ศอก

ลำดับนั้น มโหสถยังบุรุษทั้งหลายของตนให้ถอนสายบัวนั้นโยนให้พวกข้าศึกด้วยคำว่า พวกท่านจงถวายสายบัวนี้แก่พระเจ้าจุลนี 

เหล่าบุรุษของมโหสถทำสายบัวนั้นให้เป็นมาลัยแล้วร้องบอกว่า แน่ะท่านทั้งหลายผู้เป็นข้าบาทของพระเจ้าจุลนีพรหมทัต เหล่าท่านอย่าตายด้วยความหิวเลย จงรับเอาดอกอุบลนี้ประดับ เคี้ยวกินสายบัวให้อิ่มหนำ ร้องบอกฉะนี้แล้วโยนลงไป 

บุรุษคนหนึ่งที่มโหสถวางไว้จึงถือเอาสายบัวนั้นนำไปถวายพระเจ้าจุลนี กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอได้ทอดพระเนตรสายบัวนี้ สายบัวยาวเท่านี้ เราทั้งหลายไม่เคยเห็นมาแต่ก่อนจนบัดนี้  

ครั้นเมื่อพระราชาตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงวัดดู

ก็วัดสายบัวอันยาว ๖๐ ศอก ทูลว่า ๘๐ ศอก ในเมื่อพระราชาตรัสถามอีกว่าบัวนั่นเกิดในที่ไหน บุรุษคนหนึ่งที่มโหสถวางไว้กราบทูลเท็จว่า วันหนึ่งข้าพระเจ้ากระหายน้ำเข้าไปในเมืองทางประตูน้อยด้วยคิดจะดื่มสุรา ได้เห็นสระโบกขรณีใหญ่ทั้งหลายที่ขุดไว้เพื่อประโยชน์แห่งชาวเมืองเล่นน้ำ มหาชนนั่งในเรือเก็บดอกบัว ดอกบัวนี้เกิดริมฝั่งสระโบกขรณีนั้น ก็แต่สายบัวอันเกิดในที่ลึกยาวราว ๑๐๐ ศอก 

พระเจ้าจุลนีพรหมทัตได้สดับข้อความนั้นจึงตรัสแก่เกวัฏว่า ดูก่อนท่านอาจารย์ พวกเราไม่อาจจะยึดเอาเมืองนี้โดยวิธีทำให้สิ้นน้ำท่านเลิกความคิดนี้เสียเถิด 

พราหมณ์เกวัฏกราบทูลว่า ถ้าอย่างนั้น จักยึดเอาเมืองนี้โดยวิธีทำให้สิ้นข้าว เพราะธรรมดาว่านครต้องมีข้าวที่มาภายนอกพระนคร

พระราชาตรัสให้ทำอย่างนั้น มโหสถบันฑิตรู้ข่าวนั้นโดยนัยหนหลัง จึงนึกว่า พราหมณ์เกวัฏไม่รู้จักความที่เราเป็นมโหสถบัณฑิต จึงให้เทโคลนตามบนกำแพงเมือง แล้วให้หว่านข้าวเปลือกในที่นั้น ธรรมดาความประสงค์ของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายย่อมสำเร็จ ราตรีเดียวเท่านั้น ข้าวเปลือกก็งอกขึ้นบนกำแพงเมือง 
พระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรเห็นต้นข้าวนั้นจึงตรัสถามว่า นั่นอะไรปรากฏเขียวอยู่บนกำแพงเมือง บุรุษที่มโหสถวางไว้ได้ฟังพระราชกระแส จึงกราบทูลว่า ข้าแต่เทพเจ้า ได้ยินว่า บุตรแห่งคฤหบดีอันมีนามว่ามโหสถบัณฑิต คิดเห็นภัยในอนาคตกาล จึงให้ขนข้าวเปลือกแต่แคว้นขึ้นฉางหลวงไว้ แล้วเก็บงำข้าวเปลือกที่เหลือไว้ริมกำแพง ได้ยินว่าข้าวเปลือกเหล่านั้น แห้งไปด้วยแดด ครั้นเมื่อได้ความชุ่มชื้นจากฝน ข้าวกล้าทั้งหลายก็เกิดขึ้นในที่นั้น วันหนึ่งข้าพเจ้าเข้าไปโดยประตูน้อยด้วยกิจอันหนึ่งเห็นกองข้าวเปลือกริมกำแพงก็หยิบข้าวเปลือกมาจากกองนั้น ทิ้งไว้ริมทาง ทีนั้นหมู่ชนพูดกับข้าพระเจ้าว่า ชะรอยท่านจะหิว ท่านจงเอาชายผ้าห่อข้าวเปลือกไปเรือนของท่าน ตำหุงกินซิ 

พระเจ้ากรุงปัญจาละได้สดับดังนั้นจึงตรัสกะพราหมณ์เกวัฏว่า เราไม่อาจจะยึดเอาเมืองโดยวิธีทำให้สิ้นธัญญาหาร อุบายอื่นมีหรือ 

เกวัฏกราบทูลว่า ถ้าอย่างนั้นเราจักยึดเอาด้วยสิ้นฟืน ขึ้นชื่อว่า เมืองย่อมมีฟืนภายนอก 

พระราชาตรัสให้ดำเนินการอย่างนั้น ฝ่ายมโหสถรู้ข่าวนั้นดังหนหลัง ให้ทำกองฟืนประมาณเท่าภูเขา ให้ปรากฏล่วงพ้นข้าวเปลือกบนกำแพง พวกคนของมโหสถเมื่อกล่าวเยาะเย้ยเล่นกับโยธาของพระเจ้าจุลนีจึงกล่าวว่า ถ้าพวกท่านหิวจงหุงข้าวกินเสีย แล้วโยนฟืนใหญ่ ๆ ลงไปให้

ฝ่ายพระราชาจุลนีทอดพระเนตรเห็นฟืนเป็นอันมากกองพ้นกำแพงเมือง จึงตรัสถามว่า นั่นอะไร 

บุรุษที่มโหสถวางไว้จึงกราบทูลว่า ข้าแต่เทพเจ้า ได้ยินว่าบุตรคฤหบดีผู้มีนามว่ามโหสถเห็นภัยในอนาคต จึงให้ขนฟืนมากองไว้หลังเรือนทั้งหลาย และให้กองไว้ริมกำแพงเมืองก็มิใช่น้อย 

พระเจ้ากรุงปัญจาละได้สดับดังนั้นจึงตรัสกะอาจารย์เกวัฏว่า เราไม่อาจจะยึดเอาเมืองโดยวิธีทำให้สิ้นฟืน ท่านจงเลิกอุบายนี้เสีย พราหมณ์เกวัฏทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงวิตกอุบายอื่นยังมี 

พระเจ้าจุลนีตรัสถามว่า อุบายอย่างไรอีก เรายังไม่เห็นอุบายใดของท่านที่สำเร็จ เราไม่สามารถจะยึดเอาวิเทหรัฐได้ เราจักกลับเมืองของเรา

เกวัฏจึงทูลว่า ถ้าพระองค์กระทำเช่นนั้น ความอับอายว่า พระเจ้าจุลนีพรหมทัตกับพระราชาร้อยเอ็ด ไม่สามารถจะยึดเอาวิเทหรัฐได้ จักเกิดมีแก่พระองค์ มโหสถเป็นบัณฑิตเช่นไร แม้ข้าพระองค์ก็เป็นบัณฑิตเช่นนั้น พวกเราจักทำเลศอันหนึ่ง 

พระราชาตรัสว่า เลศอะไร 

เกวัฏจึงทูลสนองว่า พวกเราจักทำธรรมยุทธ์ 

พระราชาตรัสถามว่าอะไรเรียกว่าธรรมยุทธ์ 

เกวัฏทูลตอบว่า เสนาจักไม่ต้องรบ ก็แต่บัณฑิตทั้งสองของพระราชาทั้งสอง จักอยู่ในที่เดียวกัน ในบัณฑิตทั้งสองนั้น บัณฑิตใดจักไหว้ บัณฑิตนั้นจักแพ้ ก็มโหสถไม่รู้ความคิดนี้ และข้าพระองค์ก็เป็นผู้แก่กว่า มโหสถยังเป็นหนุ่ม เห็นข้าพระองค์ก็จักไหว้ มโหสถไหว้ข้าพระองค์เมื่อใด ชาวแคว้นวิเทหะก็จักชื่อว่า อันพวกเราชนะแล้ว ทีนั้นพวกเราจักยังวิเทหรัฐให้ปราชัยแล้วยึดไว้เป็นเมืองของตน ความอายจักไม่มีแก่พวกเราด้วยประการฉะนี้ รบด้วยเลศนี้ชื่อว่าธรรมยุทธ์ 

ฝ่ายมโหสถได้ทราบรหัสเหตุเหมือนหนหลัง จึงคิดว่า ถ้าเราแพ้เกวัฏ เราก็ไม่ใช่บัณฑิต 

ส่วนพระเจ้าจุลนีพรหมทัตตรัสว่า อุบายนี้งามละอาจารย์ 

พระองค์จึงให้เขียนราชสาสน์ความว่า พรุ่งนี้ธรรมยุทธ์จักมี ชนะหรือปราชัยโดยธรรม จักมีแก่บัณฑิตทั้งสอง ผู้ใดไม่ทำธรรมยุทธ์ ผู้นั้นชื่อว่าพ่ายแพ้ ดังนี้ แล้วส่งไปถวายพระเจ้าวิเทหรัฐทางประตูน้อย 

พระเจ้ากรุงมิถิลาได้ทรงสดับราชสาสน์นั้น ให้เรียกมโหสถมาแจ้งเนื้อความนั้น มโหสถกราบทูลว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า ขอสมมติเทพพระราชทานราชสาสน์ตอบไปว่า ชาวกรุงมิถิลาจักเตรียมจัดสนามธรรมยุทธ์ไว้ทางประตูด้านปัศจิมทิศ กองทัพกรุงปัญจาละจงมาสู่สนามธรรมยุทธ์ 

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำของมโหสถจึงพระราชทานราชสาสน์ตอบแก่ทูตนั่นเอง มโหสถให้เตรียมจัดสนามธรรมยุทธ์ทางประตูด้านปัศจิมทิศ 

ฝ่ายเหล่าบุรุษที่มโหสถวางไว้ร้อยเอ็ดคน ก็ล้อมเกวัฏไว้เพื่อประโยชน์แก่การรักษามโหสถ ด้วยคิดว่า ใครจะรู้เหตุการณ์อะไรจักเกิดมี ส่วนพระราชาร้อยเอ็ดก็ไปสู่สนามธรรมยุทธ์ ยืนคอยดูทางปราจีนทิศ พราหมณ์เกวัฏก็ไปเช่นนั้นเหมือนกัน 

ฝ่ายมโหสถบรมโพธิสัตว์สนานน้ำหอมแต่เช้าทีเดียวแล้ว นุ่งผ้ามาแต่แคว้นกาสีราคานับด้วยแสนกหาปณะแล้วประดับเครื่องอลังการทั้งปวง บริโภคโภชนาหารมีรสเลิศต่าง ๆ ไปสู่พระทวารพร้อมด้วยบริวารเป็นขบวนใหญ่ ครั้นได้พระราชานุญาตให้เข้าเฝ้า ก็เข้าไปถวายบังคมพระราชา ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า ข้าพระองค์ประสงค์จะลวงเกวัฏด้วยแก้วมณี ขอให้ข้าพระองค์ได้มณีรัตนะ ๘ คด 

พระราชาก็ทรงอนุญาต

มโหสถรับมณีรัตนะนั้นแล้วถวายบังคมพระราชาลงจากพระราชนิเวศน์ มีโยธาสหชาตพันหนึ่งแวดล้อม ขึ้นสู่รถอันประเสริฐเทียมด้วยม้าเศวตสินธพอันมีค่าเก้าแสนกหาปณะถึงริมประตู เวลากินอาหารเช้า 

ฝ่ายเกวัฏยืนคอยดูทางมาแห่งมโหสถ เฝ้าชะเง้อคอยมองดูการมาของมโหสถ เหงื่อไหลโซมด้วยความร้อนแห่งดวงอาทิตย์ 

ฝ่ายมโหสถเต็มไปด้วยความเป็นผู้มีบริวารมากแวดล้อมดุจมหาสมุทรท่วมทับ เป็นผู้มิได้หวาดหวั่น มิได้พองขนดุจไกรสรสีหราช ให้เปิดประตูออกจากพระนคร ลงจากรถดำเนินไปโดยว่องไว องอาจดุจพระยาราชสีห์ พระราชาร้อยเอ็ดเห็นสิริรูปแห่งพระโพธิสัตว์ ก็ส่งสำเนียงเอิกเกริกสรรเสริญเกียรติพระโพธิสัตว์ว่า ได้ยินว่าบุตรสิริวัฒกเศรษฐี ผู้มีนามว่า มโหสถบัณฑิต เป็นผู้ไม่มีสอง ไม่มีใครเปรียบด้วยความปรีชาในสกลชมพูทวีป 

ฝ่ายมโหสถมีสิริสมบัติหาที่เปรียบมิได้คือมณีรัตนะเดินตรงไปหาพราหมณ์เกวัฏ ส่วนปุโรหิตเกวัฏเห็นมโหสถบรมโพธิสัตว์ ก็ไม่อาจจะทรงกายนั่งอยู่ได้ จึงลุกยืนขึ้นต้อนรับกล่าวว่า ท่านมโหสถบัณฑิตเราทั้งสองเป็นบัณฑิตเหมือนกัน เมื่อพวกข้าพเจ้ามาอยู่ที่นี้นานเนื่องเพราะท่าน ท่านไม่ส่งแม้เพียงเครื่องบรรณาการมาบ้าง เพราะเหตุไรท่านจึงได้ทำอย่างนี้

ลำดับนั้น มโหสถกล่าวตอบเกวัฏว่า ท่านบัณฑิต ข้าพเจ้าหาบรรณาการที่สมควรแก่ท่าน พึ่งได้มณีวันนี้เอง ท่านจงรับเอามณีรัตนะนี้ มณีรัตนะอื่นอย่างนี้หาไม่ได้ทีเดียว 

เกวัฏเห็นมณีรัตนะอันรุ่งเรืองอยู่ในมือมโหสถก็คิดว่ามโหสถจักประสงค์ให้เรา จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นท่านจงให้มาเถืด แล้วเหยียดมือคอยรับ 

มโหสถจึงกล่าวว่า ท่านคอยรับเถิด แล้วโยนไปให้ตก ณ ปลายนิ้วมือที่เหยียดออกมารับ

ลำดับนั้น นิ้วมือของเกวัฏไม่อาจทานแก้วมณีอันมีน้ำหนักมากได้ แก้วมณีก็พลาดตกใกล้เท้าของมโหสถ เกวัฏก็น้อมกายลงแทบเท้าแห่งมโหสถ ด้วยใคร่จะหยิบเอาแก้วมณีนั้นด้วยความโลภ 

ลำดับนั้น มโหสถ จับคอเกวัฏไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ยันไว้ไม่ให้เกวัฏลุกขึ้นได้ จับชายกระเบนไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง พร้อมกับกล่าวว่า ลุกขึ้นซิ ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าเป็นเด็กเท่ากับหลานของท่าน ท่านอย่าไหว้ข้าพเจ้าเลย 

แล้วจับหน้าของเกวัฏให้ไถลงที่พื้นกลับไปกลับมา จนหน้าเปื้อนด้วยโลหิต แล้วกล่าวว่า ดูก่อนคนอันธพาล เจ้าหวังว่าจะได้การไหว้จากเราหรือ กล่าวแล้วจับคอโยนเกวัฏไปตกลงในที่ห่างราวหนึ่งอุสุภะแล้วลุกขึ้นหนีไป โยธาของมโหสถก็หยิบเอาแก้วมณีไว้ 

เสียงของมโหสถที่ร้องว่า ลุกขึ้นเถิด ๆ อย่าไหว้เราเลย ดังนี้ ได้ยินไปทั่ว  บริวารของมโหสถก็กล่าวว่า เกวัฏไหว้เท้ามโหสถ แล้วโห่ร้องแซ่เป็นเสียงเดียวกัน พระราชาร้อยเอ็ด ตลอดพระเจ้าจุลนีก็ได้เห็นเกวัฏน้อมกายลงแทบเท้ามโหสถ พระราชาเหล่านั้นคิดว่า บัณฑิตของพวกเราไหว้มโหสถบัณฑิตแล้ว บัดนี้พวกเราเป็นอันพ่ายแพ้ มโหสถจักไม่ให้ชีวิตแก่พวกเรา คิดฉะนี้แล้วต่างก็ขึ้นม้าของตนหนีไปทางอุตตรปัญจาละ

บริวารของพระโพธิสัตว์เห็นพระราชาเหล่านั้นหนีไปแล้ว จึงบอกกันว่า พระเจ้าจุลนีพรหมทัตพาพระราชาร้อยเอ็ดพระนครหนีไปแล้ว แล้วโห่ร้องกันอีก พระราชาทั้งปวงได้สดับเสียงนั้นกลัวแต่มรณภัยก็พากันแตกกองทัพหนีไป บริษัทของพระโพธิสัตว์ก็บันลือสำเนียงเกรียวกราวโกลาหลใหญ่ พระมหาสัตว์ก็พาบริวารกลับเข้าสู่กรุงมิถิลา

เมื่อฝ่ายกองทัพของพระเจ้าจุลนีพรหมทัตหนีไปได้ ๓ โยชน์ เกวัฏก็ขึ้นม้าแล้วเช็ดโลหิตที่หน้าผากตามไปถึงกองทัพ ขณะที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็กล่าวว่า แน่ะท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าหนีไปเลย เราไม่ได้ไหว้บุตรคฤหบดีผู้ชื่อว่ามโหสถดอก ท่านทั้งหลายหยุดเถิด 

เสนาเหล่านั้นต่างก็ไม่ยอมเชื่อ คงเดินต่อไปพร้อมกับพากันด่าเกวัฏ กล่าวว่า แน่ะพราหมณ์ชั่ว ท่านกล่าวว่า เราจักทำธรรมยุทธ์ แล้วกลับมาไหว้มโหสถผู้เป็นเด็กคราวหลาน พวกข้าพเจ้าไม่มีกิจอันใดกับท่านแล้วกล่าวฉะนี้แล้วก็ไม่ฟังถ้อยคำของเกวัฏ คงเดินต่อไปทีเดียว

เกวัฏก็ติดตามไปโดยเร็ว เมื่อถึงกองทัพจึงกล่าวว่า ดูก่อนผู้เจริญทั้งหลายพวกท่านจงเชื่อเราเถิด เราไม่ได้ไหว้มโหสถ มโหสถลวงเราด้วยแก้วมณี แล้วก็เกลี้ยกล่อมพระราชาทั้งปวงเหล่านั้นให้เชื่อถ้อยคำของตน กระทำกองทัพที่แตกกระจัดกระจายแล้วนั้น ให้กลับควบคุมกันเป็นปกติดังเดิม อันที่จริงขนาดของกองทัพที่ใหญ่ถึงเพียงนั้น หากทหารแต่ละนายจะกำฝุ่นหรือถือก้อนดินก้อนหนึ่งปาไปแล้วละก็ กองฝุ่นและดินก็จะมีกองเท่ากำแพงเมือง หรือสามารถทำคูเมืองให้เต็มได้ ก็แต่ความประสงค์แห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมสำเร็จ เพราะเหตุนั้น จึงไม่มีแม้บุคคลผู้หนึ่งที่จะหันหน้าเข้าหาเมืองแล้วซัดกำฝุ่นหรือปาก้อนดินไปเลย 

เมื่อกองทัพทั้งปวงกลับถึงสถานที่ตั้งค่ายของตน พระราชาจุลนีตรัสถามเกวัฏว่า เราจักทำอย่างไร อาจารย์ 

เกวัฏทูลตอบว่า เราทั้งหลายไม่ให้ใคร ๆ ออกจากประตูน้อย ตัดการเข้าออกเสีย ชาวเมืองออกไม่ได้ก็จักเดือดร้อนเปิดประตู ทีนั้นพวกเราจักจับเหล่าปัจจามิตรได้ 

พระราชาตรัสรับรองว่า อุบายนี้เหมาะ 

ฝ่ายมโหสถรู้ข่าวนั้นโดยนัยหนหลังจึงคิดว่า เมื่อกองทัพปัญจลนครล้อมอยู่ในที่นี้นาน พวกเราจักไม่มีความผาสุก ควรที่จะให้กองทัพนั้นหนีไปด้วยอุบาย มโหสถก็เฟ้นหาคนฉลาดคนหนึ่ง ก็เห็นพราหมณ์หนึ่งชื่อ อนุเกวัฏ จึงให้เรียกตัวมาแจ้งว่า แน่ะอาจารย์ ท่านควรจะช่วยงานอันหนึ่งของพวกเรา 

อนุเกวัฏถามว่า ท่านจะให้ข้าพเจ้าทำอะไร 

มโหสถบัณฑิตจึงชี้แจงอุบายต่ออนุเกวัฏว่า 

ท่านอาจารย์จงขึ้นไปอยู่บนกำแพงเมือง เมื่อเห็นกองรักษาฝ่ายเราเผลอ ก็จงโยนขนมและปลาเนื้อเป็นต้น ให้กับพวกกองทัพของพระเจ้าจุลนี แล้วร้องบอกว่า ดูก่อนผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านจงเคี้ยวกินสิ่งนี้ ๆ อย่าเดือดร้อนเลย จงพยายามอยู่สักสองสามวันเถิด ชาวเมืองมิถิลาก็เดือดร้อน ดุจไก่อยู่ในกรงฉะนั้น ไม่ช้านานก็จะเปิดประตูเมืองเพื่อพวกท่าน ต่อแต่นั้น พวกท่านจงจับพระเจ้ากรุงมิถิลาและมโหสถผู้ดุร้าย 

กองรักษาของพวกเราได้ฟังถ้อยคำของท่าน ก็จักด่าคุกคามท่าน จะทำเป็นเหมือนจับมือและเท้าท่าน โบยตีด้วยซีกไม้ไผ่ให้กองทัพพระเจ้าจุลนีเห็น แล้วให้ท่านลงจากกำแพงเมือง มุ่นผมท่านให้เป็นจุก ๕ หย่อม แล้วโรยผงอิฐลงบนศีรษะท่านแล้วให้ท่านทัดดอกยี่โถ แล้วตีท่านเล็กน้อยพอให้เห็นเป็นรอยที่หลังท่าน แล้วให้ท่านขึ้นบนกำแพงเมือง ให้ท่านนั่งในสาแหรกเอาเชือกผูกโรยหย่อนลงไปนอกกำแพงเมือง แล้วด่าท่านให้กองทัพของพระเจ้าจุลนีได้ยินว่า แน่ะอ้ายโจร เอ็งจงไป 

พวกกองทัพของพระเจ้าจุลนีจักพาท่านไปเฝ้าพระเจ้าจุลนี พระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรเห็นจักตรัสถามท่านว่า ท่านมีความผิดอย่างไร ทีนั้นท่านควรทูลอย่างนี้แด่พระเจ้าจุลนีว่า 

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า แต่ก่อนข้าพระเจ้ามียศใหญ่ มโหสถโกรธข้าพระเจ้าว่า เป็นผู้ขัดขวางความคิดของตน จึงทูลพระเจ้าวิเทหราชแล้วชิงเอายศของข้าพระเจ้าเสียทั้งหมด ข้าพระเจ้าคิดว่า จักขอให้พวกพลของพระองค์ตัดศีรษะของบุตรคฤหบดีผู้ชิงยศของข้าพระเจ้าไป ข้าพระเจ้าคิดฉะนี้แล้วได้เห็นโยธาของพระองค์เดือดร้อน จึงให้ของเคี้ยวของกินแก่โยธาเหล่านั้น มโหสถผูกใจเจ็บในข้าพระเจ้า จึงให้ข้าพระเจ้าถึงความพินาศอย่างนี้ ชนทั้งปวงต่างก็รู้เหตุทั้งหมด 

ท่านจงกระทำให้พระเจ้าจุลนีพรหมทัตเชื่อโดยประการต่าง ๆ เมื่อเกิดความคุ้นเคยกันแล้ว จึงทูลต่อไปว่า 

ข้าแต่มหาราช นับแต่กาลที่พระองค์ได้ข้าพระบาทมาแล้ว พระองค์อย่าได้ทรงวิตกเลย บัดนี้พระชนมชีพของพระเจ้าวิเทหราชและชีวิตของมโหสถจะไม่มี เพราะข้าพระเจ้ารู้สถานที่มั่นคง สถานที่ย่อหย่อนกำลัง และสถานที่มีหรือไม่มีสัตว์ร้ายมีจระเข้เป็นต้น ในคูแห่งกำแพงในเมืองนี้ ข้าพระบาทจักยึดเอาเมืองถวายพระองค์โดยกาลไม่นานเลย

ครั้นทูลอย่างนี้ พระราชาจุลนีจักทรงเชื่อประทานรางวัลแก่ท่าน แต่นั้นจะให้ท่านปกครองกองทัพและพาหนะของพระองค์ ทีนั้นท่านจงคุมกองทัพของพระเจ้าจุลนีให้ลงในคูที่มีจระเข้ร้าย กองทัพของพระเจ้าจุลนีก็จักไม่ลงด้วยกลัวจระเข้ กาลนั้นท่านจงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ มโหสถยุยงให้กองทัพแตกร้าวเป็นกบฏต่อพระองค์แล้ว ใคร ๆ ตั้งแต่พระราชาร้อยเอ็ดและพราหมณ์เกวัฏที่จะไม่รับสินบนมโหสถไม่มี ชนเหล่านี้ที่แวดล้อมโดยเสด็จทั้งสิ้น ล้วนแต่เป็นพวกของมโหสถ อันเสวกามาตย์ของพระองค์มีแต่ข้าพระบาทคนเดียวเท่านั้นถ้าพระองค์ยังไม่ทรงเชื่อ จงมีพระราชโองการแก่พระราชาเหล่านั้น ทั้งหมดว่าเธอทั้งหลายจงแต่งองค์มาหาเรา ดังนี้ ทีนั้นพระองค์ก็จะพึงทอดพระเนตรเห็นอักษรในราชาภรณ์มีภูษาทรงเครื่องประดับและพระขรรค์เป็นต้น อันมโหสถจารึกนามของตนถวายไว้แก่พระราชาเหล่านั้น ก็จะพึงทรงเชื่อ 

ท่านทูลฉะนี้ พระเจ้าจุลนีพรหมทัตก็จักทรงทำตามอย่างนั้น จักทอดพระเนตรเห็นอักษรที่จารึกชื่อมโหสถในราชาภรณ์เหล่านั้น ก็จักทรงเชื่อและกลัว สะดุ้งพระหฤทัย แล้วส่งพระราชาเหล่านั้นกลับไป แล้วจักตรัสหารือท่านว่า บัดนี้เราจักทำอย่างไรดี ท่านบัณฑิต 

ท่านควรกราบทูลพระองค์ดังนี้ว่า มโหสถเป็นคนเจ้ามายามาก ถ้าพระองค์จักประทับอยู่ต่อไป มโหสถก็จักทรงทำเสนาทั้งปวงของพระองค์ให้อยู่ในเงื้อมมือตนแล้วจับพระองค์ เราทั้งหลายอย่าเนิ่นช้า รีบขึ้นม้าหนีไปเสียในระหว่างมัชฌิมยามวันนี้ 

พระเจ้าจุลนีพรหมทัตได้ทรงฟังคำของท่านดังนั้นก็จักทรงทำตาม ท่านจงกลับในเวลาที่พระเจ้าจุลนีหนีไป แล้วยังพวกโยธาของเราให้รู้ 


พราหมณ์อนุเกวัฏได้ฟังคำชี้แจงนั้น ก็กล่าวว่า ข้าแต่ท่านบัณทิต ดีแล้ว ข้าพเจ้าจักทำตามคำของท่าน 

มโหสถจึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านควรทนต่อการโบยตีเล็กน้อย 

อนุเกวัฏกล่าวตอบว่า ข้าแต่ท่านบัณฑิต ยกเสียแต่ชีวิตและมือเท้าของข้าพเจ้า ที่เหลือจากนั้น ท่านจงทำตามชอบใจของท่าน

มโหสถจึงให้สิ่งของแก่เหล่าชนในเรือนของอนุเกวัฏแล้วกระทำตามอุบายที่ได้วางเอาไว้โดยนัยที่กล่าวแล้ว แล้วให้นั่งในสาแหรกเอาเชือกผูกโรยลงไปให้แก่พวกเสวกของพระเจ้าจุลนีพรหมทัต

ลำดับนั้น พวกเสนาก็จับอนุเกวัฏนำไปถวายพระเจ้าพรหมทัต พระราชาทรงทดลองแล้วก็ทรงเชื่อพราหมณ์อนุเกวัฏ จึงพระราชทานรางวัลแก่อนุเกวัฏแล้วให้ปกครองเสนา 

ฝ่ายอนุเกวัฏก็ยังเสนาให้ลงในสถานที่มีจระเข้ร้าย พลนิกายถูกจระเข้ทั้งหลายขบกัด ถูกกองรักษาที่อยู่บนหอรบยิงพุ่งเอาด้วยศรหอกและโตมร ก็ถึงความพินาศใหญ่ นับแต่นั้น ๆ ก็ไม่อาจเข้าไปใกล้ด้วยความกลัวอันตรายเห็นปานนั้น 

ลำดับนั้น อนุเกวัฏเข้าเฝ้าพระเจ้าจุลนีพรหมทัตทูลว่า ข้าแต่เทพเจ้า พวกทหารที่รบเพื่อประโยชน์ต่อพระองค์ไม่มี มีแต่พวกรับสินบนทั้งนั้น ถ้าพระองค์ไม่เชื่อ จงให้พวกเหล่านั้นมา จักทอดพระเนตรเห็นอักษรจารึกชื่อมโหสถในเครื่องอุปโภค มีผ้านุ่งที่นุ่งอยู่เป็นต้น 

พระเจ้ากรุงอุตตรปัญจาละให้ทำอย่างนั้น ก็ทอดพระเนตรเห็นอักษรในผ้าของพวกนั้นทั้งหมดก็แน่พระทัยว่าพวกนี้รับสินบน จึงตรัสถามอนุเกวัฏว่า บัดนี้เราควรจะทำอย่างไร ท่านอาจารย์ 

ครั้นอนุเกวัฏทูลตอบว่า กิจอื่นที่ควรทำไม่มี พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงรีรออยู่ มโหสถจักจับพระองค์ ส่วนอาจารย์เกวัฏก็สาละวนอยู่แต่แผลที่หน้าผากเท่านั้น แต่รับสินบนเหมือนกัน เพราะแกรับมณีรัตนะแล้วทำพระองค์ให้หนีไป ๓ โยชน์ ให้ทรงเชื่อถือแล้วให้กลับ แกนี้แหละยุยงให้กองทัพแตก ข้าพระองค์ไม่สมัครจะอยู่แม้สักคืนเดียว ควรจะหนีเสียในระหว่างเที่ยงคืนวันนี้ นอกจากข้าพระองค์แล้ว บุคคลอื่นจะเป็นผู้ร่วมพระหฤทัยไม่มีเลย 

ครั้นอนุเกวัฏทูลฉะนี้ ก็ตรัสสั่งว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านอาจารย์จงผูกม้าที่นั่งแล้วตระเตรียมยาน 

อนุเกวัฏรู้ความที่พระเจ้าจุลนีจะหนีโดยทรงวินิจฉัยแน่จึงทูลให้อุ่นพระหฤทัยว่า อย่ากลัวเลย พระเจ้าข้า แล้วออกไปข้างนอกสั่งพวกบุรุษที่มโหสถวางไว้ว่า วันนี้พระเจ้าอุตตรปัญญาจาละจะหนี ท่านทั้งหลายอย่าหลับเสีย สั่งฉะนี้แล้วก็ผูกม้าพระที่นั่งในลักษณะที่เมื่อรั้งไว้จะให้หยุด ม้าจะรู้สึกเหมือนว่าจะกระตุ้นให้มันวิ่งตะบึงไป แล้วกราบทูลว่า ม้าที่นั่งเตรียมผูกไว้แล้ว พระเจ้าข้า 

พระราชาก็ขึ้นม้าหนีไป ฝ่ายอนุเกวัฏก็ขึ้นม้าทำเหมือนโดยเสด็จด้วยหน่อยหนึ่งก็กลับ ม้าที่นั่งที่ผูกไว้ในลักษณะนั้น เมื่อพระราชารั้งให้หยุด ก็วิ่งพาพระราชาหนีต่อไปอย่างเดียว 

ฝ่ายอนุเกวัฏก็เข้าในหมู่เสนาก็ร้องอึงขึ้นว่า พระราชาจุลนีพรหมทัตเสด็จหนีไปแล้ว พวกบุรุษที่มโหสถวางไว้ก็ร้องบอกกันกับพวกของตน ฝ่ายพระราชาร้อยเอ็ดได้สดับเสียงนั้น ก็สำคัญว่า มโหสถเปิดประตูเมืองออกมา บัดนี้เขาจักไม่ไว้ชีวิตพวกเรา ก็กลัวสะดุ้งตกใจ ไม่สนใจเครื่องอุปโภคบริโภคพากันหนีไป

ชนทั้งหลายก็ร้องเอ็ดกันขึ้นว่า แม้พระราชาร้อยเอ็ดก็เสด็จหนีไปแล้ว กองรักษาอยู่ที่บนประตูหอรบได้ยินเสียงนั้น ก็โห่ร้องตบมือกันขึ้น

ขณะนั้น พระนครมิถิลาทั้งสิ้น ทั้งภายในภายนอกก็บันลือเสียงสนั่นหวั่นไหวเป็นเสียงเดียวกัน ประหนึ่งแผ่นดินแยกออก ประหนึ่งท้องทะเลปั่นป่วนฉะนั้น

พลนิกาย ๑๘ อักโขภิณีต่างกลัวมรณภัย ด้วยเข้าใจว่า พระเจ้าจุลนีและพระราชาร้อยเอ็ดถูกมโหสถจับไว้ได้แล้ว ก็ทิ้งกองทัพเสียแล้วหนีไป สถานที่ตั้งกองทัพว่างเปล่า พระเจ้าจุลนีพรหมทัตพาพระราชาร้อยเอ็ดไปสู่นครของตน 

วันรุ่งขึ้นพลนิกายชาวกรุงมิถิลาเปิดประตูเมืองออกมาแต่เช้า เห็นสิ่งของกองอยู่เป็นอันมาก จึงแจ้งแก่มโหสถว่า ข้าแต่ท่านบัณฑิต พวกเราจักทำอย่างไร 

มโหสถกล่าวว่า ทรัพย์ที่พวกข้าศึกทิ้งไว้ตกเป็นของพวกท่าน พวกท่านจงถวายสิ่งที่เป็นของพระราชาทั้งปวงแด่พระราชาของเราทั้งหลาย จงนำสิ่งเป็นของเศรษฐีและเกวัฏมาให้แก่เรา ชาวเมืองจงถือเอาสิ่งที่เหลือจากนี้ 

พระโพธิสัตว์ให้รางวัลเป็นอันมากแก่พราหมณ์อนุเกวัฏ ได้ยินว่า นับแต่นั้นมา ชาวกรุงมิถิลาก็บังเกิดมั่งคั่งมั่งมีเงินแลทอง รัตนะมีค่ามากก็เกิดมีมากหลาย

พระเจ้าจุลนีพรหมทัตประทับอยู่ ณ เมืองอุตตรปัญจาละกับพระราชาร้อยเอ็ดเหล่านั้น ล่วงไปปีหนึ่ง

อยู่มาวันหนึ่ง พราหมณ์เกวัฏแลดูหน้าด้วยกระจกก็เห็นแผลที่หน้าผากจึงคิดว่า นี้มโหสถทำไว้ มโหสถทำเราให้อับอายแก่พระราชาทั้งหลาย คิดฉะนี้ก็เกิดโกรธขึ้น คิดว่า เมื่อไรหนอ เราจะสามารถได้แก้แค้นมโหสถ ก็นึกได้ว่า อุบายมีอยู่ ลงสันนิษฐานแน่ว่า 

พระราชธิดาของพระราชาแห่งเรามีพระนามว่า ปัญจาลจันที มีพระรูปโฉมอุดมเปรียบด้วยเทพอัปสร เราจักให้พระนางนั้นแก่พระเจ้าวิเทหราช ลวงท้าวเธอด้วยกาม แล้วนำท้าวเธอผู้เป็นดังปลากลืนเบ็ดกับมโหสถมาฆ่าเสียทั้งสองคนแล้วดื่มชัยบาน 

เมื่อพราหมณ์เกวัฏตระหนักแน่ฉะนี้แล้ว จึงเข้าเฝ้ากราบทูลแด่พระเจ้าจุลนีว่า ข้าแต่สมมติเทพยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง 

พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับคำของเกวัฏ จึงตรัสว่าแน่ะท่านอาจารย์ พวกเราต้องหนีกระทั่งต้องทิ้งผ้าสาฎกที่พันท้อง ก็เพราะอุบายความคิดของท่าน บัดนี้ท่านจักทำอะไรอีก นิ่งเสียทีเถิด 

เกวัฏจึงทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า อุบายอื่นเช่นอุบายนี้ไม่มี 

พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงกล่าวให้ฟัง 

พราหมณ์เกวัฏทูลว่า ถ้าจะทูล ควรอยู่แต่สอง พระเจ้าข้า

พระราชาทรงเห็นชอบด้วย พราหมณ์จึงเชิญเสด็จพระราชาขึ้นบนปราสาท ให้เสด็จเข้าไปในห้องบรรทมแล้วทูลว่า เราทั้งหลายจักโลมพระเจ้าวิเทหราชด้วยกิเลส แล้วเอาตัวมาฆ่าเสียพร้อมกับมโหสถ 

พระราชาตรัสว่า อุบายนี้งาม แต่เราจักเล้าโลมนำเขามาอย่างไร 

เกวัฏทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระราชธิดาของพระองค์ผู้มีพระนามว่า ปัญจาลจันที ทรงรูปโฉมงดงาม พวกเราจักให้จินตกวีประพันธ์รูปสมบัติอันทรงสิริ และความงามแห่งอิริยาบถสี่ของพระราชธิดานั้น ด้วยประพันธ์เป็นเพลงขับ แล้วให้ผู้ชำนาญขับร้องกาพย์กลอนเหล่านั้นในกรุงมิถิลา ให้มีใจความว่า เมื่อจอมนรินทร์ปิ่นวิเทหรัฐไม่ได้นารีรัตน์เห็นปานนี้ ราชสมบัติก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนี้ 

เมื่อรู้ว่าพระเจ้าวิเทหราชปฏิพัทธ์พระราชธิดาจากการที่ได้ฟังเพลงขับนั้นแล้ว ข้าพระองค์จักไปในกรุงมิถิลากำหนดวันมารับพระราชธิดาอภิเษก เมื่อข้าพระองค์กำหนดวันกลับมาแล้วพระเจ้าวิเทหราชก็จักเป็นเหมือนปลากลืนเบ็ด พามโหสถมา ภายหลังเราทั้งหลายก็จักฆ่าพระเจ้าวิเทหราชกับมโหสถเสีย 

พระเจ้าจุลนีได้สดับคำของเกวัฏแล้วทรงยินดีรับรองว่า อุบายของท่านงาม เราทั้งหลายจักทำอย่างนั้น 

ไม่มีผู้ใดอื่นที่รู้ความลับนี้ จะมีก็แต่นางนกสาลิกาที่เลี้ยงไว้ในที่บรรทมแห่งพระเจ้าจุลนีพรหมทัต ที่ได้ฟังความคิดนั้น 

พระเจ้าจุลนีให้เรียกพวกจินตกวีเก่ามาพระราชทานทรัพย์เป็นอันมาก แล้วแสดงพระราชธิดาแก่พวกนั้น ตรัสว่า เจ้าทั้งหลายจงประพันธ์กาพย์กลอนอาศัยรูปสมบัติของธิดานี้ พวกจินตกวีเหล่านั้นก็ประพันธ์เพลงขับอย่างจับใจยิ่งแล้วขับถวายพระราชา พระราชาก็พระราชทานทรัพย์เป็นอันมากแก่พวกนั้นอีก นางฟ้อนรำทั้งหลายเรียนกาพย์กลอนแต่สำนักจินตกวีทั้งหลายแล้วไปขับร้องในมณฑลมหรสพ เพลงขับเหล่านั้นได้แพร่ไปด้วยประการฉะนี้ 

เมื่อเพลงขับเหล่านั้นได้แพร่ไปในหมู่ประชาชน พระเจ้าจุลนีตรัสให้เรียกพวกขับร้องทั้งหลายมาตรัสสั่งว่า เจ้าทั้งหลายจงจับนกใหญ่ให้มาก ขึ้นสู่ต้นไม้ในราตรี นั่งขับร้องอยู่บนต้นไม้นั้น ครั้นเวลาใกล้รุ่งจงผูกกังสดาลที่คอนกเหล่านั้นปล่อยขึ้นไปแล้วจึงลงจากต้นไม้ พระเจ้าจุลนีให้ทำดังนั้น เพื่อเหตุให้เป็นของปรากฏว่า แม้เทวดาทั้งหลายก็ขับร้องพรรณนาพระรูปโฉมแห่งพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงปัญจาละ 

พระเจ้าจุลนีตรัสเรียกเหล่าจินตกวีนั้นมาอีกตรัสว่า บัดนี้เจ้าทั้งหลายจงพรรณนาสรรเสริญว่า นางกุมาริกาเห็นปานนี้หาสมควรแก่พระราชาอื่นในพื้นชมพูทวีปไม่ นางสมควรแก่พระเจ้าวิเทหราชกรุงมิถิลา และอิสริยยศของนางนี้ผู้เดียวควรแก่พระเจ้าวิเทหราช ดังนี้ ผูกให้เป็นเพลงขับ 

จินตกวีเหล่านั้นทำตามรับสั่งแล้วขับถวายให้ทรงสดับ 

พระเจ้าจุลนีก็พระราชทานทรัพย์แก่พวกนั้นแล้วตรัสสั่งว่า เจ้าทั้งหลายจงไปสู่กรุงมิถิลา แล้วขับโดยอุบายนี้แหละในกรุงมิถิลานั้นอีก

จินตกวีเหล่านั้นเมื่อไปถึงกรุงมิถิลาโดยลำดับ ก็ขับ ณโรงมหรสพ มหาชนได้ฟังเพลงขับเหล่านั้นก็ยังเสียงโห่ร้องเกรียวกราวให้เป็นไป ได้ให้ทรัพย์เป็นอันมากแก่พวกนั้น พวกนั้นขับบนต้นไม้ในเวลาราตรี ครั้นใกล้รุ่งก็ผูกกังสดาลที่คอนกทั้งหลายแล้วลงจากต้นไม้ เสียงโกลาหลเป็นอันเดียวกันว่า แม้เทวดาทั้งหลายก็ขับร้องพรรณนาพระรูปโฉมของพระราชธิดาพระเจ้ากรุงปัญจาละ ดังนี้ ได้มีในพระนครทั้งสิ้น เพราะได้ยินเสียงกังสดาลในอากาศ 

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับเสียงนั้น จึงให้เรียกพวกนักประพันธ์กาพย์กลอนมาให้เล่นมหรสพในพระราชนิเวศน์แล้วทรงดำริว่า ได้ยินว่าพระเจ้าจุลนีมีพระราชประสงค์จะประทานพระราชธิดาผู้ทรงรูปโฉมอันอุดมปานนี้แก่เรา ทรงดำริฉะนี้ก็ทรงยินดี ได้พระราชทานทรัพย์เป็นอันมากแก่นักประพันธ์เหล่านั้น พวกนั้นก็กลับนำความมากราบทูลพระเจ้าจุลนีพรหมทัต

ลำดับนั้น อาจารย์เกวัฏจึงกราบทูลพระเจ้าจุลนีว่า บัดนี้ข้าพระบาทจักไปเพื่อกำหนดวัน 

พระราชาตรัสว่า ดีแล้วอาจารย์ ท่านควรจะเอาอะไรไปบ้าง

เกวัฏกราบทูลว่า ควรเอาบรรณาการบ้างเล็กน้อยไป พระเจ้าข้า 

พระราชาก็ทรงอนุญาตเกวัฏก็ถือเอาเครื่องบรรณาการไปพร้อมกับบริวารเป็นอันมาก เมื่อถึงวิเทหรัฐก็เกิดเสียงโกลาหลเป็นอันเดียวกันในกรุงมิถิลา เพราะได้ยินว่า พระเจ้าจุลนีกับพระเจ้าวิเทหราชจักกระทำสัมพันธไมตรีต่อกัน ฝ่ายพระเจ้าจุลนีจักประทานพระธิดาของพระองค์ แด่พระราชาของพวกเรา ได้ยินว่าพราหมณ์เกวัฏมาเฝ้าเพื่อกำหนดวันเสด็จไปอภิเษก 

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำนั้น แม้พระมหาสัตว์ก็ได้ฟังเหมือนกัน ความปริวิตกได้มีแก่พระมหาสัตว์ว่า การที่เกวัฏมาย่อมต้องมีเหตุอันใด เราจักต้องรู้เหตุนั้นให้ได้

มโหสถจึงส่งข่าวไปยังบุรุษที่วางไว้ในสำนักของพระเจ้าจุลนีว่า เจ้าจงสืบความนี้ตามความเป็นจริงแล้วส่งข่าวมาให้รู้ 

ลำดับนั้นพวกบุรุษที่วางไว้จึงส่งข่าวตอบมาว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่รู้ข้อความนี้ พระเจ้าจุลนีกับเกวัฏนั่งปรึกษากันอยู่ในห้องบรรทม จะมีก็แต่นกสาลิกาที่เลี้ยงไว้ในที่บรรทมของพระเจ้าจุลนีที่รู้ความลับอันนี้ 

พระมหาสัตว์ได้สดับดังนั้นแล้วคิดว่า เราจักไม่ให้เกวัฏเห็นบ้านเมืองที่จัดดีแล้ว จำแนกดีแล้ว อย่างที่ปัจจามิตรไม่มีโอกาส มโหสถจึงให้ล้อมทางที่มาทั้งสองข้าง และเบื้องบนด้วยเสื่อลำแพน ตั้งแต่ประตูพระนครจนถึงพระราชนิเวศน์ และตั้งแต่พระราชนิเวศน์จนถึงเรือนตน ให้เขียนภาพโปรยดอกไม้ที่พื้น ให้ตั้งหม้อน้ำมีน้ำเต็มและให้ปักต้นกล้วยผูกธงไว้ เมื่อเกวัฏเข้าสู่พระนคร เห็นดังนั้นก็คิดว่า พระราชาให้ตกแต่งมรรคาไว้รับเรา ไม่รู้ว่า เขาทำเพื่อไม่ให้เห็นบ้านเมือง เกวัฏเดินทางไปเข้าเฝ้าถวายบังคมพระเจ้าวิเทหราช ถวายเครื่องบรรณาการทูลปฏิสันถารแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชทรงทำสักการะสัมมานะแล้ว เมื่อจะกราบทูลถึงเรื่องที่ตนมา ได้กราบทูลว่า

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระราชาของข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระราชประสงค์จะทรงทำสันถวไมตรีกับด้วยพระองค์ จะประทานรัตนะทั้งหลายตั้งต้นแต่พระราชธิดาซึ่งเป็นอิตถีรัตนะแด่พระองค์ 

ได้ยินว่า ตั้งแต่นี้ไป ทูตทั้งหลายผู้มีวาจาไพเราะ กล่าวคำที่น่ารัก คุมเครื่องบรรณาการจากอุตตรปัญจาลนคร มายังมิถิลานครนี้ และจากมิถิลานครนี้ ไปยังอุตตรปัญจาลนครนั้น 

ขอรัฐทั้งสองนั้นจงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทีเดียว ดุจน้ำในคงคาไหลร่วมกับน้ำในยมุนาฉะนั้น

ก็แลครั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว เกวัฏได้กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระราชาของข้าพระเจ้าใคร่จะส่งมหาอำมาตย์อื่นมา ก็ไม่สามารถจะแจ้งข่าวให้เป็นที่ชอบพระราชหฤทัย เพราะฉะนั้น จึงส่งข้าพระเจ้ามาโดยพระราชโองการว่า ท่านอาจารย์ ท่านจงยังพระเจ้าวิเทหราชให้ทรงทราบดีแล้วพาเสด็จมา ดังนี้ ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ขอพระองค์เสด็จราชดำเนินไป จักได้พระราชธิดามีรูปงามนัก และสันถวไมตรีกับพระราชาของข้าพระองค์ทั้งหลายจักดำรงมั่นแด่พระองค์ 

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำของเกวัฏแล้วทรงโสมนัส ข้องอยู่ด้วยอันได้ทรงฟังว่า จักได้พระราชธิดารูปงามที่สุด จึงตรัสว่า แน่ะอาจารย์ ได้ยินว่า ความวิวาทในเพราะธรรมยุทธ์ได้มีแก่ท่านและมโหสถ ท่านจงไปหามโหสถบุตรเรา ท่านทั้งสองเป็นบัณฑิตจงยังกันและกันให้ขมาโทษ ปรึกษาหารือกันแล้วจงกลับมา 

เกวัฏได้ฟังพระราชดำรัส ก็ไปด้วยคิดว่า เราจักพบมโหสถ ฝ่ายพระมหาสัตว์รู้ว่าเกวัฏจะมายังสำนักตนวันนั้น จึงคิดว่า การที่เราจะเจรจากับเกวัฏผู้มีกรรมอันลามกเป็นธรรมดาจงอย่าได้มีเลย คิดดังนี้แล้วจึงดื่มเนยใสหน่อยหนึ่งแต่เช้า ผู้รักษาเรือนเอาโคมัยสดเป็นอันมากละเลงเรือนมโหสถ และเอาน้ำมันทาเสาทั้งหลาย แต่ตั้งเตียงผ้าไว้หนึ่งเตียงสำหรับเป็นที่นอนแห่งมโหสถ นอกจากนี้ให้เก็บเสียสิ้นไม่ว่าเตียงหรือตั่ง มโหสถได้ให้สัญญาแก่ชนบริวารว่า เมื่อพราหมณ์ปรารถนาจะพูดกับพวกเจ้า พวกเจ้าพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะพราหมณ์ ท่านอย่าพึงพูดกับท่านบัณฑิต เพราะวันนี้ท่านบัณฑิตดื่มเนยใส ในเมื่อเราทำอาการจะพูดกับเกวัฏ พวกเจ้าพึงห้ามเสียว่า ท่านดื่มเนยใสอย่างแรง ท่านอย่าพูด 

มโหสถจัดอย่างนี้แล้วนุ่งผ้าแดง วางคนรักษาไว้ที่ซุ้มประตูทั้ง ๗ ชั้นแล้วนอนบนเตียงผ้า ฝ่ายเกวัฏยืนที่ซุ้มประตูที่ ๑ ของเรือนมโหสถ ถามว่าบัณฑิตอยู่ไหน 

ลำดับนั้น ชนทั้งหลายก็ห้ามพราหมณ์เกวัฏว่า แน่ะพราหมณ์ท่านอย่าส่งเสียง ถ้าท่านอยากจะมา จงมานิ่ง ๆ เพราะวันนี้ท่านบัณฑิตดื่มเนยใสอย่างแรง ท่านจักต้องไม่ทำเสียงอื้ออึง 

ชนทั้งหลายที่ซุ้มประตูนอกจากนี้ก็กล่าวห้ามพราหมณ์อย่างนั้น เกวัฏล่วงซุ้มประตูที่ ๗ ก็ถึงสำนักมโหสถ มโหสถแสดงอาการจะพูด ลำดับนั้น ชนทั้งหลายกล่าวห้ามว่า ท่านอย่าได้พูดเพราะท่านดื่มเนยใสอย่างแรง ประโยชน์อะไรด้วยการพูดกับพราหมณ์ร้ายนี้

เกวัฏไปสำนักมโหสถบัณฑิต ไม่ได้นั่ง ไม่ได้แม้ที่ยืน ต้องยืนเหยียบโคมัยสดอยู่ ลำดับนั้น คนใช้ของมโหสถคนหนึ่ง แลดูเกวัฏแล้วก็ถลึงตา คนหนึ่งแลดูแล้วยักคิ้ว คนหนึ่งแลดูแล้วงอศอกเงื้อ เกวัฏเห็นกิริยาของพวกมโหสถ ก็เก้อเขินกล่าวว่า แน่ะท่านบัณฑิต ข้าพเจ้าลาไปละ เมื่อคนอื่น ๆ กล่าวว่า แน่ะพราหมณ์ร้ายถ่อย แกอย่าส่งเสียง ถ้าว่าแกขืนส่งเสียง พวกเราจักทำลายกระดูกแกเสีย ก็เป็นผู้ทั้งกลัวทั้งตกใจ กลับไปไม่เหลียวหลัง ลำดับนั้นคนหนึ่งลุกขึ้นตีหลังเกวัฏด้วยซีกไม้ไผ่ คนหนึ่งตีหลังด้วยฝ่ามือ คนหนึ่งไสคอผลักไป 

เกวัฏทั้งกลัวทั้งตกใจออกไปสู่พระราชวัง ดุจมฤคพ้นจากปากราชสีห์ 

พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า วันนี้บุตรของเราได้ฟังประพฤติเหตุนี้แล้วจักเป็นผู้ยินดี ธรรมสากัจฉาใหญ่จะพึงมีแก่บัณฑิตทั้งสอง วันนี้บัณฑิตทั้งสองจักยังกันและกันให้ขมาโทษ เป็นลาภของเราหนอ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเกวัฏ เมื่อจะตรัสถามเรื่องการสนทนากับมโหสถบัณฑิตจึงตรัสถามว่า

ดูก่อนอาจารย์เกวัฏ ท่านได้พบกับมโหสถ เป็นอย่างไรหนอ เชิญกล่าวข้อความนั้นเถิด มโหสถกับท่านต่างงดโทษกันแล้วกระมัง มโหสถยินดีแล้วกระมัง

ลำดับนั้น เกวัฏทูลว่า พระองค์อย่าทรงถือมโหสถว่าเป็นบัณฑิตเลยพระเจ้าข้า คนที่ชื่อว่าเป็นอสัตบุรุษยิ่งกว่ามโหสถไม่มี แล้วกล่าวว่า

ข้าแต่พระจอมประชากร บุรุษที่ชื่อมโหสถเป็นคนเลว ไม่น่าชื่นชม กระด้าง มิใช่สัตบุรุษ ไม่พูดอะไรสักคำ เหมือนคนใบ้คล้ายคนหนวก

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำของเกวัฏแล้ว ไม่ทรงยินดี ไม่ทรงคัดค้าน โปรดให้พระราชทานเสบียงและเรือนพักอยู่แก่เกวัฏและเหล่าบริวารที่มาด้วย ทรงส่งเกวัฏไปด้วยรับสั่งว่า เชิญท่านอาจารย์ไปพักผ่อน ดังนี้แล้วทรงดำริว่า มโหสถบุตรของเราเป็นผู้ฉลาดในปฏิสันถาร ได้ยินว่า เขาไม่ได้ทำปฏิสันถารกับเกวัฏเลย ไม่แสดงความยินดี เขาจักเห็นภัยอะไร ๆ ในอนาคต บุตรของเราจักเห็นโทษในการมาของพราหมณ์เกวัฏ ด้วยว่าเกวัฏนี้ เมื่อมา จักมิได้มาเพื่อต้องการสันถวไมตรี แต่แกคงมาเพื่อเล้าโลมเราด้วยกามคุณแล้วพาไปเมืองของตนเอาตัวไว้ บุตรของเราจักเห็นภัยในอนาคตนั้นแล้ว ทรงนึกอยู่อย่างนี้ ก็ทั้งกลัวทั้งสะดุ้งประทับนั่งอยู่ 

เมื่อบัณฑิตทั้ง ๔ คนมาเฝ้า พระราชาตรัสถามเสนกะว่าการที่เราจะไปอุตตรปัญจาลนครนำพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมา ท่านชอบใจอยู่หรือ 

เสนกะกราบทูลว่า พระองค์รับสั่งอะไร พระเจ้าข้า เพราะว่าควรที่พระองค์จะนำสิริซึ่งมาถึงอย่าให้หนีไปเสีย หากพระองค์เสด็จไปกรุงปัญจาละก็จักได้รับพระราชธิดามา กษัตริย์องค์อื่นยกเสียแต่พระเจ้าจุลนีพรหมทัต จักเป็นผู้เสมอด้วยพระองค์ย่อมไม่มีในพื้นสกลชมพูทวีป เพราะอะไร เพราะพระองค์ได้พระราชธิดาของพระราชาผู้เป็นใหญ่มาเป็นมเหสี จริงอยู่ พระเจ้าจุลนีพรหมทัตเป็นพระราชาเลิศในพื้นสกลชมพูทวีป ใคร่จะยกพระราชธิดาผู้ทรงพระรูปโฉมอันอุดมถวายแด่พระองค์ ก็ด้วยทรงเห็นว่า พระราชานอกนี้เป็นคนของเรา พระเจ้าวิเทหราชพระองค์เดียวเสมอเรา ขอพระองค์ทรงทำตามคำของพระเจ้าจุลนีเถิด แม้พวกข้าพระองค์ก็จักได้ผ้าและเครื่องประดับทั้งหลาย เพราะอาศัยพระองค์ 

พระเจ้าวิเทหราชตรัสถามอาจารย์อีก ๓ คนที่เหลือ อาจารย์เหล่านั้นก็กราบทูลเช่นเดียวกัน เมื่อพระราชากำลังรับสั่งอยู่กับอาจารย์ทั้ง ๔ พราหมณ์เกวัฏออกจากเรือนพักรับรองมาถวายบังคมพระราชาด้วยคิดว่า เราจักทูลลาพระราชากลับ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพข้าพระองค์ไม่อาจรอช้า จักทูลลากลับ พระราชาทรงทำสักการะแก่เกวัฏแล้วทรงส่งเขากลับไป 

พระมหาสัตว์รู้ว่าเกวัฏกลับแล้ว จึงอาบน้ำแต่งกายไปเฝ้าพระราชา ถวายบังคมพระราชาแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง พระราชาทรงดำริว่า มโหสถบัณฑิตบุตรเราเป็นผู้มีความคิดมาก ถึงฝั่งแห่งมนต์ ย่อมรู้ข้อความทั้งหลายทั้งในอดีตอนาคตและปัจจุบัน เป็นนักปราชญ์ จักรู้ว่าควรหรือไม่ควรที่เราจะไปในกรุงปัญจาละ พระองค์มิได้ตรัสเรื่องของพระองค์ที่ทรงคิดไว้ก่อน แต่ตรัสถามมโหสถบัณฑิตว่า

พ่อบัณฑิต พวกเรา ๖ คน คือ พราหมณ์เกวัฏ ๑ เรา ๑ และอาจารย์ ๔ คนเหล่านี้ มีมติเสมอกันเป็นเอกฉันท์ทีเดียว ชอบใจการที่พระเจ้าจุลนีนำพระราชธิดามา แต่ว่าความชอบใจของพวกเรานั้นยังเอาเป็นประมาณไม่ได้ เจ้าก็จงแสดงความคิดว่า การที่พวกเราไปปัญจาลนครเพื่อประโยชน์อาวาหมงคล หรือไม่ไปหรืออยู่ในที่นี้เท่านั้น เจ้าชอบอย่างไร

พระมหาสัตว์ได้ฟังพระราชดำรัสดังนั้นจึงคิดว่า พระราชาองค์นี้เป็นผู้ละโมบในกามารมณ์ ถือเอาคำของอาจารย์ ๔ คนเหล่านี้ด้วยความเป็นอันธพาลย่อมไม่ทรงทราบโทษที่จะเสด็จไป เราจักชี้โทษในการเสด็จไป แล้วจักให้กลับพระหฤทัยเสีย คิดฉะนี้แล้วจึงกล่าวว่า

ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงทราบพระเจ้า จุลนีพรหมทัตทรงมีอานุภาพมาก มีพลมาก ประกอบด้วยพลนับได้ ๑๘ อักโขภิณี ก็พระราชานั้นปรารถนาเพื่อปลงพระชนมชีพของพระองค์ ดุจนายพรานฆ่ามฤคด้วยมฤคี ๑ ฉะนั้น

ปลาอยากกินของสดคือเหยื่อ ย่อมกลืนเบ็ดที่คด ซึ่งปกปิดไว้ด้วยเนื้ออันเป็นเหยื่อ มันย่อมไม่รู้จักความ ตายของมัน ๒ ฉันใด ข้าแต่พระราชา พระองค์ทรงปรารถนากาม ย่อมไม่ทรงทราบพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนี เหมือนปลาไม่รู้จักความตายของตน ๓ ฉะนั้น

ถ้าพระองค์เสด็จไปยังปัญจาลนคร จักต้องสละพระองค์ทันที ภัยใหญ่จักถึงพระองค์ ดุจภัยมาถึงมฤค ตัวตามไปถึงทางประตูบ้าน ๔ ฉะนั้น



๑ ได้แก่ แม่เนื้อที่ใช้เป็นตัวล่อเหยื่อ ก็นายพรานฝึกแม่เนื้อตัวหนึ่งแล้วเอาเชือกผูกนำไปป่า พักไว้ในที่พวกเนื้อหากิน แม่เนื้อนั้นต้องการนำเนื้อโง่มาสำนักตน จึงร้องดังยั่วราคะด้วยสัญญาของตน เนื้อโง่แวดล้อมด้วยฝูงเนื้อนอนที่พุ่มไม้ในป่า ได้ฟังเสียงของแม่เนื้อนั้น เกิดมีใจผูกพันลุกออกไป ชูคอเข้าไปหาแม่เนื้อตัวนั้น ยืนให้ความสะดวกอย่างมากแก่นายพราน นายพรานใช้หอกคมกริบแทงเนื้อนั้นให้สิ้นชีวิตในที่นั้นเอง ในเรื่องนั้นพระเจ้าจุลนี เหมือนนายพราน พระราชธิดาของพระองค์เหมือนแม่เนื้อล่าเหยื่อ พราหมณ์เกวัฏเหมือนอาวุธในมือของนายพราน อธิบายว่า นายพรานต้องการฆ่าเนื้อด้วยเนื้อล่อเหยื่อฉันใด พระเจ้าจุลนีต้องการฆ่าพระเจ้าวิเทหราชด้วยพระราชธิดา ฉันนั้น 

๒ปลาแม้อยู่ในน้ำลึกร้อยวาต้องการเหยื่อคือของสดที่เขาเกี่ยวเพื่อปกปิดเบ็ดไว้นั้น กลืนเบ็ดเข้าไปย่อมไม่รู้ว่าเหยื่อนั้นคือความตายของตน 

๓พระองค์ทรงปรารถนากามย่อมไม่ทรงทราบว่าพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีนั้นเป็นเช่นกับเหยื่อที่พรานเบ็ด คือพระเจ้าจุลนีทรงวางเพื่อปกปิดเบ็ด คือคำพูดของพราหมณ์เกวัฏไว้ เหมือนปลาไม่รู้ว่าเหยื่อ คือความตายของมัน 

๔ถ้าพระองค์เสด็จไปยังอุตตรปัญจาลนคร ภัยใหญ่จักมาถึงพระองค์ เหมือนเนื้อตัวที่เดินเข้าไปในหมู่บ้าน เมื่อพวกมนุษย์ถืออาวุธออกจากบ้านเพื่อล่าเนื้อ เห็นเนื้อนั้นเข้าก็ย่อมฆ่าเนื้อนั้นเสีย ฉันใด มรณภัยใหญ่จักมาถึงพระองค์เมื่อเสด็จอุตตรปัญจาลนคร ฉันนั้น พระมหาสัตว์ทูลข่มพระราชาด้วยประการฉะนี้

พระเจ้าวิเทหราชถูกพระมหาสัตว์ข่มอย่างเหลือเกินทีเดียว ก็ทรงพิโรธว่า มโหสถนี้หมิ่นเราดุจทาสของตน ไม่สำคัญว่าเราเป็นพระราชา รู้ราชสาสน์ที่พระอัครราชส่งมาสำนักเราว่า จักประทานพระราชธิดาดังนี้แล้ว ไม่กล่าวคำประกอบด้วยมงคลแม้คำหนึ่ง กลับมากล่าวกะเราว่า เป็นเหมือนเนื้อโง่ เป็นเหมือนปลากลืนเบ็ด และเป็นเหมือนเนื้อเดินตามทางถึงประตูบ้านจักถึงความตาย ครั้นกริ้วแล้วได้ตรัสบริภาษว่า มโหสถเป็นบุตรคฤหบดีย่อมโตมาด้วยการถือคันไถไถนาตั้งแต่เป็นหนุ่มเท่านั้น จึงย่อมรู้งานของบุตรคฤหบดีเท่านั้น ย่อมไม่รู้งานที่เป็นมงคลของกษัตริย์ทั้งหลาย ส่วนคนอื่น ๆ คืออาจารย์เกวัฏหรืออาจารย์เสนกะเป็นต้น รู้จักความเจริญคือมงคลของกษัตริย์เหล่านี้ ส่วนมโหสถจะรู้จักมงคลเหล่านั้นละหรือ 

ครั้นพระเจ้าวิเทหราชด่าบริภาษมโหสถแล้วตรัสว่า บุตรคฤหบดีทำอันตรายแห่งมงคลแก่เรา ท่านทั้งหลายจงนำเขาออกไปเสีย 

มโหสถรู้ว่า พระราชากริ้ว จึงคิดว่า หากว่าใครอื่นทำตามพระราชดำรัสจับมือหรือมาจับคอเรา นั่นไม่ควรแก่เรา เราจะอับอายไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น เราจักออกไปเสียเอง คิดฉะนี้แล้วจึงถวายบังคมพระราชา ลุกจากที่นั่งกลับไปสู่เคหสถานแห่งตน 

ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชรับสั่งดังนั้น ด้วยอำนาจพระพิโรธเท่านั้น หาได้ตรัสสั่งใคร ๆ ให้ทำดังนั้นไม่ เพราะพระองค์มีพระทัยเคารพในพระโพธิสัตว์ 

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์คิดว่า พระราชาองค์นี้เป็นอันธพาลเกินเปรียบ ไม่ทรงทราบถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือสิ่งที่มิใช่ประโยชน์ พระองค์เป็นผู้ปรารถนาในกาม ทรงทราบแต่ว่า จักได้พระราชธิดาของพระเจ้าจุลนี แต่หาทรงคำนึงถึงภัยในอนาคตไม่ เมื่อเสด็จไปกรุงปัญจาละก็จักถึงความพินาศใหญ่ แต่เราก็ไม่ควรที่จะเอาสิ่งที่พระราชาตรัสนั่นมาเก็บไว้ในใจ เพราะพระองค์ทรงมีพระอุปการะแก่เรามาก พระราชทานยศใหญ่แก่เรา เราควรจะหาทางช่วยเหลือพระองค์ แล้วดำริต่อไปว่า เราจักส่งสุวโปดกไปสืบหาความจริงก่อน แล้วจักไปด้วยตนเองในภายหลัง ครั้นดำริฉะนี้แล้ว

มโหสถจึงเรียกสุวโปดกมาพร้อมกับกล่าวว่า มานี่สหาย เจ้าจงขวนขวายทำกิจของเราอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้อื่นที่เป็นมนุษย์ไม่อาจทำได้ 

นกสุวบัณฑิตก็บินมาจับที่ตักแล้วถามว่า จะให้ข้าพเจ้าทำอะไร นาย 

มโหสถก็กล่าวว่า สหาย คนอื่นเว้นพระเจ้าจุลนีและพราหมณ์เกวัฏ ย่อมไม่รู้เหตุที่พราหมณ์เกวัฏมาโดยความเป็นทูต คนสองคนเท่านั้นนั่งปรึกษากันในห้องบรรทมของพระเจ้าจุลนี แต่มีนางนกสาลิกาที่พระเจ้าปัญจาลราชนั้นเลี้ยงไว้ในที่บรรทม ได้ยินว่า นางนกสาลิกานั้นรู้ความลับนั้น เจ้าจงไปในที่นั้น ทำความคุ้นเคยประกอบด้วยเมถุนกับนางนกสาลิกานั้น ถามความลับของพระเจ้าจุลนีและพราหมณ์เกวัฏ กะนางนกสาลิกานั้นโดยพิสดาร จงถามนางนกสาลิกานั้นในสถานที่มิดชิด อย่างที่ใคร ๆ อื่นจะไม่รู้เรื่องนั้น ก็ถ้าใครได้ยินเสียงของเจ้า ชีวิตของเจ้าจะไม่มี ฉะนั้น เจ้าจงถามค่อย ๆ ในที่มิดชิด 

สุวโปดกนั้นรับคำของมโหสถ ไหว้พระมหาสัตว์ ทำประทักษิณแล้วบินออกทางสีหบัญชรที่เปิดไว้ ไปนครชื่ออริฏฐปุระในแคว้นสีพี ด้วยความเร็วปานลม ไปสำนักของนางนกสาลิกาเมื่อถึงแล้วสุวโปดกนั้นจับที่ยอดแหลมอันเป็นทองของพระราชนิเวศน์ ส่งเสียงอย่างไพเราะ เป็นสัญญาให้รู้ว่าฉันจักไปหา นางนกสาลิกานั้นเมื่อได้ยินเสียงของสุวโปดกแล้ว ก็จับที่สุวรรณบัญชรใกล้ที่บรรทมของพระราชา มีจิตกำหนัดด้วยราคะ ส่งเสียงรับสามครั้ง สุวโปดกบินไปหน่อยหนึ่งส่งเสียงบ่อย ๆ เกาะที่ธรณีสีหบัญชรโดยลำดับ ตามกระแสเสียงที่นางนกสาลิกากระทำ ตรวจดูว่าไม่มีอันตราย บินไปสำนักของนางนกสาลิกานั้น นางนกสาลิกาได้กล่าวกะสุวโปดกในที่นี้ว่า มาเถิดสหาย จงจับที่สุวรรณบัญชร สุวโปดกก็บินไปจับ แล้วนางนกสาลิกาก็ถามว่า

ดูก่อนสหาย ท่านมาแต่ไหน หรือว่าใครใช้ท่านมา ก่อนแต่นี้ฉันไม่เคยเห็นท่าน หรือเคยได้ยินเสียงของท่านเลย

สุวโปดกได้ฟังคำของนางนกสาลิกาแล้ว คิดว่า ถ้าเราบอกว่ามาแต่มิถิลา นางนกสาลิกานี้แม้จะตาย ก็จักไม่ยอมทำความคุ้นเคยกับเรา ฉะนั้นเราจักทำมุสาวาทกล่าวว่าพระเจ้าสีวิราชทรงส่งมาแต่ที่นั้น คิดฉะนี้แล้วจึงกล่าวว่า

ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่เขาเลี้ยงไว้ในที่บรรทม บนปราสาทของพระเจ้าสีวิราช พระราชาพระองค์นั้นเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม โปรดให้ปล่อยสัตว์ทั้งหลายที่ถูกขังจากที่ขังนั้น ๆ

ลำดับนั้น นางนกสาลิกาจึงให้ข้าวตอกคลุกน้ำผึ้ง ที่วางอยู่ในกระเช้าทองและน้ำผึ้งแก่สุวโปดก แล้วถามว่า แน่ะสหาย ท่านมาแต่ที่ไกล มาในที่นี้เพื่อประสงค์อะไร สุวโปดกได้ฟังคำนางนกสาลิกา ใคร่จะฟังความลับจึงมุสาวาทกล่าวว่า

นางนกสาลิกาภรรยาของฉันได้ถูกเหยี่ยวฆ่าเสียต่อหน้าฉัน

ลำดับนั้น นางนกสาลิกาถามสุวโปดกว่า ก็อย่างไรเหยี่ยวจึงได้ฆ่าภรรยาของท่านเสีย 

สุวโปดกจึงกล่าวว่า เธอจงฟัง วันหนึ่งพระราชาของฉันเสด็จไปเล่นน้ำ ตรัสเรียกฉันไปตามเสด็จ ฉันจึงพาภรรยาไปตามเสด็จ เล่นน้ำกลับมากับพระราชานั้น ขึ้นปราสาทกับพระองค์พาภรรยาออกมาจากกรง จับอยู่ที่โพรงตำหนักยอดเพื่อผึ่งสรีระ ขณะนั้นมีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินมาเพื่อโฉบเราทั้งสองผู้ออกจากตำหนักยอด ฉันกลัวแต่ภัยคือความตายบินหนีโดยเร็ว แต่นางนกสาลิกาคราวนั้นมีครรภ์แก่ เพราะฉะนั้น นางจึงไม่อาจหนี ทีนั้นเหยี่ยวก็ยังนางให้ตายต่อหน้าฉัน ผู้เห็นอยู่แล้วพาหนีไปทีนั้นพระราชาของฉันทอดพระเนตรเห็นฉันร้องไห้ด้วยความโศกถึงนาง จึงตรัสถามว่า เจ้าร้องไห้ทำไม ได้ทรงฟังความข้อนั้นแล้วรับสั่งว่า พอละเจ้าอย่าร้องไห้ จงแสวงหาภรรยาอื่น เมื่อฉันได้ฟังรับสั่งจึงกราบทูลว่า ประโยชน์อะไรด้วยภรรยาอื่น ผู้ไม่มีอาจารมรรยาท ไม่มีศีล แม้ที่นำมาแล้ว ผู้เดียวเที่ยวไปดีกว่า รับสั่งว่า แน่ะสหาย ข้าเห็นนางนกสาลิกาตัวหนึ่ง ถึงพร้อมด้วยศีลาจารวัตรเช่นกับภรรยาของเจ้า ก็นางนกสาลิกาเห็นปานนี้ เขาเลี้ยงไว้ในที่บรรทมของพระเจ้าจุลนีมีอยู่ เจ้าจงไปในที่นั้น ถามใจของเขาดู ให้เขาทำโอกาส ถ้าเจ้าชอบใจเขา จงมาบอกแก่เรา ภายหลังเราหรือพระเทวีจักไปนำนางนั้นมาด้วยบริวารใหญ่ ตรัสฉะนี้แล้วทรงส่งฉันมาในที่นี้ ฉันจึงมาด้วยเหตุนั้น 

กล่าวฉะนี้แล้วสุวโปดกจึงกล่าวว่า

ฉันรักใคร่ต่อเธอจึงมาในสำนักของเธอ ถ้าเธอพึงให้โอกาส เราทั้งสองก็จะได้อยู่ร่วมกัน

นางนกสาลิกาได้ฟังคำของสุวโปดกก็ดีใจ แต่ยังไม่ให้สุวโปดกรู้ว่าตนปรารถนา ทำเป็นไม่ปรารถนากล่าวว่า

นกแขกเต้า ก็พึงรักใคร่กับนางนกแขกเต้า นกสาลิกา ก็พึงรักใคร่กับนางนกสาลิกา การที่นกแขกเต้าจะอยู่ร่วมกับนางนกสาลิกาดูกระไรอยู่

สุวโปดกได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า นางนกสาลิกานี้หาได้ห้ามเราไม่ คงจักปรารถนาเราเป็นแน่ เราจักให้นางนกสาลิกานี้เชื่อถือเราด้วยอุปมาต่าง ๆ คิดฉะนี้แล้ว จึงกล่าวว่า การอยู่ร่วมกัน ทุกอย่างย่อมเป็นเช่นเดียวกันทั้งนั้นเพราะมีจิตเป็นเช่นเดียวกัน ในเรื่องกาม จิตเท่านั้นเป็นใหญ่ ชาติกำเนิดหาเป็นใหญ่ไม่

ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว สุวบัณฑิตเมื่อจะนำเรื่องแต่ก่อนเก่ามาเล่าให้นางนกสาลิกาฟังเพื่อแสดงว่าความที่ชาติกำเนิดต่างกันไม่เป็นเรื่องใหญ่ โดยยกตัวอย่างในหมู่มนุษย์ก่อน จึงกล่าวยกตัวอย่างว่า พระเจ้าวาสุเทพ วันหนึ่งได้เสด็จออกจากกรุงทวารวดี เพื่อประพาสพระราชอุทยาน ระหว่างทางได้ทอดพระเนตรเห็นกุมาริการูปงามคนหนึ่งเป็นจัณฑาล มาจากหมู่บ้านคนจัณฑาลเดินเข้าสู่พระนครด้วยธุระบางอย่าง ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง พระองค์เห็นนางแล้วก็มีจิตปฏิพัทธ์ มีรับสั่งให้ถามว่า ชาติอะไร แม้ได้สดับว่า ชาติจัณฑาลก็ยังมีรับสั่งให้ถามว่า มีสามีหรือไม่ ทรงสดับว่ายังไม่มีสามี จึงพานางกุมาริกานั้นไปจากที่นั้นทีเดียว นำไปพระราชนิเวศน์ ทรงตั้งเป็นอัครมเหสี

สุวบัณฑิตนำอุทาหรณ์นี้มาอย่างนี้แล้วกล่าวว่า กษัตริย์แม้ยิ่งใหญ่ปานนี้ยังสำเร็จสังวาสกับหญิงจัณฑาล ใครจะมาว่าอะไรในเราทั้งสอง ซึ่งเป็นเพียงสัตว์ดิรัจฉานเล่า ความชอบใจในการร่วมประเวณีกันและกันต่างหาก เป็นข้อสำคัญกล่าวฉะนี้แล้ว เมื่อจะชักอุทาหรณ์อื่นมาอีก จึงเล่าเรื่องที่นางกินรีชื่อรัตนวดีได้ร่วมรักกะดาบสชื่อวัจฉะว่า

ในอดีตกาล มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อวัจฉะ เห็นโทษในกามทั้งหลาย จึงละทิ้งบ้านเรือนออกบวชเป็นฤๅษี สร้างบรรณศาลาอยู่ ณ หิมวันตประเทศ ใกล้บรรณศาลาของฤๅษีนั้น มีถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกินนรเป็นจำนวนมากอาศัยอยู่ แต่ที่ปากประตูถ้ำนั้น มีแมลงมุมตัวหนึ่งอยู่ มันได้กัดศีรษะของกินนรเหล่านั้นดื่มกินโลหิต 

ธรรดากินนรทั้งหลายหากำลังมิได้ เป็นชาติขลาด และแมลงมุมตัวนั้นก็ใหญ่โตมาก กินนรทั้งหลายไม่อาจจะทำอะไรมันได้จึงเข้าไปหาดาบสนั้น ทำปฏิสันถาร แล้วดาบสถามถึงเหตุที่มา จึงพากันบอกว่า มีแมลงมุมตัวหนึ่งประหารชีวิตของพวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าไม่เห็นผู้อื่นจะเป็นที่พึ่งได้ ขอท่านจงฆ่ามันเสีย ทำความสวัสดีแก่พวกข้าพเจ้า ดาบสได้ฟังคำดังนั้นก็รุกรานว่า พวกเองจงไปเสีย บรรพชิตทั้งหลายเช่นเราไม่ทำปาณาติบาต

บรรดากินนรเหล่านั้น มีกินรีชื่อรัตนาวดี ยังไม่มีผัว กินนรเหล่านั้นจึงตกแต่งกินรีรัตนวดีนั้น แล้วพาไปหาดาบส กล่าวว่า กินรีนี้จงเป็นผู้บำเรอเท้าท่าน ท่านจงฆ่าปัจจามิตรของพวกเราเสีย ดาบสเห็นกินรีรัตนวดีก็มีจิตปฏิพัทธ์ จึงสำเร็จร่วมอภิรมย์กับกินรีนั้นแล้วไปยืนที่ประตูถ้ำ ตีแมลงมุมที่ออกมาหากินด้วยค้อนให้สิ้นชีวิต ดาบสนั้นอยู่สมัครสังวาสกับกินรีนั้นมีบุตรธิดาแล้วทำกาลกิริยา ณ ที่นั้นแล 

สุวโปดกนำอุทาหรณ์นี้มา เมื่อจะแสดงว่า วัจฉดาบสเป็นมนุษย์ยังสำเร็จสังวาสกับกินรีนั้นผู้เป็นดิรัจฉานได้ จะกล่าวไยถึงเราทั้งสองซึ่งเป็นนก เป็นดิรัจฉานด้วยกันจะร่วมสังวาสกันไม่ได้เล่า

นางนกสาลิกานั้น ได้ฟังคำของสุวโปดกแล้ว กล่าวว่า ข้าแต่นาย ขึ้นชื่อว่าจิตจะมั่นคงเป็นอย่างเดียวไปตลอดกาล ย่อมไม่มี ฉันกลัวแต่ความพลัดพรากจากท่านที่รักจ้ะ

สุวบัณฑิตนั้นเป็นผู้ฉลาดในมายาสตรี ฉะนั้นเมื่อจะทดสอบใจของนางนกสาลิกา จึงกล่าวอีกว่า

คำที่เธอกล่าวทั้งหมดนั้น ทำให้ฉันได้รู้ประจักษ์ เธอล่วงเกินดูหมิ่นฉันว่า นกแขกเต้านี้ย่อมมีแต่ความปรารถนาเท่านั้น เธอไม่รู้สารสำคัญของฉัน พระราชาก็ชื่นชมฉัน ฉันหาภรรยาได้ไม่ยาก ฉันจักแสวงหานกตัวอื่นเป็นภรรยา ฉันจักไปละ

นางนกสาลิกาได้ฟังคำของสุวโปดกร้อนตัว ได้กล่าวว่า

แน่ะสหายสุวบัณฑิตมงคลย่อมไม่มีแก่ผู้ใจร้อน งานที่ผู้ใจร้อนกระทำย่อมไม่งาม ขึ้นชื่อว่าการครองเรือนนั้นหนักยิ่ง ต้องคิดพิจารณาก่อนจึงทำ ขอเชิญท่านอยู่ในที่นี้ จนกว่าจะได้เห็นพระราชาของพวกเราผู้ประกอบด้วยยศใหญ่ 

ท่านจักได้ฟังเสียงตะโพนเสียงขับร้องและเสียงประโคมดนตรีอื่น ๆ ที่เหล่านารีผู้มีรูปโฉมอุดม มีลีลาเสมอด้วยกินรี บรรเลงอยู่ในเวลาสายัณห์ และจักได้เห็นอานุภาพและสิริโสภาคอันยิ่งใหญ่ของพระราชา ท่านจะด่วนไปทำไมเล่าสหาย แม้ข้ออ้างท่านก็ยังไม่รู้ อยู่ก่อนเถิด ฉันจักให้รู้จักภายหลัง

ลำดับนั้น นกทั้งสองก็กระทำเมถุนสังวาสในสายัณหสมัยนั้นเอง มีความสามัคคีบันเทิงอยู่ร่วมเป็นที่รักกัน ครานั้นสุวโปดกคิดว่า บัดนี้นางนกสาลิกาจักไม่ซ่อนความลับแก่เรา ควรที่เราจักถามนางแล้วจึงไป จึงกล่าวว่า แน่ะสาลิกา 

อะไรหรือนาย 

ฉันอยากจะถามอะไรเจ้าสักหน่อย 

ถามเถิดนาย

เรื่องนั้นงดไว้ก่อน วันนี้เป็นวันมงคลของเรา ไว้วันอื่นฉันจักถาม

นางนกสาริกากล่าวว่า ถ้าคำที่ถามประกอบด้วยมงคล ก็จงถาม ถ้ามิใช่ ก็อย่าเพิ่งถาม

สุวบัณฑิตตอบว่า กถานั้นเป็นมงคลกถา ที่รัก

ถ้าเช่นนั้นก็จงถามเถิด

ลำดับนั้นสุวบัณฑิตกล่าวว่า ถ้าเธออยากฟังเรื่องนั้น ฉันก็จักกล่าวแก่เธอ แล้วจึงถามว่า

มีเสียงเล่าลือกันไปทั่ว จนถึงรัฐอื่น ชนบทอื่นว่า พระเจ้าปัญจาลราชจักประทานพระราชธิดาผู้มีพระฉวีวรรณเสมอด้วยดาวประกายพรึกนั้นแก่พระเจ้าวิเทหราช

ฉันได้ฟังเสียงที่ลือกันไปอย่างนี้นั้น จึงคิดว่า พระราชธิดานี้ทรงพระรูปโฉมอันงาม และพระเจ้าวิเทหราชก็เป็นข้าศึกของพระเจ้าจุลนี พระราชาอื่น ๆ ที่อยู่ในอำนาจของพระเจ้าจุลนีพรหมทัตก็มีอยู่เป็นอันมาก เหตุไรพระเจ้าจุลนีจึงไม่ประทานแก่พระราชาเหล่านั้น กลับจะประทานพระราชธิดาแก่พระเจ้าวิเทหราชเสีย

นางนกสาลิกาได้ฟังคำของสุวบัณฑิตนั้นแล้ว จึงกล่าวอย่างนี้ว่า นาย เพราะเหตุไรท่านจึงกล่าวอวมงคลในวันมงคล

สุวโปดกจึงย้อนถามว่า ฉันกล่าวว่ามงคล เธอกล่าวว่าอวมงคล นี่อะไรกัน

นาย การทำมงคลเห็นปานนี้จงอย่าได้มีแก่ชนเหล่านั้นแม้เป็นอมิตร

สุวโปดกให้นางนกสาสิกาเล่ารายละเอียด

นางนกสาลิกาว่า ไม่กล้าพูด

สุวโปดกจึงว่า ที่รัก ถ้าเธอบอกความลับที่เธอรู้แก่ฉันไม่ได้ ก็จักไม่มีการร่วมอภิรมย์กันฉันสามีภรรยาอีกต่อไป

นางนกสาลิกาถูกสุวโปดกแค่นไค้นักก็กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง แล้วกล่าวว่า

เมื่อใดที่พระเจ้าวิเทหราชเสด็จมาพระนครนี้ เมื่อนั้นพระเจ้าจุลนีจักไม่ประทานพระราชธิดาแก่พระเจ้าวิเทหราชนั้นแม้เพื่อจะให้ทอดพระเนตร ได้ยินว่า พระเจ้าวิเทหราชนั้นมีบัณฑิตอยู่คนหนึ่งชื่อมโหสถบัณฑิต พระเจ้าจุลนีจักฆ่ามโหสถนั้นพร้อมกับพระเจ้าวิเทหราช พราหมณ์เกวัฏปรึกษากับพระเจ้าจุลนีว่า เราจักฆ่าคนทั้งสองนั้นเสียแล้วดื่มชัยบาน จึงไปกรุงมิถิลาเพื่อจับมโหสถนั้นมา

นางนกสาลิกาบอกความลับแก่สุวบัณฑิตโดยไม่เหลือ ด้วยประการฉะนี้ สุวบัณฑิตได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงกล่าวชมเกวัฏว่า อาจารย์เกวัฏเป็นคนฉลาดในอุบาย การฆ่าพระเจ้าวิเทหราชเสียด้วยอุบายอย่างนี้น่าอัศจรรย์ แล้วกล่าวว่า ประโยชน์อะไรด้วยอวมงคลเช่นนี้แก่เรา นิ่งเสีย นอนกันเถิด

เมื่อภารกิจที่รับมอบหมายมาได้สำเร็จลงแล้ว นกสุวโปดกอยู่กับนางนกสาลิกานั้นในราตรีนั้น แล้วกล่าวว่าที่รัก ฉันจักไปแคว้นสีวี ทูลความที่ฉันได้ภรรยาที่ชอบใจ แด่พระเจ้าสีวีและพระเทวี แล้วกล่าวเพื่อให้นางนกสาลิกาอนุญาตให้ตนไปว่า

เอาเถิด เธอจงอนุญาตให้ฉันไปสัก ๗ ราตรีเพียงให้ฉันได้กราบทูลพระเจ้าสีวิราชและพระมเหสีว่าฉันได้อยู่ในสำนักของนางนกสาลิกาแล้ว.ในวันที่ ๘ จักกลับมาที่นี้ จักพาเธอไปด้วยบริวารใหญ่ เธออย่าได้กระวนกระวายจนกว่าฉันจะมา

นางนกสาลิกาได้ฟังดังนั้น ไม่ปรารถนาจะแยกกับสุวโปดกเลย แต่ไม่อาจจะปฏิเสธคำของเขาได้ จึงกล่าวว่า

เอาเถิด ฉันอนุญาตให้ท่านไปประมาณ ๗ ราตรี ถ้าท่านไม่กลับมาหาฉันภายใน ๗ ราตรี ฉันจะสำคัญตัวฉันว่าหยั่งลงแล้ว สงบแล้ว ท่านจักมาในเมื่อฉันตายแล้ว

ฝ่ายสุวบัณฑิตกล่าวด้วยวาจาว่า ที่รัก เธอพูดอะไร แม้ตัวฉันเองถ้าไม่ได้เห็นเธอในวันที่ ๘ ก็จะมีชีวิตอยู่ที่ไหนได้ แต่ใจคิดว่า เจ้าจะเป็นหรือตาย ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่เรา แล้วก็บินขึ้นบ่ายหน้าไปสีวีรัฐ ไปได้หน่อยหนึ่งยังกลับมาสำนักของนางนกสาลิกานั้นอีก กล่าวว่า ที่รัก ฉันไม่เห็นรูปสิริของเธอ ไม่อาจจะทิ้งเธอไปได้ ฉะนั้น ฉันจึงกลับมา กล่าวฉะนี้แล้วบินขึ้นอีก ไปกรุงมิถิลา ลงจับที่จะงอยบ่ามโหสถบัณฑิต พระมหาสัตว์เห็นสัญญาณดังนั้นก็รู้ว่าสุวโปดกมีเรื่องลับจะมาบอกจึงอุ้มขึ้นไปบนปราสาทแล้วไต่ถาม สุวโปดกจึงแจ้งเรื่องนั้นทั้งหมดแก่มโหสถ ฝ่ายมโหสถก็ได้ให้สิ่งตอบแทนความชอบแก่สุวโปดกนั้นโดยนัยก่อนนั่นแล

พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงดำริว่า เมื่อเราไม่อยากให้เสด็จ พระราชาก็จักเสด็จ แต่ถ้าเสด็จไปแล้วก็จักพบกับความพินาศอย่างใหญ่หลวง เรานั้นเมื่อพระราชาประทานยศเห็นปานนี้ ถ้าเราไม่ปกป้องพระองค์ ก็จะเกิดข้อครหาแก่เรา เพราะฉะนั้นเราจะล่วงหน้าไปก่อน เข้าเฝ้าพระเจ้าจุลนีแล้วสร้างนครให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าวิเทหราช จัดแจงพระนครนั้นให้เป็นนครที่ดีแล้ว ให้ทำอุโมงค์เป็นทางเดินยาวราว ๑ คาวุต อุโมงค์ใหญ่ราวกึ่งโยชน์ แล้วอภิเษกพระนางปัญจาลจันทีราชธิดาของพระเจ้าจุลนีพรหมทัต ให้เป็นบาทบริจาริกาแห่งพระราชาของเรา และในเมื่อพระราชาร้อยเอ็ดพร้อมด้วยพลนิกาย ๑๘ อักโขภิณีแวดล้อมอยู่นั้นเอง เราก็จักปลดเปลื้องพระราชาของเราให้พ้นจากอันตรายไป ดุจเปลื้องดวงจันทร์จากปากอสุรินทรราหูฉะนั้น แล้วจักพาเสด็จสู่พระนครมิถิลา

ครั้นดำริดังนี้แล้ว ก็อาบน้ำแต่งตัวไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช ถวายบังคมแล้วยืน ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์จักเสด็จไปอุตตรปัญจาลนครหรือ

พระราชาตรัสตอบว่า เออ จะไป เมื่อเราไม่ได้นางปัญจาลจันที จะต้องการอะไรด้วยราชสมบัติ เจ้าอย่าทิ้งเรา จงไปกับเรา ประโยชน์ ๒ ประการ คือเราได้นารีรัตนะและราชไมตรีของพระเจ้าจุลนีกับเราจักตั้งมั่น จักสำเร็จเพราะเหตุเราทั้งสองไปในกรุงปัญจาละนั้น

ลำดับนั้นมโหสถเมื่อจะทูลว่า ถ้าอย่างนั้น ข้าพระองค์จักไปก่อน เพื่อสร้างพระราชนิเวศน์ถวาย พระองค์ควรเสด็จไปในเมื่อข้าพระองค์ส่งข่าวมากราบทูล

พระเจ้าวิเทหราชเมื่อได้ทรงสดับดังนั้น ก็ทั้งทรงร่าเริง ทั้งทรงโสมนัสด้วยเข้าพระหฤทัยว่า มโหสถไม่ทิ้งเราจึงดำรัสว่า แน่ะพ่อมโหสถ เมื่อพ่อไปก่อน พ่ออยากจะได้อะไรไปบ้าง

มโหสถกราบทูลตอบว่าต้องการพลและพาหนะไปด้วย

พระเจ้าวิเทหราชจึงตรัสว่า พ่อปรารถนาสิ่งใด จงเอาสิ่งนั้นไป

มโหสถจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์โปรดให้เปิดเรือนจำ ๔ เรือน ให้ถอดเครื่องจำคือ โซ่ตรวนแห่งโจรทั้งหลายส่งไปกับข้าพระองค์

ครั้นพระราชทานพระราชานุญาตแล้ว มโหสถจึงให้เปิดเรือนจำ ให้พวกโจรที่กล้า เป็นทหารใหญ่ ผู้สามารถทำกิจการที่มอบหมายไปแล้วให้สำเร็จได้ แล้วกล่าวว่า เจ้าทั้งหลายจงช่วยเหลือเราแล้ว ให้สิ่งของแก่ชนเหล่านั้น แล้วพาเสนา ๑๘ เหล่าผู้ฉลาดในศิลปะต่าง ๆ มีช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างหนัง ช่างศิลา ช่างเขียน ช่างอิฐเป็นต้นไป ให้เอาเครื่องอุปกรณ์เป็นอันมาก มีมีด ขวาน จอบ เสียมเป็นต้นไปด้วย เป็นผู้มีกองพลใหญ่ ห้อมล้อมออกจากนครไป

ฝ่ายพระมหาสัตว์เมื่อเดินทางไปในนั้น ก็ให้สร้างหมู่บ้านหมู่หนึ่งในระยะทางโยชน์หนึ่ง ๆ แล้วกล่าวกะอำมาตย์คนหนึ่ง ๆ ว่า ท่านทั้งหลายจงเตรียมจัดช้างม้าและรถไว้ที่หมู่บ้านนี้ ในเวลาที่พระเจ้าวิเทหราชรับพระนางปัญจาลจันทีกลับมาแล้ว คอยป้องกันอย่าให้เหล่าศัตรูประทุษร้ายพระองค์ได้ แล้วรีบส่งเสด็จให้ถึงกรุงมิถิลาโดยเร็ว สั่งฉะนี้แล้ววางอำมาตย์คนหนึ่ง ๆ ไว้

ก็ครั้นมโหสถไปถึงฝั่งแม่น้ำ จึงเรียกอำมาตย์ชื่ออานันทกุมารมาสั่งว่า ดูก่อนอานันทะ ท่านจงพาช่างไม้ ๓๐๐ คนไปเหนือแม่น้ำ ให้สร้างเรือประมาณ ๓๐๐ ลำแล้วถากไม้ในที่นั้นนั่นแหละ บันทุกไม้เบา ๆ ในเรือเอามาโดยพลัน เพื่อต้องการสร้างเมือง

มโหสถเองเมื่อสั่งอานันทกุมารแล้วก็ขึ้นเรือข้ามฟากไปฝั่งโน้น กำหนดนับทางด้วยเท้าก้าวไปนับแต่สถานที่ขึ้นจากเรือ ก็กำหนดวางแผนไว้ว่า ที่นี้กึ่งโยชน์ อุโมงค์ใหญ่จักมีในที่นี้ นครที่ตั้งพระราชนิเวศน์แห่งพระเจ้าวิเทหราชจักมีในที่นี้ นับแต่พระราชนิเวศน์นี้ อุโมงค์เป็นทางเดินจักมีในที่ราว ๑ คาวุตจนถึงพระราชมณเฑียร วางแผนไว้ฉะนี้แล้วเข้าไปสู่กรุงอุตตรปัญจาละ

พระเจ้าจุลนีทรงสดับว่ามโหสถมาถึงก็ทรงโสมนัสยิ่งว่า บัดนี้ความปรารถนาของเราจักสำเร็จ เราจักได้แก้แค้นเหล่าปัจจามิตร เมื่อมโหสถมา พระเจ้าวิเทหราชก็คงจักมาในไม่ช้า ทีนั้นเราจักฆ่าศัตรูทั้งสองเสีย เสวยราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น

เมื่อมโหสถเข้าสู่กรุงอุตตรปัญจาละนั้น ทั่วทั้งเมืองก็เอิกเกริกโกลาหล ต่างก็มาดูด้วยได้ยินว่า ผู้นี้ชื่อมโหสถบัณฑิต ได้ยินว่าพระราชาร้อยเอ็ดพระนครได้ถูกมโหสถนี้ทำให้หนีไป ราวกะบุคคลไล่กาให้หนีไปด้วยก้อนดิน ในขณะที่ชาวเมืองดูชมรูปสมบัติของตนอยู่นั้นเอง พระมหาสัตว์ก็ไปสู่พระทวารแห่งพระราชวังของพระเจ้าจุลนี ให้เจ้าพนักงานกราบทูลพระเจ้าจุลนีให้ทรงทราบถึงการที่ตนได้มาถึงเพื่อขอเข้าเฝ้า ครั้นได้รับพระราชานุญาตให้เข้าเฝ้า จึงเข้าไปถวายบังคมพระราชายืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง

ลำดับนั้น พระเจ้าจุลนีทรงทำปฏิสันถารตรัสถามมโหสถว่า พระราชาของเจ้าจักเสด็จมาเมื่อไร

มโหสถทูลว่า จักเสด็จมาในกาลเมื่อข้าพระองค์ส่งข่าวไปทูล

พระเจ้าจุลนีตรัสถามว่า ก็ตัวเจ้ามาเพื่อประโยชน์อะไร

มโหสถทูลว่า มาเพื่อสร้างพระราชนิเวศน์แห่งพระราชา ของข้าพระองค์

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า ดีแล้ว แต่นั้นก็โปรดให้พระราชทานเสบียงแก่เสนาของมโหสถ และพระราชทานเรือนที่อยู่และสิ่งของเป็นอันมากแก่มโหสถแล้วตรัสว่า แน่ะพ่อ เจ้าอย่าเดือดร้อน จงทำราชการที่ควรทำอยู่กับข้าจนกว่าพระราชาของเจ้าจะเสด็จมา

ได้ยินว่า ขณะที่มโหสถเข้าไปสู่พระราชนิเวศน์นั้น เมื่อยืนอยู่ที่เชิงบันไดของพระหมาปราสาทก็ได้กำหนดไว้ว่า ประตูอุโมงค์ที่จะใช้เป็นทางเดินจักต้องอยู่ตรงนี้ ความปริวิตกได้มีแก่มโหสถว่า เมื่อจะขุดอุโมงตรงนี้แล้วทำอย่างไรบันไดนี้จึงจะไม่ทรุดลงไป ครั้นเมื่อพระเจ้าจุลนีตรัสว่า เจ้าจงทำกิจที่ควรทำแก่พวกเราบ้าง ลำดับนั้น มโหสถเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงกราบทูลพระเจ้าจุลนีอย่างนี้ว่า ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อข้าพระองค์เข้ามาเฝ้ายืนอยู่ที่เชิงบันได ตรวจดูนวกรรมในที่นี้ เห็นโทษที่บันไดใหญ่ ถ้าข้อความที่กราบทูลนี้ชอบด้วยพระราชดำริ ข้าพระองค์จะเอาไม้ทั้งหลายมาปูลาดลงให้เป็นที่พอใจ

พระเจ้าจุลนีทรงอนุญาต

มโหสถนั้นได้วางแผนไว้อย่างดีแล้วว่า ช่องประตูอุโมงค์จักสร้างในที่นี้ จึงให้นำบันไดออกเสีย ให้ปูลาดแผ่นกระดานเพื่อต้องการมิให้มีฝุ่นในที่ที่จะเป็นประตูอุโมงค์ แล้วทำบันไดไว้ตามเดิม มิให้ทรุดลงได้เมื่อขุดอุโมงค์

เมื่อพระราชาไม่ทรงทราบถึงเหตุที่มโหสถได้วางแผนไว้ก็เข้าพระหฤทัยว่า มโหสถทำด้วยความภักดีในพระองค์ มโหสถให้ทำนวกรรมตลอดวันนั้นอย่างนี้แล้ว รุ่งขึ้นจึงกราบทูลพระเจ้าจุลนีว่า ข้าแต่สมมติเทพถ้าข้าพระองค์พึงเลือกหาสถานที่ประทับแห่งพระราชาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พึงปฏิบัติทำให้ชอบใจ

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า ดีแล้วพ่อบัณฑิต ยกเสียแต่พระราชนิเวศน์ของข้า นอกนี้ในกรุงทั้งหมด เจ้าปรารถนาที่ใดเป็นพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าวิเทหราช เจ้าจงเอาที่นั้น

มโหสถกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์เป็นแขกมา ประชาชนคนของพระองค์ที่เป็นคนสนิทมีมาก คนเหล่านั้นครั้นเมื่อข้าพระองค์เอาเรือนของเขา ก็จักเกิดทะเลาะกับพวกข้าพระองค์ เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จักทำอะไรกับพวกเหล่านั้นได้

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า ดูก่อนบัณฑิต เจ้าอย่าถือเอาคำของพวกนั้น สถานที่ใดเจ้าชอบใจ เจ้าจงถือเอาสถานที่นั้นทีเดียว

มโหสถจึงกราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่สมมติเทพ พวกนั้นจักมากราบทูลพระองค์บ่อย ๆ ความสำราญแห่งพระหฤทัยของพระองค์ และแห่งใจของข้าพระองค์จักไม่มี ก็ถ้าว่าพระองค์ทรงปรารถนา คนรักษาประตูควรเป็นคนของข้าพระองค์ จนกว่าข้าพระองค์จักหาสถานที่เป็นพระราชนิเวศน์แห่งพระราชาของข้าพระองค์ได้ แต่นั้นพวกนั้นเข้าประตูไม่ได้ก็จักไม่มา เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็จักทรงพระสำราญ และข้าพระองค์ก็จักสบายใจ

พระราชาจุลนีทรงอนุญาต พระมหาสัตว์ตั้งคนของตนไว้ในที่ทั้งปวงคือที่เชิงบันได หัวบันได และประตูใหญ่ สั่งว่าพวกเจ้าอย่าให้ใคร ๆ เข้าไป

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ไปสู่ตำหนักพระราชมารดาของพระเจ้าจุลนีก่อนแล้วสั่งคนทั้งหลายว่า เจ้าทั้งหลายจงจัดการรื้อตำหนัก คนใช้เหล่านั้นก็ปรารภเพื่อจะรื้ออิฐและขุดดินตั้งแต่ซุ้มประตู พระราชชนนีของพระเจ้าจุลนีได้สดับข่าวนั้น จึงเสด็จมารับสั่งว่า พวกเจ้าจะให้รื้อตำหนักของข้าเพื่ออะไร

ชนเหล่านั้นจึงทูลตอบว่า มโหสถให้รื้อ เพื่อให้สร้างพระราชนิเวศน์แห่งพระราชาของตน

พระราชชนนีจึงตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น อยู่ด้วยกันในตำหนักนี้ก็แล้วกัน

ชนเหล่านั้นทูลตอบว่า พลพาหนะของพระราชาแห่งพวกข้าพระองค์มีมาก ตำหนักนี้ย่อมไม่พอกันอยู่ ข้าพระองค์จักให้สร้างที่ประทับใหม่ให้ใหญ่

พระราชชนนีจึงรับสั่งว่า พวกเจ้าไม่รู้จักข้า ข้าเป็นพระราชมารดาของพระเจ้าจุลนี ข้าจักไปหาลูกข้า จักรู้กันเดี๋ยวนี้

ชนเหล่านั้นจึงทูลว่า ข้าพระองค์จักรื้อตามพระราชดำรัส ถ้าพระองค์สามารถ ก็จงห้าม

พระนางสลากเทวีกริ้วรับสั่งว่า เดี๋ยวพวกเจ้าจักรู้กิจที่ข้าพึงทำแก่พวกเจ้า ตรัสแล้วเสด็จไปประตูพระราชนิเวศน์ ลำดับนั้นคนเฝ้าประตูก็ห้ามพระราชมารดาว่า แกอย่าเข้าไป

พระราชมารดาตรัสว่าข้าเป็นพระราชชนนี

ชนเหล่านั้นก็ทูลว่า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบ พระเจ้าจุลนีตรัสสั่งไว้ว่า อย่าให้ใคร ๆ เข้าไป เพราะฉะนั้นพระองค์จงเสด็จกลับไปเสีย

พระนางสลากเทวีเมื่อไม่ทอดพระเนตรเห็นที่พึ่ง ก็เสด็จกลับมาทอดพระเนตรตำหนักของพระองค์ประทับยืนอยู่

ลำดับนั้น ชนผู้หนึ่งจึงทูลพระนางนั้นว่า แกทำอะไรในที่นี้ จงไป ๆ ว่าแล้วลุกขึ้นไสพระศอให้ล้มลงยังพื้น

พระนางเจ้าทรงดำริว่า พวกนี้พระราชาลูกเราสั่งแล้วแน่ ใครไม่สามารถจะทำอย่างนี้ ด้วยประการอื่น เราจักไปหามโหสถ จึงเสด็จไปหามโหสถ ตรัสว่า แน่ะพ่อมโหสถ ท่านให้รื้อตำหนักข้าพเจ้าเพราะอะไร

มโหสถไม่พูดกับพระนางเจ้า แต่บุรุษผู้ยืนอยู่ในที่ใกล้ทูลว่า พระนางจะตรัสอะไรกะมโหสถ

พระนางเจ้าจึงรับสั่งว่า มโหสถให้รื้อตำหนักข้าพเจ้าเพื่ออะไร

บุรุษนั้นทูลว่า เพื่อทำที่ประทับแห่งพระเจ้าวิเทหราช

พระราชมารดารับสั่งว่าเมืองใหญ่ถึงเพียงนี้ ทำไมจะหาที่ทำพระราชนิเวศน์ในที่อื่นไม่ได้ เจ้าจงรับสินบนแสนกหาปณะนี้แล้วให้ทำพระราชนิเวศน์ในสถานที่อื่นเถิด

บุรุษนั้นทูลตอบว่า ดีแล้ว พระแม่เจ้า ข้าพระองค์จักให้ละเว้นตำหนักของพระนาง แต่พระนางอย่ารับสั่งการที่ข้าพระองค์รับสินบนแก่ใคร ๆ เพราะว่าชนเหล่าอื่น จะพากันให้สินบนแก่ข้าพระองค์เพราะไม่อยากจะถูกรื้อเรือนของตน

พระนางสลากเทวีรับสั่งตอบว่า การที่ข้าพูดให้ใครรู้นั้น เป็นที่น่าอายแก่ข้าว่า พระราชมารดาได้ให้สินบน ดังนี้ เพราะฉะนั้นข้าจักไม่บอกแก่ใคร 
บุรุษนั้นทูลรับว่า ดีแล้วแล้วรับเอากหาปณะ ๑ แสนจากพระนาง ก็ละจากตำหนักนั้นไปยังเรือนเกวัฏให้ทำเหมือนกับที่กระทำกับตำหนักพระนางสลากเทวีนั้น 

เกวัฏโกรธไปสู่ราชทวาร เหล่าคนรักษาประตูก็ตีเอาที่หลังเกวัฏด้วยซีกไม้ไผ่ หนังที่หลังเกวัฏก็เป็นแนวขึ้น เกวัฏไม่เห็นจะพึ่งอะไรได้ก็กลับบ้านให้กหาปณะ ๑ แสนแก่บุรุษนั้น

มโหสถถือเอาสถานที่ตั้งเรือนในนครทั้งสิ้นด้วยอุบายนี้ รับสินบนได้กหาปณะในที่นั้น ๆ ประมาณ ๙ โกฏิ พระโพธิสัตว์พิจารณาพระนครทั้งสิ้นแล้วไปเฝ้าพระเจ้าจุลนี พระราชาตรัสถามว่า เป็นอย่างไร พ่อบัณฑิต สถานที่ตั้งพระราชนิเวศน์เจ้าหาได้หรือยัง 

มโหสถกราบทูลว่า คนที่กล้าจะไม่ให้ ย่อมไม่มี แต่ครั้นเมื่อข้าพระองค์จักถือเอาเรือนของผู้ใด ชนผู้เป็นเจ้าของก็ย่อมลำบาก การทำให้ชนเหล่านั้นต้องพลัดพรากจากของรัก ไม่สมควรแก่ข้าพระองค์ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จักสร้างพระนครให้เป็นสถานที่ประทับแห่งพระราชาของข้าพระองค์ ในที่โน้นระหว่างคงคากับพระนครนี้ ในที่ ๑ คาวุต (๔ กิโลเมตร) แต่ที่นี้ ภายนอกพระนครนี้

พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับก็ยินดี ด้วยทรงเห็นว่า การรบกันภายในเมืองเป็นการลำบาก เสนาฝ่ายเราหรือเสนาฝ่ายอื่นก็อาจรู้ยาก การทำยุทธนาการภายนอกเมืองเป็นการง่าย จักได้ไม่ต้องทุบตีกันตายในเมือง ทรงเห็นฉะนี้จึงตรัสว่า ดีแล้วพ่อ เจ้าจงให้สร้างในสถานที่ที่เจ้ากำหนดเถิด 

มโหสถกราบทูลว่า ข้าพระองค์จักให้ทำในที่ ที่กราบทูลและขอพระราชทานอนุญาตแล้วนั้นชาวพระนครอย่าพึงไปสู่ที่ทำนวกรรมของข้าพระองค์ เพื่อหาฟืนและใบไม้เพราะว่าเมื่อชาวเมืองไป จักเกิดทะเลาะวิวาทกัน ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ ความสำราญพระราชหฤทัยจักไม่มีแด่พระองค์ และความสบายใจก็จักไม่มีแก่ข้าพระองค์ 

พระเจ้าจุลนีตรัสว่า ดีแล้ว พ่อบัณฑิต เจ้าจงห้ามไม่ให้ใครไปยังประเทศนั้น 

มโหสถทูลต่อไปว่า ข้าแต่สมมติเทพ ช้างทั้งหลายของข้าพระองค์ชอบเล่นน้ำ เมื่อน้ำเกิดขุ่นมัวขึ้น ถ้าชาวเมืองจักขัดเคืองพวกข้าพระองค์ว่านับแต่มโหสถมา พวกเราไม่ได้ดื่มน้ำใส ขอพระองค์กรุณาอดกลั้นในเรื่องนี้ อย่ากริ้วพวกข้าพระองค์ 

พระเจ้าเจ้าจุลนีตรัสว่า ช้างทั้งหลายของพวกเจ้า พวกเจ้าจงปล่อยให้เล่นเถิด ตรัสฉะนี้แล้วให้ป่าวร้องว่า ผู้ใดออกจากที่นี้ไปสู่ที่สร้างพระนครของมโหสถ จักปรับไหมผู้นั้นพันกหาปณะ 

มโหสถถวายบังคมลาพระเจ้าจุลนีพาพวกของตนออกจากพระนครเพื่อสร้างพระนครในสถานที่ที่กำหนดไว้ แล้วก็ให้สร้างบ้านชื่อคัคคลิริมฝั่งแม่น้ำฟากโน้น ให้ช้าง ม้า รถพาหนะ โคมีกำลังอยู่ในบ้านนั้น พิจารณาการสร้างพระนคร แบ่งการงานทั้งปวงว่า ชนเท่านี้ทำกิจนี้ เป็นต้น และได้เริ่มการงานในอุโมงค์ ประตูอุโมงค์ใหญ่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ 

ชนทั้งหลายราว ๖,๐๐๐ คน ขุดอุโมงค์ใหญ่ นำกรวดทรายที่ขุดออกมานั้นทิ้งลงในแม่น้ำ น้ำนั้นก็ขุ่นมัวไหลไป ชาวเมืองก็พากันกล่าวว่า ตั้งแต่มโหสถมา พวกเราไม่ได้ดื่มน้ำใส คงคาขุ่นมัวไหลมา เป็นเพราะเหตุอย่างไรหนอ

ลำดับนั้น บุรุษที่มโหสถวางไว้ก็แจ้งแก่ชาวเมืองว่า ได้ยินว่า หมู่ช้างของมโหสถเล่นน้ำ ทำให้น้ำในคงคาขุ่นเป็นตม เพราะเหตุนั้น คงคาจึงขุ่นมัวไหลมา

ธรรมดาว่าความประสงค์ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมสำเร็จ อุโมงค์ซึ่งเป็นทางเดินถูกขุดยาวจนเข้าไปอยู่ในเมืองนั้น ชนทั้งหลายราว ๓,๐๐๐ คนขุดอุโมงค์ซึ่งเป็นทางเดินโดยบรรจุกรวดทรายด้วยถุงหนังไปถมทิ้งในนครนั้น แล้วให้คลุกเคล้าดินและทรายกับน้ำก่อเป็นกำแพง และทำกิจอื่น ๆ ด้วย ประตูทางเข้ามหาอุโมงค์มีอยู่ในเมือง ประกอบด้วยประตูเป็นคู่ สูง ๑๘ ศอก มีกลไกอยู่ เมื่อเหยียบกดสลักอันหนึ่งเข้า ประตูนั้นก็เปิดออก ทั้งสองข้างทางแห่งมหาอุโมงค์ให้ก่ออิฐแล้วฉาบปูน ปูไม้เป็นฝ้าบังเบื้องบนเอาดินเหนียวยาอุดช่องแล้วทาขาว 

ในอุโมงค์นั้นมีประตูทั้งหมด คือประตูใหญ่ ๘๐ ประตูน้อย ๖๔ ทุกประตูประกอบด้วยกลไก ในเมื่อเหยียบกดไกสลักอันหนึ่งเข้า ประตูทั้งหมดก็ปิดพร้อมกัน ในเมื่อเหยียบกดไกสลักอีกอันหนึ่งเข้า ประตูทั้งหมดก็เปิดพร้อมกัน โคมดวงไฟมีมากกว่าร้อย มีตลอด ๒ ข้างของมหาอุโมงค์ โคมดวงไฟทั้งสิ้นประกอบด้วยกลไก เมื่อเปิดกลไกนั้นโคมทุกดวงก็เปิดสว่างพร้อมกันหมด ครั้นเมื่อปิดกลไกอีกอันหนึ่ง โคมทุกดวงก็ปิดมืดพร้อมกันหมด 

ก็ห้องบรรทมร้อยเอ็ดห้องสำหรับพระราชาร้อยเอ็ด เรียงรายอยู่ ๒ ข้างแห่งมหาอุโมงค์ ทุกห้องทอดเครื่องลาดต่าง ๆ ไว้ในห้องบรรทม ตั้งที่ประทับนั่งแห่งหนึ่ง ๆ ยกเศวตฉัตรไว้ทุกแห่ง 

รูปสตรีทำด้วยเส้นป่านรูปหนึ่ง ๆ งดงามยิ่ง ตั้งไว้อาศัยพระราชสีหาสน์และพระราชมหาสยนะองค์หนึ่ง ๆ ประดิษฐานไว้แล้ว ถ้าว่าบุคคลไม่จับต้องรูปนั้น ก็ไม่อาจรู้ว่าไม่ใช่รูปคน 

อนึ่ง พวกช่างเขียนผู้ฉลาดได้ทำจิตรกรรมเขียนอย่างวิจิตรต่าง ๆ ทั้ง ๒ ข้างแห่งมหาอุโมงค์แสดงภาพทั้งปวงไว้ในอุโมงค์ แบ่งเขียนเป็นต้นว่าภาพสักกเทวราชเยื้องกรายมีหมู่เทวดาแวดล้อมและเขาสิเนรุ เขาบริภัณฑ์ สาคร มหาสาคร ทวีป ๔ ป่าหิมพานต์สระอโนดาต พื้นศิลา ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ สวรรค์ชั้นกามาพจรมีจาตุมหาราชิกาเป็นต้นและสมบัติ ๗ ประการ เกลี่ยกรวดทรายซึ่งมีสีดุจแผ่นเงินที่ภาคพื้น แสดงดอกปทุมห้อยตามช่องเบื้องบน แสดงร้านตลาดขายของมีประการต่าง ๆ ทั้ง ๒ ข้าง ห้อยพวงของหอมพวงบุปผชาติเป็นต้นในที่นั้น ๆ ประดับอุโมงค์เป็นราวกะสุธรรมาเทพสภา 

ฝ่ายช่าง ๓๐๐ คนที่มโหสถให้ไปทำเครื่องใช้สำหรับพระราชนิเวศน์และให้ต่อเรือบรรทุกมานั้น ก็ได้ต่อเรือ ๓๐๐ ลำ บรรทุกเครื่องใช้ที่ตกแต่งเสร็จแล้วมาทางน้ำ เมื่อมาถึงก็แจ้งแก่มโหสถ มโหสถจึงให้นำเครื่องใช้เหล่านั้นไปสำหรับใช้การในพระนคร แล้วให้นำเรือทั้งหลายไปรักษาไว้ในที่ปกปิด สั่งพวกนั้นไว้ว่า พวกเจ้าจงนำมาในวันที่เราสั่ง

การก่อสร้างทั้งปวงในพระนครที่แล้วเสร็จ คือคูน้ำ คูเปือกตม คูแห้ง กำแพงสูง ๑๘ ศอก ป้อมประตูเมือง ซุ้มประตูเมือง พระราชนิเวศน์เป็นต้น โรงช้างเป็นต้น และสระโบกขรณี มหาอุโมงค์ ชังฆอุโมงค์ พระนครทั้งหมดนี้แล้วเสร็จ ๔ เดือน ด้วยประการฉะนี้

ต่อนั้นล่วงมาได้ ๔ เดือน พระมหาสัตว์ได้ส่งทูตไปเพื่อเชิญเสด็จพระเจ้าวิเทหราชให้เสด็จมา

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำของทูต ก็ทรงโสมนัส เสด็จไปด้วยราชบริพารเป็นอันมาก

พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปโดยลำดับถึงฝั่งคงคา ลำดับนั้นพระมหาสัตว์ก็ไปรับเสด็จให้เข้าสู่นครที่ตนสร้าง พระราชาเสด็จไปสู่ปราสาทอันประเสริฐในนครนั้น สนานพระวรกายทรงแต่งพระองค์แล้ว เสวยโภชนาหารมีรสอันเลิศ ทรงพักผ่อนหน่อยหนึ่งแล้ว เวลาเย็นทรงสั่งราชทูตไปยังสำนักพระเจ้าจุลนี เพื่อให้ทรงทราบว่าพระองค์เสด็จมาถึงแล้ว

พระเจ้าวิเทหราชนั้นมีพระชนม์แก่กว่าพระเจ้าจุลนีมาก พระเจ้าจุลนีไม่พอที่จะเป็นแม้เพียงพระโอรสของพระเจ้าวิเทหราช แต่พระเจ้าวิเทหราชหมกมุ่นไปด้วยกิเลส จึงทรงดำริว่าพระเจ้าจุลนีเป็นพระสัสสุระที่เราผู้เป็นพระชามาตาควรถวายบังคม ไม่ทรงทราบความคิดของพระเจ้าจุลนี จึงทรงส่งสาสน์ถวายบังคมไปว่า พระองค์โปรดเรียกหม่อมฉันมาว่า จะประทานพระราชธิดา ขอได้โปรดประทานพระราชธิดานั้นแก่หม่อมฉันในบัดนี้เถิด 

ฝ่ายพระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับถ้อยคำของราชทูตก็ทรงโสมนัส ดำริว่า บัดนี้ปัจจามิตรของเราจักไปไหนพ้น เราจักตัดศีรษะเขาทั้งสองคนแล้วดื่มชัยบาน จึงพระราชทานรางวัลแก่ราชทูตแล้ว ตรัสดุจพระเจ้าวิเทหราชนั้นเสด็จอยู่เฉพาะพระพักตร์ว่า

ดูก่อนพระเจ้าวิเทหราช พระองค์เสด็จมาดีแล้ว เสด็จมาแต่ไกลก็เหมือนใกล้ พระองค์หาฤกษ์อาวาห มงคลไว้ หม่อมฉันจะถวายพระราชธิดาประดับด้วย ราชาลังการล้วนแต่ทองคำ ห้อมล้อมด้วยหมู่นาง ข้าหลวงแด่พระองค์

ราชทูตได้ฟังดังนั้น จึงไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ทรงหาฤกษ์ที่สมควรแก่การพระราชพิธีอาวาหมงคลพระเจ้าจุลนีจะถวายพระราชธิดาแด่พระองค์ พระเจ้าวิเทหราชจึงส่งราชทูตไปอีกว่า วันนี้แหละฤกษ์ดี

ฝ่ายพระเจ้าจุลนีตรัสลวงว่า จะส่งไปเดี๋ยวนี้ ๆ ดังนี้ ได้ประทานสัญญาณแก่พระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระนครว่า ท่านทั้งปวงกับเสนา ๑๘ อักโขภิณีจงเตรียมออกรบ วันนี้เราจักตัดศีรษะข้าศึกทั้งสอง พรุ่งนี้จักได้ดื่มชัยบาน

พระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระนครเหล่านั้นทั้งหมดก็ออกไปพร้อมกันในขณะนั้นทีเดียว ฝ่ายพระเจ้ากรุงปัญจาละเมื่อจะเสด็จออกทำการยุทธ์ ก็ให้พระนางสลากเทวี ผู้พระราชมารดาพระนางนันทาเทวี ผู้พระมเหสี พระปัญจาลจันทะ ผู้ราชโอรส พระนางปัญจาลจันที ผู้พระราชธิดา รวม ๔ องค์ ให้อยู่รวมกันในตำหนักเดียวกันกับนางสนมทั้งหลาย แล้วจึงเสด็จออกสงคราม

ฝ่ายมโหสถบรมโพธิสัตว์ทำราชสักการะเป็นนักหนา แด่พระเจ้าวิเทหราชพร้อมพวกเสนาที่โดยเสด็จ ชนบางพวกดื่มสุรา บางพวกเคี้ยวกินมัจฉมังสาหาร บางพวกเหน็ดเหนื่อยก็นอน เพราะมาแต่ทางไกล ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชทรงพาอาจารย์ทั้ง ๔ มีเสนกะเป็นต้น ประทับนั่ง ณ พื้นพระราชมณเฑียรที่ตกแต่งแล้ว ท่ามกลางราชบริพาร 

ฝ่ายพระเจ้าจุลนีก็ยกทัพมาล้อมนครที่พระเจ้าวิเทหราชประทับ ติดต่อกัน ๓ ชั้นด้วยกองทัพจำนวน ๑๘ อักโขภิณี มีคนจุดคบเพลิงนับด้วยแสน ๆ คน ครั้นอรุณขึ้นก็เตรียมยึดเมืองตั้งอยู่

มโหสถรู้ความก็ส่งโยธา ๓๐๐ คนของตนไปสั่งว่า เจ้าทั้งหลายจงไปตามทางอุโมงค์จับราชมารดา มเหสี ราชบุตรและราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมาทางอุโมงค์ แล้วควบคุมตัวไว้ในอุโมงค์จนกว่าข้าจะมา 

ชนเหล่านั้นรับคำสั่งมโหสถแล้วก็ไปทางอุโมงค์ เปิดไม้ที่ลาดไว้ที่เชิงบันได แล้วมัดมือเท้ายามรักษาการณ์ที่เชิงบันได หัวบันไดและพื้นตำหนัก และนางบำเรอมีนางค่อมแคระเป็นต้น แล้วปิดปากชนเหล่านั้น แล้วเคี้ยวกินเครื่องเสวยที่จัดไว้ถวายพระเจ้าจุลนี ทิ้งของอะไร ๆ เสีย ทำลายภาชนะทำให้ป่นปี้เสีย แล้วขึ้นสู่เบื้องบนปราสาท 

กาลนั้นพระนางสลากเทวีบรรทมอยู่ ณ พระยี่ภู่เดียวกันกับพระนันทาเทวี ราชบุตรราชธิดา โยธาเหล่านั้นยืนร้องเรียกที่ประตูห้อง พระนางจึงออกมาตรัสถามว่า ทำไมพ่อ 

โยธาเหล่านั้นจึงแสร้งทูลว่า ข้าแต่พระเทวี พระราชาของพวกเรายังพระเจ้าวิเทหราชกับมโหสถให้ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว แวดล้อมด้วยพระราชาร้อยเอ็ดเป็นเอกราชในสกลชมพูทวีป ดื่มชัยบานใหญ่ด้วยพระเกียรติยศใหญ่ ส่งข้าพระองค์ทั้งหลายมาเพื่อพาเสด็จไปทั้ง ๔ พระองค์ 

พระราชมารดาเป็นต้นทรงเชื่อ จึงเสด็จลงจากปราสาทถึงเชิงบันได โยธาเหล่านั้นก็พาเสด็จไปเข้าทางอุโมงค์ พระราชมารดาตรัสว่า ข้าอยู่ในที่นี้มาจนบัดนี้ก็ยังไม่เคยลงสู่ทางนี้เลย 

โยธาเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่พระเทวีเจ้า ชนทั้งปวงหาได้ลงสู่ทางนี้ไม่ เพราะทางนี้เป็นทางมงคล วันนี้พระราชาตรัสสั่งให้นำเสด็จโดยทางนี้ เพราะเป็นวันมงคล 

พระราชมารดาเป็นต้นทรงเชื่อ ลำดับนั้น โยธาบางพวกก็เป็นผู้พาพระราชมารดาและพระประยูรญาติมาบ้าง บางพวกก็กลับไปเปิดคลังรัตนะในพระราชนิเวศน์ ถือเอาทรัพย์ตามปรารถนามาบ้าง 

ฝ่ายพระราชมารดาเมื่อมาถึงมหาอุโมงค์ เห็นภายในอุโมงค์ตกแต่งไว้งดงามราวกะเทพสภา ก็ทรงสำคัญว่า ตกแต่งไว้เพื่อพระราชา ลำดับนั้น โยธาเหล่านั้นพาพระราชมารดาไปสู่สถานที่ใกล้แม่น้ำใหญ่ให้ประทับในห้องอันตกแต่งแล้วภายในอุโมงค์ พวกหนึ่งอยู่รักษา พวกหนึ่งไปแจ้งการที่ได้นำพระราชมารดามาแล้วนั้นแก่มโหสถโพธิสัตว์ 

มโหสถได้ฟังคำของโยธาเหล่านั้นก็มีความโสมนัสว่า บัดนี้ความปรารถนาของเราจักถึงที่สุด จึงไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชทรงดำริว่า พระเจ้าจุลนีจักนำพระราชธิดามาให้เราบัดนี้ ก็เสด็จลุกจากราชบัลลังก์ ทอดพระเนตรทางช่องพระแกลเห็นกองทัพใหญ่ล้อมรอบพระนครมีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน ด้วยคบเพลิงนับด้วยแสนดวง แล้ว ก็ทรงฉงนสนเท่ห์รำพึงว่า นั่นอะไรกันหนอ จึงตรัสถามอาจารย์ผู้บัณฑิตทั้งหลาย

อาจารย์เสนกะได้ฟังตรัสถามจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้าขอพระองค์อย่าทรงวิตกเลย คบเพลิงมากเหลือเกินปรากฏอยู่ ชะรอยพระเจ้าจุลนีจะพาพระราชธิดามาถวายพระองค์ 

ฝ่ายอาจารย์ปุกกุสะกราบทูลว่า พระเจ้าจุลนีจักทรงอารักขาเพื่อทรงทำอาคันตุกสักการะแด่พระองค์ 

บัณฑิตทั้งสี่เหล่านั้นชอบใจอย่างใดก็กราบทูลอย่างนั้น ด้วยประการฉะนี้ 

ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชเมื่อได้ทรงสดับเสียงคนในกองทัพบอกสั่งกันว่า เสนาทั้งหลายจงตั้งอยู่ในที่โน้นท่านทั้งหลายจงรักษาในที่โน้น อย่าประมาท และทอดพระเนตรเห็นเสนาผูกสอดเกราะ ก็หวั่นพระราชหฤทัย จึงตรัสถามพระมหาสัตว์ว่า พ่อบัณฑิต เจ้าคิดอย่างไรหนอ เสนาเหล่านี้จักกระทำอะไรแก่พวกเรา

พระมหาสัตว์ได้ฟังพระราชดำรัสดังนั้น จึงคิดในใจว่า เราจักทำพระราชาผู้อันธพาลนี้ให้สะดุ้งสักหน่อย ภายหลังจึงแสดงกำลังปัญญาของเราให้ปรากฏ ทำให้พระองค์เบาพระหฤทัย คิดฉะนี้แล้ว จึงกราบทูลว่า

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระเจ้าจุลนีพรหมทัตมีกำลังมาก ล้อมพระองค์ไว้เพื่อจักประทุษร้ายพระองค์ รุ่งเช้า จักปลงพระชนม์พระองค์

คนเหล่านั้นทั้งหมดมีพระเจ้าวิเทหราชเป็นต้นก็ตกใจกลัวตาย พระราชาพระศอแห้ง พระเขฬะไม่มีในพระโอฐ เกิดเร่าร้อนในพระสรีระ พระองค์ทรงกลัวต่อมรณภัย คร่ำครวญอยู่

พระมหาสัตว์ได้ฟังพระเจ้าวิเทหราชทรงคร่ำครวญ คิดว่า พระราชานี้เป็นอันธพาล ไม่ทำตามคำของเราในวันก่อน ๆ เราจักข่มพระองค์ให้ยิ่งขึ้นจึงทูลว่า

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์เป็นผู้ประมาทเพราะความใคร่ เป็นผู้ไม่สนพระทัยความคิดของข้าพระองค์ที่เห็นภัยในอนาคตแล้วคิดป้องกันภัยนั้นด้วยปัญญา

พระองค์ทรงมีความคิดเห็นเช่นเดียวกับอาจารย์ ๔ คน มีอาจารย์เสนกะเป็นต้น อาจารย์เหล่านี้ก็จงรักษาพระองค์ในบัดนี้เถิด ข้าพระองค์เห็นความสามารถของอาจารย์เหล่านั้น 

มฤคมาด้วยความโลภเหยื่อติดอยู่ในบ่วงหลุม ฉันใด พระองค์ไม่ทรงเชื่อคำของข้าพระองค์ เสด็จมาด้วยความโลภว่าจักได้พระราชธิดาปัญจาลจันที บัดนี้จึงทรงเป็นเหมือนมฤคที่ติดในบ่วงหลุม ฉันนั้น.อุปมานี้ข้าพระองค์แสดงมาแล้วในครั้งก่อน

บุรุษผู้ไร้ความละอาย มีชาติของคนชั่วเช่นพราหมณ์เกวัฏ พระองค์ไม่ควรทำมิตรธรรมกับคนเช่นนั้น แต่พระองค์ทรงมีเมตตาพราหมณ์เกวัฏ เชื่อถือคำของเขา ขึ้นชื่อว่าการสมาคมกับคนเห็นปานนี้ ทำครั้งเดียว ก็เป็นทุกข์ เพราะนำทุกข์ใหญ่มาทั้งในโลกนี้ทั้งในโลกหน้า 

ลำดับนั้น มโหสถข่มพระเจ้าวิเทหราชยิ่งขึ้น ด้วยหวังว่าพระองค์จักไม่ทรงทำอย่างนี้อีก เมื่อจะนำพระดำรัสที่ตรัสไว้ในกาลก่อนมาแสดง จึงทูลว่า

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระองค์เป็นบุตรคฤหบดี จักรู้จักความเจริญเหมือนคนอื่น ๆ เช่น เสนกะเป็นต้น ผู้เป็นบัณฑิตของพระองค์ซึ่งรู้ความเจริญฉะนั้น ได้อย่างไร คนเหล่านั้นเป็นบัณฑิต วันนี้พระองค์ถูกกองทัพ ๑๘ อักโขภิณีล้อมไว้ คนทั้งหลายมีเสนกะเป็นต้น จงเป็นที่พึ่งของพระองค์เถิด ก็พระองค์รับสั่งให้ไสคอข้าพระองค์ฉุดออกไปเสีย บัดนี้ พระองค์ตรัสถามข้าพระองค์ทำไม 

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับดังนั้น ทรงดำริว่ามโหสถบัณฑิตกล่าวโทษที่เราทำไว้เท่านั้น เพราะเขารู้ภัยในอนาคตนี้มาก่อนนั่นเอง เพราะเหตุนั้น เขาจึงกล่าวข่มเราเหลือเกิน แต่เขาก็ไม่ได้ละเลยสิ่งที่ควรทำเลย มโหสถนี้จักทำความสวัสดีแก่เราแน่แท้ ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราชเมื่อจะยึดมโหสถเป็นที่พำนัก จึงตรัสคาถา ๒ คาถาว่า

บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ถือเอาโทษที่ล่วงไปแล้วมาทิ่มแทงกันด้วยปาก เจ้าทิ่มแทงเรา ราวกะม้าที่เขาผูกไว้อย่างดี เพราะถูกเสนาข้าศึกล้อมไว้ทำไม เจ้าจงสั่งสอนเรา คือจงให้เราสบายใจ ด้วยความสวัสดีนั้นว่า พระองค์จักพ้นภัยด้วยอาการอย่างนี้พระองค์จักปลอดภัยด้วยอาการอย่างนี้ ด้วยว่า เว้นเจ้าเสียแล้ว คนอื่นเป็นที่พึ่งอาศัยของเราไม่มี 

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า พระราชาองค์นี้เป็นอันธพาลเหลือเกินไม่รู้จักบุรุษวิเศษ เราจักให้พระองค์ลำบากเสียหน่อยหนึ่งแล้วจักเป็นที่พึ่งของพระองค์ภายหลัง ดำริฉะนี้แล้ว ทูลว่า

ข้าแต่บรมกษัตริย์ การปลดเปลื้องพระองค์จากภัยนี้ทำได้ยาก ข้าพระองค์ไม่สามารถจะทำได้ ขอพระองค์ทรงทราบเถิด ก็เหล่าช้าง ม้า นก ยักษ์ หรือผู้มีฤทธิ์ มียศ ที่จะสามารถช่วยเหลือพระองค์ให้หนีไปได้ทางอากาศพระองค์มีอยู่ พวกเหล่านั้น ก็พึงพาพระองค์ไปได้ ข้าแต่บรมกษัตริย์ การปลดเปลื้องพระองค์จากภัยนี้ทำได้ยาก ข้าพระองค์เองไม่สามารถจะปลดเปลื้องพระองค์ให้หนีไปโดยทางอากาศได้

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำของมโหสถดังนั้นก็จำนนประทับนั่งอยู่ลำดับนั้น อาจารย์เสนกะคิดว่าบัดนี้ ยกมโหสถบัณฑิตเสีย ที่พึ่งอื่นของพระราชาและของพวกเราไม่มี ก็พระราชาทรงฟังคำของมโหสถ ทรงครั่นคร้ามต่อมรณภัย ไม่ทรงสามารถจะตรัสอะไร ๆ ได้ เราจักอ้อนวอนมโหสถบัณฑิตให้ช่วย จึงกล่าวว่า

บุรุษผู้เรือแตกกลางทะเล ไม่เห็นฝั่งในมหาสมุทร เมื่อถูกกำลังคลื่นซัดลอยไปแล้วได้ที่พึ่งในประเทศใด เขาย่อมได้ความสุขในประเทศนั้น ฉันใด

ท่านมโหสถขอท่านได้เป็นที่พึ่งของพวกเรา และของพระราชา ฉันนั้น ท่านเป็นผู้ประเสริฐสุดกว่าพวกข้าพเจ้าเหล่ามนตรี ขอท่านช่วยปลดเปลื้องพวกเราจากทุกข์เถิด

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะข่มอาจารย์เสนกะจึงได้กล่าวว่า

ท่านอาจารย์เสนกะ ข้าพเจ้าไม่มีความสามารถ ท่านจงนำพระราชานี้สู่กรุงมิถิลาทางอากาศเถิด

พระเจ้าวิเทหราชเมื่อไม่ทรงเห็นเครื่องยึดถือที่จะพึงทรงยึดถือ ทรงครั่นคร้ามต่อมรณภัย ไม่สามารถจะตรัสอะไร ๆ กับพระมหาสัตว์ได้ ทรงดำริว่า บางคราวแม้เสนกะก็รู้อุบายอะไร ๆ เราจะถามเขาดูก่อน จึงตรัสถามว่า

ท่านเห็นว่าเราควรจะทำอย่างไรในเวลานี้ พวกเราถูกมโหสถละทิ้งแล้ว ถ้าท่านรู้ ก็จงบอกแก่เรา

อาจารย์เสนกะได้ฟังดังนั้น คิดว่า พระราชาตรัสถามอุบายกะเรา เราจักกล่าวอุบายอย่างหนึ่งแด่พระองค์ แต่อุบายนั้นจะงามหรือไม่งาม จงยกไว้ คิดฉะนี้แล้วกล่าวว่า

พวกเราจงปิดประตูก่อไฟเผาปราสาทเสีย แล้วจงจับศัสตราห้ำหั่นกันและกัให้ตายเสียโดยพลัน อย่าทันให้พระราชาพรหมทัตฆ่าพวกเราให้ลำบากนาน ปราสาทที่ตกแต่งแล้วนั่นแลจักเป็นจิตกาธารของพวกเรา

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังดังนั้นก็เสียพระหฤทัยจึงตรัสว่า ท่านอาจารย์เสนกะจงทำจิตกาธารเห็นปานนั้นแก่บุตรภรรยาของตนเถิด แล้วตรัสถามปุกกุสะเป็นต้น พวกนั้นก็กราบทูลด้วยถ้อยคำแสดงความเขลาตามสมควรแก่ตน คือ

ปุกกุสะกราบทูลว่าพวกเราควรกินยาพิษตายละชีวิตเสียพลัน อย่าทันให้พระราชาพรหมทัตฆ่าพวกเราให้ลำบากนาน

กามินทะกราบทูลว่าพวกเราพึงเอาเชือกผูกให้ตาย หรือโดดลงบ่อให้ตายเสีย อย่าทันให้พระราชาพรหมทัตฆ่าพวกเราให้ลำบากนาน

ลำดับนั้น อาจารย์เทวินทะคิดว่า พระราชานี้ทำไมมาตรัสถามพวกเรา ในเมื่อไฟมีอยู่ มาทรงเป่าหิ่งห้อยจะได้ประโยชน์อันใด นอกจากมโหสถบัณฑิตแล้ว ไม่มีใครที่จะสามารช่วยเหลือพวกเราได้ในบัดนี้ พระองค์ไม่ตรัสถามมโหสถ มาตรัสถามพวกเรา พวกเราจะรู้อะไร คิดฉะนี้แล้ว เมื่อไม่เห็นอุบายอื่น จึงกราบทูลพระราชาว่า

พวกเราทั้งหมดจะวิงวอนมโหสถนั่นแหละก็ถ้าว่าแม้เมื่อวิงวอนแล้ว มโหสถก็ไม่สามารถจะปลดเปลื้องช่วยเหลือพวกเราได้ พวกเราจักทำตามคำเสนกะคือ.เอาไฟเผาปราสาท แล้วจับมีดฆ่ากันและกันละชีวิตเสียพลัน ดังนี้

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำของเทวินทะดังนั้น ก็ทรงระลึกถึงโทษที่พระองค์ได้ทำแก่พระโพธิสัตว์ในกาลก่อน แต่ก็ไม่ทรงสามารถจะตรัสกับมโหสถ จึงทรงคร่ำครวญเสียงดังจนมโหสถได้ยินถนัด แล้วตรัสว่า

บุคคลแสวงหาแก่นของต้นกล้วย ย่อมไม่ได้ ฉันใด เราทั้งหลายแม้แสวงหาอุบายเครื่องพ้นทุกข์นี้ ถามบัณฑิต ๕ คน ก็ไม่ประสบปัญหานั้นฉันนั้น

การอยู่ของช้างทั้งหลายในสถานที่ไม่มีน้ำ ชื่อว่ามิได้อยู่ในถิ่นที่สมควร เพราะว่าช้างเหล่านั้น ย่อมตกอยู่ในอำนาจของศัตรูโดยเร็วพลัน ฉันใด การที่เราทั้งหลายอยู่ในที่ใกล้ของมนุษย์ชั่ว เป็นคนพาลหาความรู้มิได้ ก็ชื่อว่าอยู่ในในถิ่นที่ไม่สมควร ฉันนั้น. ก็บรรดาบัณฑิตที่เรามีอยู่เท่านี้ แม้คนหนึ่งซึ่งจะเป็นที่พึ่งอาศัยของเราในบัดนี้ก็ไม่มี พระเจ้าวิเทหราชทรงบ่นเพ้อไปต่าง ๆ ด้วยประการฉะนี้

มโหสถบัณฑิตได้สดับดังนั้น คิดว่า พระราชาพระองค์นี้ทรงลำบากเหลือเกิน ถ้าเราไม่เล้าโลมพระองค์ให้สบายพระหฤทัย พระองค์จักมีพระหฤทัยแตกสิ้นพระชนมชีพ จึงได้กราบทูลปลอบประโลมว่า

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์อย่าตกพระหฤทัยกลัวเลย ข้าพระองค์จักทำกองทัพปัญจาละให้หนีไป ดุจไล่ฝูงกาด้วยก้อนดิน ถ้าข้าพระองค์มิได้ป้องกันพระองค์ผู้อยู่ในที่คับขันให้พ้นจากทุกข์ได้แล้วไซร้ ชื่อว่าปัญญาของข้าพระองค์นั้นจะมีประโยชน์อะไร หรือบุคคลเช่นข้าพระองค์นั้นเป็นอำมาตย์จะมีประโยชน์อะไร

ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำของมโหสถ ก็กลับได้ความอุ่นพระหฤทัยว่า บัดนี้เราได้ชีวิตแล้ว เมื่อพระโพธิสัตว์บันลือสีหนาท ชนทั้งปวงเหล่านั้นก็พากันยินดี 

ลำดับนั้น เสนกะถามพระโพธิสัตว์ว่า ท่านบัณฑิต ท่านเมื่อพาพวกเราทั้งหมดไป จักไปได้ด้วยอุบายอย่างไร 

มโหสถแจ้งว่าข้าพเจ้าจักนำไปทางอุโมงค์ซึ่งตกแต่งไว้ พวกท่านจงเตรียมไปเถิด แล้วจึงสั่งโยธาให้เปิดประตูอุโมงค์ เปิดประตูห้องนอนร้อยเอ็ดห้อง เปิดประตู เปิดโคมดวงประทีปร้อยเอ็ดโคม

คนใช้ของมโหสถเหล่านั้นลุกไปทำตามที่มโหสถสั่ง บัดนั้นอุโมงค์ทั้งสิ้นก็มีแสงสว่างทั่วไป สว่างไสวประหนึ่งเทวสภาที่ได้ประดับแล้ว

พวกนั้นเปิดประตูอุโมงค์แล้วแจ้งให้มโหสถทราบ มโหสถก็กราบทูลนัดพระราชาว่า ได้เวลาแล้วพระเจ้าข้า ขอเชิญเสด็จลงจากปราสาท พระราชาก็เสด็จลง เสนกะเปลื้องเครื่องพันศีรษะแล้วผลัดผ้าหยักรั้ง 

ลำดับนั้น มโหสถเห็นกิริยาแห่งเสนกะ จึงถามว่า นั่นท่านอาจารย์ทำอะไร 

เสนกะตอบว่าแน่ะบัณฑิต ธรรมดาทั้งหลายไปโดยอุโมงค์ ต้องเปลื้องผ้าโพกหยักรั้งไป

มโหสถจึงแจ้งว่า แน่ะอาจารย์เสนกะ ท่านอย่าสำคัญว่า คนเข้าอุโมงค์ต้องก้มคุกเข่าเข้าไป ถ้าท่านใคร่จะไปด้วยช้างจงขึ้นช้างไป ถ้าท่านใคร่จะไปด้วยม้าจงขึ้นม้าไป เพราะประตูอุโมงค์สูง ๑๘ ศอก ท่านจงประดับตกแต่งตัวตามชอบใจ แล้วไปก่อนพระราชา 

ฝ่ายพระโพธิสัตว์จัดให้เสนกะไปก่อน ให้พระราชาเสด็จไปท่ามกลาง ตนเองไปภายหลัง เหตุไรมโหสถจึงจัดอย่างนี้ เพราะพระเจ้าวิเทหราชจะได้ทอดพระเนตรอุโมงค์อันตกแต่งแล้วค่อย ๆ เสด็จไป ข้าวต้มข้าวสวยของเคี้ยวเป็นต้นอันมีประมาณไม่ได้ มีไว้เพื่อมหาชนในอุโมงค์ คนเหล่านั้นเคี้ยวดื่มพลางแลชมอุโมงค์ไป ฝ่ายพระมหาสัตว์ทูลเตือนพระเจ้าวิเทหราชว่า เชิญเสด็จไป เชิญเสด็จไป พระเจ้าข้า ตามเสด็จไปเบื้องหลัง พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรอุโมงค์ซึ่งเป็นดังเทวสภาอันตกแต่ง แล้วพลางเสด็จไป

คนหนุ่มผู้รับใช้ของมโหสถเหล่านั้นรู้ว่า พระเจ้าวิเทหราชเสด็จมา จึงนำพระนางสลากเทวีพระราชมารดาพระเจ้าจุลนี พระนางนันทาเทวีมเหสีพระเจ้าจุลนี และพระปัญจาลจันทราชกุมาร พระนางปัญจาลจันทีราชกุมารีผู้เป็นราชโอรสราชธิดาของพระเจ้าจุลนี ออกจากอุโมงค์ให้ประทับอยู่ ณ พลับพลากว้างใหญ่ 

ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชเสด็จออกจากอุโมงค์กับมโหสถ กษัตริย์ทั้ง ๔ คือ พระนางสลากเทวี พระนางนันทาเทวี ปัญจาลจันทกุมารปัญจาลจันทีกุมารี ได้ทอดทัศนาการเห็นพระเจ้าวิเทหราชกับมโหสถก็ทราบว่าพวกเราตกอยู่ในเงื้อมมือศัตรูโดยไม่สงสัย เหล่าคนของมโหสถจับพวกเรามา ก็เกิดครั่นคร้ามต่อมรณภัย ทั้งกลัว ทั้งสะดุ้งส่งเสียงร้องอึง

ได้ยินว่า พระเจ้าจุลนีเสด็จไปคุมพลอยู่ ณ สถานที่ ๑ คาวุต (๔ กิโลเมตร) ใกล้ฝั่งคงคา ด้วยทรงเกรงพระเจ้าวิเทหราชจะหนี ในราตรีอันเงียบสงัดนั้น พระเจ้าจุลนีทรงได้ยินเสียงร้องของพระราชมารดา พระเทวี และพระราชโอรส พระราชธิดาทั้ง ๔ ก็เกือบจะออกพระโอษบ์ว่า นั่นเป็นเสียงนางนันทาเทวี แต่ก็หาได้ตรัสอย่างไรไม่ ด้วยทรงเกรงข้าราชบริพารจะเย้ยหยัน 

พระมหาสัตว์เชิญให้พระนางปัญจาลจันทีราชกุมารีประทับบนกองรัตนะแล้วอภิเษกในที่นั้น แล้วกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชว่า พระองค์เสด็จมาเพราะเหตุการณ์นี้ พระราชกุมารีนี้จงเป็นมเหสีของพระองค์ เรือ ๓๐๐ ลำได้เทียบอยู่แล้ว พระเจ้าวิเทหราชเสด็จลงจากพลับพลากว้างขึ้นสู่เรืออันตกแต่งแล้ว แม้กษัตริย์ทั้ง ๔ ก็ขึ้นสู่เรือ

ได้ยินว่า มโหสถนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ต่อไปในภายภาคหน้า พระเจ้าวิเทหราชอาจกริ้วแล้วฆ่าพระชนนีของพระเจ้าจุลนีเสีย หรือเอาพระนางนันทาเทวีผู้มีพระรูปงดงามมาเป็นพระมเหสี หรือฆ่าพระราชกุมารเสียก็ได้ จำเราจักถือปฏิญญาของพระเจ้าวิเทหราชไว้ เพราะฉะนั้น จึงได้กล่าวถวายอนุศาสน์พระราชาดังนี้

พระปัญจาลจันทกุมารนี้เป็นพระโอรสของพระเจ้าจุลนีผู้เป็นพระสัสสุระของพระองค์ เป็นพระกนิษฐภาดาของพระนางปัญจาลจันที บัดนี้พระเจ้าจุลนีเป็นพระสัสสุระ (พ่อตา) ของพระองค์แล้ว พระมารดาของพระนางปัญจาลจันทีนี้ พระนามว่านันทาเทวี เป็นพระสัสสู (แม่ยาย) ของพระองค์ 

บุตรย่อมกระทำวัตรปฏิบัติแก่มารดา ฉันใด พระองค์จงมีการกระทำวัตรปฏิบัติแก่พระนางนันทาเทวี ฉันนั้น ยังมาตุสัญญาซึ่งมีกำลังกว่าให้ปรากฏ อย่าทรงแลดูพระนางนันทาเทวีด้วยโลภจิตไม่ว่าในกาลไร ๆ 

ข้าแต่พระราชา พระองค์ทรงรักใคร่พระเชษฐภาดาร่วมพระอุทรพระมารดาเดียวกันโดยตรงของพระองค์อย่างใด พระองค์ควรทรงรักใคร่พระปัญจาลจันทราชกุมารอย่างนั้น 

พระนางปัญจาลจันทีนี้จักเป็นมเหสีของพระองค์ พระองค์อย่าทรงดูหมิ่นพระนางนี้ มโหสถบัณฑิตได้ถือปฏิญญาของพระเจ้าวิเทหราชอย่างนี้

พระเจ้าวิเทหราชทรงรับคำว่า ดีแล้ว มโหสถมิได้กล่าวอะไร ๆ ถึงพระราชชนนีพระเจ้าจุลนี เพราะเห็นว่าพระราชชนนีนั้นทรงพระชราแล้ว พระโพธิสัตว์ยืนกล่าวเรื่องทั้งปวงอยู่ริมฝั่งคงคา

ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราชเป็นผู้ใคร่จะรีบเสด็จไปด้วยความอยากจะพ้นจากมหนันตภัยจึงตรัสกะมโหสถว่า ดูก่อนมโหสถ เจ้าจงรีบขึ้นเรือ เจ้าจะยืนอยู่ริมฝั่งคงคาทำไมหนอ เราทั้งหลายพ้นจากทุกข์แล้ว จงไปบัดนี้เถิด

พระมหาสัตว์ได้ฟังรับสั่งจึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ การโดยเสด็จด้วยพระองค์ยังไม่ควรแก่ข้าพระองค์ ข้าแต่พระมหาราชเจ้า การที่ข้าพระองค์ผู้เป็นนายกแห่งเสนา มาทอดทิ้งเสนางคนิกรเสีย เอาแต่ตัวรอด หาชอบไม่ ข้าพระองค์จักนำมาซึ่งเสนางคนิกรในกรุงมิถิลาที่พระองค์ละไว้ และสิ่งของที่พระเจ้าพรหมทัตประทานแล้ว

มโหสถกล่าวดังนี้แล้วกราบทูลว่า ก็เมื่อเหล่าชนมาแต่ทางไกลบางพวกเคี้ยวกิน บางพวกดื่ม บางพวกเหน็ดเหนื่อยก็นอนหลับ ไม่รู้การที่พวกเราออกจากอุโมงค์แล้ว บางพวกเจ็บป่วย ทำงานมากับข้าพระองค์ตลอด๔ เดือน เป็นคนมีอุปการะแก่ข้าพระองค์ ก็บรรดาชนเหล่านั้นมีมาก ข้าพระองค์ไม่อาจจะทิ้งแม้คนหนึ่งไป แต่ข้าพระองค์จักกลับนำมาซึ่งเสนาทั้งปวงของพระองค์ และทรัพย์ที่พระเจ้าจุลนีประทานมิให้เหลือไว้ ขอพระองค์อย่าเฉื่อยช้าในที่ไหน รีบเสด็จไปโดยช้างม้าพาหนะเป็นต้น ที่ข้าพระองค์วางไว้เป็นระยะตามรายทางเข้าสู่กรุงมิถิลาเสียโดยเร็วพลัน

ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสกับมโหสถบัณฑิตว่า

ดูก่อนบัณฑิต เจ้าเป็นผู้มีเสนาน้อย จักข่ม พระเจ้าจุลนีผู้มีเสนามากตั้งอยู่อย่างไร เจ้าเป็นผู้ไม่มี กำลัง จักลำบากด้วยพระเจ้าจุลนีผู้มีกำลัง

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์กล่าวทูลพระราชาว่า

ถ้าบุคคลมีความคิด แม้มีเสนาน้อย ย่อมชนะบุคคลผู้ไม่มีความคิดที่มีเสนามากได้ พระราชาผู้มีปัญญาพระองค์ เดียวย่อมชนะพระราชาทั้งหลายที่มีปัญญาทรามได้ ดุจดวงอาทิตย์อุทัยกำจัดความมืด ฉะนั้น

ก็แลครั้นทูลดังนี้แล้ว พระมหาสัตว์ถวายบังคมพระเจ้าวิเทหราชกราบทูลว่า เชิญพระองค์เสด็จไปเถิด แล้วส่งเสด็จ พระเจ้าวิเทหราชทรงนึกถึงคุณของพระโพธิสัตว์ว่า เราพ้นจากเงื้อมมือข้าศึกแล้วหนอ และความประสงค์ของเราก็ถึงที่สุดแล้ว เพราะได้นางปัญจาลจันทีราชธิดาพระเจ้าพรหมทัตแล้ว ก็บังเกิดพระปีติปราโมทย์ จึงตรัสแก่เสนกะสรรเสริญคุณของมโหสถว่า

แน่ะอาจารย์เสนกะ เพราะมโหสถปลดเปลื้องพวกเราที่ตกอยู่ในเงื้อมมือข้าศึก ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า การอยู่ร่วมด้วยเหล่าบัณฑิตอย่างนี้ นี้เป็นสุขดีหนอ

ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราชเสด็จขึ้นจากแม่น้ำ ถึงหมู่บ้านที่มโหสถให้สร้างไว้ทุกระยะ ๑ โยชน์ ชนทั้งหลายที่มโหสถวางไว้ในหมู่บ้านนั้น ๆ ก็จัดช้างพาหนะข้าวน้ำเป็นต้นถวายพระราชา พระราชายังช้างม้ารถที่เหน็ดเหนื่อยแล้ว ๆ ให้กลับ เปลี่ยนสัตว์พาหนะนอกนี้ ถึงหมู่บ้านอื่นด้วยสัตว์พาหนะเหล่านั้น เสด็จไปด้วยระยะทาง ๑๐๐ โยชน์ก็โดยวิธีนี้ รุ่งเช้าก็เสด็จเข้ากรุงมิถิลา

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ไปสู่ประตูอุโมงค์ เปลื้องดาบที่ตนเหน็บไว้ออก คุ้ยทรายที่ประตูอุโมงค์ฝังดาบนั้นไว้ในทรายนั้น ก็แลครั้นฝังดาบแล้วก็เข้าไปสู่อุโมงค์แล้วออกจากอุโมงค์เข้าสู่เมืองที่สร้างไว้ ขึ้นปราสาทอาบน้ำแล้วบริโภคโภชนะอันมีรสเลิศต่าง ๆ แล้วไปสู่ที่นอนอันประเสริฐ เมื่อนึกว่ามโนรถของเราถึงที่สุดแล้วก็หลับไป 

ฝ่ายพระเจ้าจุลนีเสด็จถึงนครนั้นโดยกาลล่วงไปแห่งราตรีนั้น

ฝ่ายพระเจ้าจุลนีตรวจเสนางคนิกรแล้วให้รักษาการตลอดราตรี ครั้นอรุณขึ้นก็เสด็จถึงอุปการนคร เสด็จทรงช้างที่นั่งตรัสสั่งเสนาให้จับเป็นพระเจ้าวิเทหราช แล้วจึงทรงเตือนช้างที่นั่งด้วยพระแสงขออันประดับเพชร แล้วตรัสสั่งเสนาให้บุกอุปการนคร

ลำดับนั้น บุรุษทั้งหลายที่มโหสถวางไว้ ก็พาพวกของตนแวดล้อมมโหสถไว้เพื่อรักษาความปลอดภัย ขณะนั้น พระโพธิสัตว์ลุกจากที่นอน ชำระร่างกายแล้ว บริโภคอาหารเช้า ประดับตกแต่งตัวนุ่งผ้ามาแต่แคว้นกาสีราคาตั้งแสน ห่มรัตกัมพลเฉียงอังสา ถือไม้เท้าทองที่สำหรับใช้อันหนึ่ง สวมรองเท้าทอง มีเหล่าสตรีที่ตกแต่งแล้วดุจเทพอัปสรพัดให้อยู่ด้วยวาลวีชนี เปิดสีหบัญชรบนปราสาทแล้วแสดงตนแด่พระเจ้าจุลนี เดินกลับไปกลับมาด้วยลีลาดังท้าวสักกเทวราช

ฝ่ายพระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรเห็นสิริรูปอันอุดมของมโหสถ ก็ไม่สามารถจะยังพระมนัสให้เลื่อมใส เร่งไสช้างที่นั่งเข้าไปด้วยทรงคิดว่า เราจักจับมโหสถให้ได้ในบัดนี้ 

มโหสถโพธิสัตว์คิดว่า พระเจ้าจุลนีนี้ด่วนมาด้วยหมายจะได้ตัวพระเจ้าวิเทหราชในที่นี้เอง ชะรอยจะไม่ทรงทราบว่า เราจับพระโอรสพระธิดาและพระมเหสีของพระองค์ ส่งถวายแด่พระราชาของพวกเราแล้ว ดังนั้นจึงยืนอยู่ที่หน้าต่างกล่าวเย้ยหยันกับพระเจ้าจุลนีว่า

พระองค์ด่วนไสช้างที่นั่งตัวประเสริฐมาทำไมหนอ พระองค์มีพระหฤทัยร่าเริงแล้วเสด็จมา คงจะเข้าพระทัยว่าทรงเป็นผู้ได้ประโยชน์แล้ว ขอพระองค์ทรงลดแล่งธนูนั่นลงเสียเถิด ทรงทิ้งลูกธนูเสียเถิด ทรงเปลื้องเกราะอันงามโชติช่วงด้วยแก้วไพฑูรย์ แก้วมณีนั่นออกเสียเถิด

พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับคำของมโหสถแล้วจึงตรัสคุกคามมโหสถว่า ธรรมดาความผ่องใสแห่งผิวพรรณอย่างนี้ ย่อมมีแก่คนในเวลาใกล้ตายเท่านั้น เพราะฉะนั้น วันนี้เราจักตัดศีรษะของเจ้าแล้วดื่มชัยบาน

ในเวลาที่มโหสถทูลกับพระเจ้าจุลนีนั้นอย่างนี้ ฝ่ายพลนิกายเป็นอันมากได้เห็นรูปสิริแห่งพระมหาสัตว์ จึงได้ไปสู่สำนักของพระเจ้าพรหมทัตด้วยคิดว่า พระราชาของพวกเราทรงปรึกษามโหสถ ตรัสอะไรกันหนอ พวกเราจักฟังพระดำรัสและถ้อยคำแห่งพระราชาและมโหสถ 

ฝ่ายมโหสถบัณฑิตได้ฟังพระดำรัสของพระเจ้าจุลนีแล้ว คิดว่า พระเจ้าจุลนีทรงรู้จักเรา มโหสถบัณฑิตน้อยไป คิดฉะนี้จึงทูลว่า ข้าแต่ขัตติยราช พระดำรัสที่พระองค์ตรัสคุกคามไร้ประโยชน์เสียแล้ว เรื่องที่พระองค์และเกวัฏสมคบคิดกันในห้องพระบรรทมนั้นอย่าคิดว่าจะไม่มีใครรู้ เรื่องนั้นข้าพระองค์รู้แล้วก่อนทีเดียว

ข้าแต่พระมหาราช พระราชาของพวกข้าพระองค์ พระองค์ทรงจับได้ยากเหมือนม้าสินธพกับม้ากระจอก พระองค์เหมือนคนขี่ม้ากระจอก ไม่อาจที่จะจับพระราชาของพวกข้าพระองค์ซึ่งเหมือนคนขี่ม้าอาชาไนยมีกำลังเร็ว

พระเจ้าวิเทหราชพร้อมด้วยเหล่าอำมาตย์ข้าราชบริพารเสด็จข้ามน้ำไปแต่วันวานนี้แล้ว มิได้เสด็จหนีไปพระองค์เดียวเสียด้วย ก็ถ้าพระองค์จักไล่ตามพระเจ้าวิเทหราช ก็เหมือนกาบินไล่ตามพระยาหงส์ทองจักตกในระหว่างทางนั่นแล

บัดนี้ พระมหาสัตว์ผู้องอาจประดุจพระยาไกรสรราชสีห์ มิได้พรั่นพรึงในเรื่องใด เมื่อจะแสดงอุทาหรณ์ต่อพระเจ้าจุลนีจึงทูลว่า

สุนัขจิ้งจอกทั้งหลายเป็นสัตว์ต่ำช้ากว่ามฤค เห็นดอกทองกวาวบานท่ามกลางแสงจันทร์ในรัตติกาล ก็คิดว่าเป็นชิ้นเนื้อ เข้าล้อมต้นอยู่ ด้วยหวังว่า จักเคี้ยวกินชิ้นเนื้อแต่เช้าทีเดียวแล้วจักไป ครั้นเมื่อราตรีล่วงไปแล้ว พระอาทิตย์ขึ้น สุนัขจิ้งจอกเห็นดอกทองกวาวบานแล้วรู้ว่านี้ไม่ใช่เนื้อก็หมดหวัง ฉันใด ข้าแต่พระราชา พระองค์ทรงล้อมพระเจ้าวิเทหราช ก็จักทรงหมดหวัง เสด็จไปเหมือนสุนัขจิ้งจอกทั้งหลายเห็นดอกทองกวาว ฉันนั้น

พระเจ้าจุลนีทรงสดับคำอันไม่พรั่นพรึงของมโหสถนั้น ทรงคิดว่า บุตรคฤหบดีนี้เป็นคนกล้าเกินกล่าวแล้ว มันคงให้พระเจ้าวิเทหราชเสด็จหนีไปแล้วโดยไม่ต้องสงสัย ก็กริ้วเหลือเกิน ทรงรำพึงว่า เมื่อก่อน พวกเราต้องทิ้งแม้แห่งผ้าสาฎกที่คาดพุงเพราะมโหสถ บัดนี้ปัจจามิตรอยู่ในเงื้อมมือของพวกเราแล้ว มโหสถก็ทำให้หนีไป มโหสถเป็นคนทำความฉิบหายแก่พวกเรามากหนอ เราจักทำโทษอันควรทำแก่คนสองคน มารวมลงโทษแก่มโหสถนี้คนเดียว เมื่อจะทรงสั่งลงโทษแก่มโหสถ จึงตรัสว่า

เจ้าทั้งหลายจงตัดมือและเท้า หูและจมูกของมโหสถผู้ปล่อยพระเจ้าวิเทหราชศัตรูของข้า ซึ่งอยู่ในเงื้อมมือแล้วไปเสีย เจ้าทั้งหลายจงเสียบมโหสถเสียด้วยหลาว ย่างมันให้ร้อนดุจย่างเนื้อ ข้าให้เจ้าทั้งหลายทิ่มแทงมโหสถแล้วฆ่าเสียด้วยหอก เหมือนบุคคลแทงหนังโคที่แผ่นดิน หรือเกี่ยวหนังราชสีห์หรือเสือโคร่งฉุดมาด้วยขอฉะนั้น

พระมหาสัตว์ได้ฟังพระดำรัสดังนั้นก็หัวเราะ คิดว่าพระราชานี้ไม่รู้ว่าเราส่งพระมเหสีและพระวงศานุวงศ์ของพระองค์ไปกรุงมิถิลาแล้ว เพราะฉะนั้นจึงคิดลงโทษแก่เรา เอาเถิด เราจะแจ้งเหตุการณ์เพื่อทำให้พระองค์โศกาดูรเสวยทุกข์ บรรทมสลบอยู่บนหลังช้างที่นั่งนั่นเอง คิดฉะนี้แล้วจึงทูลว่า

ถ้าพระองค์ตัดมือและเท้า หูและจมูกของข้าพระองค์ พระเจ้าวิเทหราชจักให้ตัดพระหัตถ์เป็นอาทิ แห่งพระปัญจาลจันทราชโอรส พระนางปัญจาลจันทีราชธิดา และพระนางนันทาเทวีมเหสีของพระองค์อย่างนั้นเหมือนกัน

ถ้าพระองค์เสียบเนื้อข้าพระองค์ด้วยหลาว ย่างให้ร้อน พระเจ้าวิเทหราชก็จักให้เสียบเนื้อพระปัญจาลจันทราชโอรส พระนางปัญจาลจันทีราชธิดา และพระนางนันทาเทวีมเหสีของพระองค์ ย่างให้ร้อนอย่างนั้นเหมือนกัน.

ถ้าพระองค์จักทิ่มแทงข้าพระองค์ด้วยหอก พระเจ้าวิเทหราชก็จักให้ทิ่มแทงพระปัญจาลจันทราชโอรส พระนางปัญจาลจันทีราชธิดา และพระนางนันทาเทวีมเหสีของพระองค์ด้วยหอก อย่างนั้นเหมือนกัน

ข้อความดังกราบทูลมาอย่างนี้ พระเจ้าวิเทหราชกับข้าพระองค์ได้ปรึกษา ตกลงกันไว้แล้วเป็นความลับ โล่หนังมีน้ำหนัก ๑๐๐ ปละ ที่ช่างหนังทำสำเร็จแล้วด้วยมีดของช่างหนังย่อมช่วยป้องกันตัว เพื่อห้ามกันลูกศรทั้งหลาย ฉันใด ข้าพระองค์เป็นผู้นำความสุข บรรเทาทุกข์ถวายพระเจ้าวิเทหราชผู้เรืองยศ ก็จำต้องทำลายลูกศร คือ พระดำริของพระองค์ ด้วยโล่หนัง คือ ความคิดของข้าพระองค์ ฉันนั้น

พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับดังนั้นแล้วทรงพระดำริว่า บุตรคฤหบดีพูดอย่างนี้ทำไม ได้ยินว่า เราทำโทษแก่เขาอย่างใด พระเจ้าวิเทหราชจักทรงทำโทษแก่โอรสและมเหสีของเราอย่างนั้น บุตรคฤหบดีไม่รู้ว่าเราจัดการอารักขาโอรสและมเหสีของเราอย่างดี บัดนี้เขาจักตายจึงบ่นเพ้อด้วยกลัวตายนั่นเอง เราไม่เชื่อคำของเขา

มโหสถคิดว่า พระราชาสำคัญตัวเราว่า พูดด้วยความกลัวตาย เราจักให้พระองค์ทรงทราบเสีย จึงทูลว่า

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เชิญเถิด ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรดูภายในเมืองของพระองค์ซึ่งว่างเปล่า นางสนม และกุมารทั้งหลายตลอดถึงพระชนนีของพระองค์ ข้าพระองค์ให้นำออกจากอุโมงค์ถวายไปแด่พระเจ้าวิเทหราชแล้ว

พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับดังนั้นจึงทรงคิดว่า บุตรคฤหบดีนี้กล่าวหนักแน่นเหลือเกิน อนึ่ง เมื่อคืนนี้เราได้ยินเสียงเหมือนเสียงนางนันทาเทวีข้างแม่น้ำคงคา มโหสถนี้เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก บางทีพึงกล่าวจริง ทรงคิดฉะนี้แล้ว เกิดความโศกมีกำลัง ดำรงพระสติไว้ทำเป็นไม่โศก ตรัสเรียกอำมาตย์คนหนึ่งมาส่งไปในเมือง ตรวจตราดูว่าคำพูดของมโหสถนี้จริงหรือเท็จอย่างไร

อำมาตย์นั้นพร้อมด้วยบริวารไปสู่พระราชนิเวศน์ เปิดพระทวารเข้าไปภายใน ได้เห็นเหล่าคนผู้รักษาพระราชนิเวศน์ และเหล่าบริจาริกานารีที่ค่อมแคระเป็นต้นถูกผูกมือและเท้าอุดปากติดกับไม้นาคทันต์ทั้งหลาย ภาชนะในห้องเครื่องแตกทำลาย ขาทนียโภชนียะเกลื่อนกล่นในที่นั้น และห้องบรรทมมีประตูเปิด มีการปล้นรัตนะ ซึ่งเหล่าปัจจามิตรเปิดประตูคลังรัตนะทิ้งไว้ ได้เห็นฝูงกาเข้าไปทางพระทวารและพระแกลซึ่งเปิดทิ้งไว้เที่ยวอยู่ในพระราชนิเวศน์ราวกับบ้านที่ทิ้งแล้ว หรือประหนึ่งพื้นสุสาน จึงกลับมากราบทูลแด่พระราชา

พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับดังนั้นก็ทรงสะทกสะท้านด้วยความโศกเกิดแต่ความพลัดพรากจากกษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์ก็ทรงพิโรธพระโพธิสัตว์เกินเปรียบดุจงูพิษถูกตีด้วยท่อนไม้ว่า ความทุกข์ของเรานี้เกิดขึ้นเพราะอาศัยบุตรคฤหบดี

มโหสถเห็นพระอาการกริ้วของพระเจ้าจุลนี จึงคิดว่า พระราชาพระองค์นี้อาจจะเบียดเบียนเราด้วยอำนาจแห่งความโกรธ เราต้องทำพระนางนันทาเทวี ให้เป็นเหมือนพระราชานี้ยังไม่เคยเห็น เราพึงสรรเสริญรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณแห่งพระนางนั้น ทีนั้นพระราชาก็จะทรงระลึกถึงพระนางนั้น ก็จักไม่ทำอะไร ๆ แก่เราด้วยทรงรักใคร่ในพระมเหสีของพระองค์ ด้วยทรงคะนึงว่า ถ้าเราฆ่ามโหสถเสีย เราก็จักไม่ได้พระนางคืนมา

มโหสถคิดฉะนี้แล้ว จึงได้ยืนอยู่บนปราสาทสรรเสริญพระรูปแห่งพระนางนั้น เมื่อพระมหาสัตว์พรรณนารูปสิริของพระนางนันทาเทวีแล้ว พระนางเธอก็ได้เป็นเหมือนสตรีที่พระเจ้าจุลนีไม่เคยได้ทอดพระเนตรเห็นมาก่อนพระองค์บังเกิดความเสน่หาเป็นกำลัง

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทราบว่า พระเจ้าจุลนีมีความเสน่หาเกิดขึ้น จึงได้กล่าวต่อไปว่า

ข้าแต่พระมหาราชผู้มีพาหนะถึงพร้อมด้วยสิริ พระองค์ย่อมทรงยินดีด้วยการทิวงคตของพระนางนันทาเทวีผู้ทรงพระรูปอันอุดมอย่างนี้แน่ ก็ถ้าพระองค์จักฆ่าข้าพระองค์ พระราชาของข้าพระองค์ก็จักฆ่าพระนางนันทาเทวีอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้น พระนางนันทาเทวีและข้าพระองค์ก็จักไปสำนักของยมราช ยมราชเห็นข้าพระองค์ทั้งสองแล้วก็จักให้พระนางนันทาเทวีแก่ข้าพระองค์เท่านั้น เมื่อข้าพระองค์แม้ตายแล้วก็ยังได้นางแก้วเช่นนั้น จักเสียประโยชน์อะไรเล่า ข้าพระองค์แลไม่เห็นความเสื่อมเพราะตัวต้องตาย พระเจ้าข้า

พระมหาสัตว์สรรเสริญพระนางนันทาเทวีเท่านั้น หาได้สรรเสริญกษัตริย์อีก ๓ องค์ไม่ ด้วยเหตุว่า ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายย่อมไม่ทำสิเนหาอาลัยในชนอื่น ๆ ดุจในภรรยาที่รัก หรือว่าชนทั้งหลาย เมื่อไม่ระลึกถึงมารดา ก็จักไม่ระลึกถึงบุตรและธิดา เพราะเหตุนั้นพระโพธิสัตว์จึงสรรเสริญพระนางนันทาเทวีเท่านั้น ไม่สรรเสริญพระราชมารดา เพราะทรงพระชราแล้ว

ในเมื่อพระมหาสัตว์สรรเสริญพระนางนันทาเทวีด้วยเสียงอ่อนหวาน พระนางนันทาเทวีก็ได้เป็นเหมือนมาประทับอยู่หน้าที่นั่งพระเจ้าจุลนี แต่นั้นพระเจ้าจุลนีจึงทรงคิดว่า ยกมโหสถบัณฑิตเสีย บุคคลอื่นที่ชื่อว่าสามารถจะพามเหสีที่รักของเรามาให้แก่เรา ย่อมไม่มี

ลำดับนั้นเมื่อพระเจ้าจุลนีทรงระลึกพระนางเจ้านั้น ความโศกก็เกิดขึ้น พระโพธิสัตว์จึงทูลเล้าโลมพระเจ้าจุลนีว่า พระองค์อย่าทรงวิตกเลย พระราชเทวี พระราชโอรส และพระราชชนนีของพระองค์ ทั้ง ๓ องค์จักเสด็จกลับมา เวลาที่ข้าพระองค์กลับไปนั่นแหละ จะเป็นกำหนดในการเสด็จกลับแห่งกษัตริย์ทั้ง ๓ องค์นั้น เพราะฉะนั้น ขอพระองค์วางพระหฤทัยเสียเถิด พระเจ้าข้า

ลำดับนั้น พระเจ้าจุลนีทรงคิดว่า เราให้ทำการพิทักษ์รักษาเมืองของเราเป็นอันดี แล้วมาตั้งล้อมอุปการนครนี้ด้วยพลพาหนะถึงเท่านี้ มโหสถยังนำพระเทวีโอรสธิดา และพระชนนีของเรา จากเมืองเราซึ่งรักษาดีแล้วอย่างนี้ไปให้พระเจ้าวิเทหราชได้ และเมื่อพวกเราตั้งล้อมอยู่อย่างนี้ มโหสถยังพระเจ้าวิเทหราชทั้งพลพาหนะให้หนีไป แม้สักคนหนึ่งก็หามีใครรู้ไม่ มโหสถรู้เล่ห์กลอันเป็นทิพย์หรือ หรือเป็นเพียงอุบายบังตาหนอ จึงตรัสถามข้อความกะมโหสถว่า

เจ้ารู้เล่ห์กลอันเป็นทิพย์ หรือ เจ้าได้ทำอุบายบังตา ในการที่เจ้าปล่อยพระเจ้าวิเทหราชผู้เป็นศัตรูของข้า ไปเสียจากเงื้อมมือข้า

มโหสถได้ฟังรับสั่งจึงทูลว่า

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า บัณฑิตทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมบรรลุเล่ห์กลอันเป็นทิพย์ บัณฑิตชนผู้มีความรู้ เหล่านั้นจึงเปลื้องตนจากทุกข์ได้ เหล่าโยธารุ่นหนุ่มของข้าพระองค์มีอยู่ เป็นคนฉลาด เป็นทหารขุดอุโมงค์ พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปกรุงมิถิลา โดยทางที่ทหารเหล่านี้ทำไว้

พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับคำนี้แล้ว ก็ใคร่จะทอดพระเนตรอุโมงค์โดยทรงคิดว่า มโหสถแจ้งว่า ได้ยินว่า พระเจ้าวิเทหราชได้เสด็จไปโดยอุโมงค์ที่ตกแต่งไว้ อุโมงค์เป็นอย่างไรหนอ

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์รู้ว่า พระเจ้าจุลนีมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรอุโมงค์ จึงคิดว่า พระราชาใคร่จะทอดพระเนตรอุโมงค์ เราจักแสดงอุโมงค์แก่พระองค์ จึงได้กล่าวเชื้อเชิญพระราชาว่า

เชิญเถิด พระเจ้าข้า ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรอุโมงค์ที่ได้สร้างไว้ดีแล้ว งามรุ่งเรืองด้วยระเบียบแห่งกองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และ กองพลราบ ซึ่งสำเร็จดีแล้วตั้งอยู่

ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มโหสถได้ทูลต่อไปว่า อุโมงค์ซึ่งตกแต่งแล้ว ข้าพระองค์ให้สร้างไว้ด้วยปัญญาของข้าพระองค์ เป็นราวกะปรากฏแล้วในที่ตั้งขึ้นแห่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ พระองค์จงทอดพระเนตรประตูใหญ่ ๘๐ ประตูน้อย ๖๔ ห้องนอน ๑๐๑ โคมดวงประทีป ๑๐๑ พระองค์จงเป็นผู้พร้อมเพรียงบันเทิงกับด้วยข้าพระองค์ เสด็จเข้าไปสู่อุปการนครกับด้วยราชบริพาร ทูลฉะนี้แล้วให้เปิดประตูเมือง พระเจ้าจุลนีพระราชาร้อยเอ็ดแวดล้อมเสด็จเข้าสู่เมือง พระมหาสัตว์ลงจากปราสาทถวายบังคมพระเจ้าจุลนีพาพระราชาพร้อมด้วยราชบริพารเข้าสู่อุโมงค์ พระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรเห็นอุโมงค์ราวกะเทวสภา จึงทรงพรรณนาคุณแห่งพระโพธิสัตว์ว่า

ดูก่อนมโหสถ บัณฑิตทั้งหลายเช่นนี้ เหล่านี้ อย่างตัวเจ้า อยู่ในเรือน ในแว่นแคว้นแห่งผู้ใด เป็นลาภของชาววิเทหรัฐและชาวกรุงมิถิลาผู้ได้อยู่ร่วมกับผู้นั้น

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้แสดงห้องนอน ๑๐๑ ห้องแด่พระเจ้าจุลนี ครั้นประตูห้องหนึ่งเปิด ประตูทั้งหมดก็เปิด ครั้นประตูห้องหนึ่งปิด ประตูทั้งหมดก็ปิด เมื่อพระราชาทอดพระเนตรพลางเสด็จไปข้างหน้า มโหสถโดยเสด็จไปข้างหลัง เสนาทั้งปวงก็เข้าไปสู่อุโมงค์ ครั้นเมื่อพระราชาเสด็จออกจากอุโมงค์ มโหสถรู้ว่าพระราชาเสด็จออก จึงตามออกมาบ้าง แล้วให้ทหารกันไม่ให้ชนทั้งปวงออก ปิดประตูอุโมงค์เหยียบเครื่องกลไกทำให้ประตูใหญ่ ๘๐ ประตูน้อย ๖๔ ประตูห้องนอน ๑๐๑ และโคมดวงประทีป ๑๐๑ ก็ปิดพร้อมกัน อุโมงค์ทั้งสิ้นก็มืดราวกะโลกันตนรก มหาชนทั้งกลัวทั้งสะดุ้ง

พระมหาสัตว์หยิบดาบซึ่งตนเข้าไปฝังทรายไว้เมื่อวานนี้ แล้วโดดขึ้นจากพื้นสู่อากาศสูง ๑๘ ศอก แล้วกลับลงมาจากอากาศ จับพระหัตถ์พระเจ้าจุลนีพรหมทัตไว้เงื้อดาบให้ตกพระหฤทัยทูลถามว่า ราชสมบัติในสกลชมพูทวีปเป็นของใคร

พระราชากลัวตรัสตอบว่า เป็นของเธอ แล้วตรัสว่า เธอจงให้อภัยแก่ข้า

มโหสถทูลว่า พระองค์อย่าตกพระหฤทัยกลัวเลย พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จับดาบด้วยใคร่จะปลงพระชนม์ก็หาไม่ ข้าพระองค์จับเพื่อจะสำแดงปัญญานุภาพของข้าพระองค์ ทูลฉะนี้แล้วถวายดาบนั้นต่อพระหัตถ์พระราชา

ลำดับนั้นมโหสถทูลพระราชาผู้ทรงถือดาบประทับยืนอยู่ว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ถ้าพระองค์ทรงใคร่จะฆ่าข้าพระองค์ ก็จงฆ่าด้วยดาบเล่มนี้ ถ้าพระองค์ทรงใคร่จะพระราชทานอภัย ก็จงพระราชทาน

พระราชาตรัสตอบว่า ดูก่อนบัณฑิต ข้าให้อภัยแก่เธอจริง ๆ เธออย่าคิดอะไรเลย

พระราชาจุลนีพรหมทัตกับมโหสถโพธิสัตว์ทั้งสองต่างจับดาบทำสาบานเพื่อไม่ประทุษร้ายต่อกันและกัน

ลำดับนั้น พระเจ้าจุลนีตรัสกะพระโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนบัณฑิต เธอเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกำลังปัญญาอย่างนี้ เหตุไรไม่เอาราชสมบัติเสีย

มโหสถทูลตอบว่า ถ้าพระองค์อยากได้ ก็จะฆ่าพระราชาในสกลชมพูทวีปเสียในวันนี้แล้วเอาราชสมบัติ ก็แต่การฆ่าผู้อื่นแล้วถือเอายศ นักปราชญ์ทั้งหลายไม่สรรเสริญ

ลำดับนั้นพระราชาตรัสว่า ดูก่อนบัณฑิต มหาชนออกจากอุโมงค์ไม่ได้ก็คร่ำครวญเธอจงเปิดประตูอุโมงค์ให้ชีวิตทานแก่มหาชนเถิด

มโหสถก็สั่งให้เปิดประตูอุโมงค์ อุโมงค์ทั้งสิ้นก็มีแสงสว่างปรากฎขึ้น พระราชาทั้งปวงออกจากอุโมงค์กับเสนาไปสู่สำนักมโหสถ มโหสถสถิตอยู่ ณ พลับพลาอันกว้างขวางกับพระราชาจุลนี

ลำดับนั้น พระราชาเหล่านั้นตรัสกะมโหสถว่าพวกข้าพเจ้าได้ชีวิตเพราะอาศัยท่าน ถ้าท่านไม่เปิดประตูอุโมงค์อีกครู่เดียวข้าพเจ้าทั้งปวงก็จักถึงความตายในอุโมงค์นั้นนั่นเอง

มโหสถทูลตอบว่า ข้าแต่มหาราชทั้งหลาย พระองค์ไม่เสียพระชนมชีพเพราะอาศัยข้าพระองค์ แต่ในบัดนี้ก็หาไม่ แม้ในกาลก่อนพระองค์ก็ได้อาศัยข้าพระองค์จึงยังดำรงพระชนมชีพอยู่

พระราชาเหล่านั้นตรัสถามว่า เมื่อไร บัณฑิต

มโหสถบันฑิตจึงทูลว่า ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์ทรงฟัง ทรงระลึกถึงกาลเมื่อพระเจ้าจุลนียึดราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้นได้ ยกเสียแต่เมืองของพวกข้าพระองค์ แล้วกลับอุตตรปัญจาลราชธานี แล้วจัดแต่งสุราเพื่อดื่มชัยบานในสวนหลวงได้หรือไม่

พระราชาเหล่านั้นรับว่าระลึกได้

มโหสถจึงทูลว่า ในกาลนั้น พระราชาจุลนีกับเกวัฏผู้มีความคิดชั่ว ประกอบกิจนั้นเพื่อปลงพระชนม์เหล่าพระองค์ด้วยสุราที่ประกอบด้วยยาพิษและมัจฉมังสะเป็นต้น ทีนั้นข้าพระองค์จึงรำพึงว่า เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เหล่าพระองค์จงอย่าได้เสียพระชนมชีพโดยหาที่พึ่งมิได้เลย คิดในใจดังนี้จึงส่งพวกคนของข้าพระองค์ไป ให้ทำลายภาชนะทั้งปวง ทำลายความคิดของพวกนั้นเสีย ได้ให้ชีวิตทานแด่พระองค์ทั้งหลาย

พระราชาเหล่านั้นทั้งหมดได้สดับคำของมโหสถ ก็มีพระมนัสหวาดเสียว จึงทูลถามพระเจ้าจุลนีว่า จริงหรือไม่ พระเจ้าข้า

พระเจ้าจุลนีตรัสตอบว่า จริง ดีฉันเชื่อถ้อยคำของอาจารย์เกวัฏได้ทำอย่างนั้น มโหสถบัณฑิตได้กล่าวจริงทีเดียว

พระราชาเหล่านั้นต่างสวมกอดพระมหาสัตว์ ตรัสว่า แน่ะบัณฑิต ท่านได้เป็นที่พึ่งของพวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าได้รอดชีวิตเพราะท่าน ตรัสฉะนี้แล้วบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยราชาภรณ์ทั้งปวง

มโหสถทูลพระเจ้าจุลนีอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์อย่าได้ทรงคิดเลย นั่นเป็นโทษของการส้องเสพด้วยมิตรลามกนั่นเอง ขอพระองค์จงตรัสขอให้พระราชาเหล่านั้นยกโทษให้พระองค์เถิด

พระราชาพรหมทัตตรัสว่า เราได้ทำกรรมเห็นปานนี้แก่พวกท่านเพราะอาศัยคนชั่ว นั่นเป็นความผิดของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายจงยกโทษแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักไม่ทำกรรมเห็นปานนี้อีก รับสั่งฉะนี้แล้วให้พระราชาเหล่านั้นขมาโทษ พระราชาเหล่านั้นแสดงโทษกะกันและกัน แล้วเป็นผู้พร้อมเพรียง ชื่นชมต่อกัน 

ลำดับนั้น พระเจ้าจุลนีให้นำขาทนียะและโภชนียะเป็นอันมาก และดนตรีของหอมดอกไม้เป็นต้นมา เล่นอยู่ในอุโมงค์กับด้วยกษัตริย์ทั้งปวงตลอดสัปดาห์แล้วเข้าสู่พระนคร ให้ทำสักการะใหญ่แก่พระมหาสัตว์ แวดล้อมไปด้วยพระราชาร้อยเอ็ด ประทับนั่ง ณ พื้นพระราชมณเฑียรตรัสด้วยมีพระราชประสงค์จะให้มโหสถบัณฑิตอยู่ในราชสำนักของพระองค์ ว่า

ข้าจะให้เครื่องเลี้ยงชีพ การบริหาร เบี้ยเลี้ยง และบำเหน็จเพิ่มขึ้น ๒ เท่า และให้โภคสมบัติอันไพบูลย์อื่น ๆ เจ้าจงใช้สอยสิ่งที่ปรารถนา จงรื่นรมย์เถิด อย่ากลับไปหาพระเจ้าวิเทหราชเลย พระเจ้าวิเทหราชจักทำอะไรได้

ฝ่ายมโหสถบัณฑิตเมื่อจะทูลห้ามพระเจ้าจุลนี ได้ทูลว่า

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ผู้ใดละทิ้งท่านผู้ชุบเลี้ยงตนเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ผู้นั้นย่อมถูกตนเองและผู้อื่นติเตียนทั้งสองฝ่าย พระเจ้าวิเทหราชยังทรงพระชนม์อยู่เพียงใด ข้าพระองค์ไม่พึงเป็นราชบุรุษของพระราชาอื่นเพียงนั้น พระเจ้าวิเทหราชยังดำรงพระชนม์อยู่เพียงใด ข้าพระองค์ไม่พึงอยู่ในแว่นแคว้นของพระราชาอื่นเพียงนั้น

ลำดับนั้น พระเจ้าจุลนีตรัสกะมโหสถว่า แน่ะบัณฑิต ถ้าอย่างนั้นท่านจงให้ปฏิญญาว่าจะมาในนครนี้ ในเมื่อพระราชาของท่านทิวงคตแล้ว มโหสถทูลสนองว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า เมื่อข้าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่จักมา 

ลำดับนั้นพระเจ้าจุลนีพรหมทัตทรงทำมหาสักการะแก่พระโพธิสัตว์ตลอดสัปดาห์ ครั้นล่วงไปอีกสัปดาห์ เวลาที่มโหสถทูลลา จึงตรัสว่า

ดูก่อนมโหสถบัณฑิต ข้าให้ทอง ๑,๐๐๐ นิกขะ และหมู่บ้านในแคว้นกาสีเหล่าใดเก็บส่วยได้ปีละหนึ่งแสนกหาปณะ ข้าให้หมู่บ้านเหล่านั้นแก่เจ้า ๘๐ หมู่บ้าน ข้าให้ทาสี ๔๐๐ คน และภรรยา ๑๐๐ คนแก่เจ้า เจ้าจงพาเสนางคนิกรทั้งปวงไปโดยสวัสดีเถิด.

กาสิกรัฐนั้นอยู่ใกล้วิเทหรัฐ เพราะฉะนั้น พระเจ้าจุลนีจึงประทานหมู่บ้าน ๘๐ หมู่บ้านในกาสิกรัฐนั้นแก่มโหสถ 

ฝ่ายมโหสถทูลพระเจ้าจุลนีว่า พระองค์อย่าทรงวิตกถึงพระราชวงศ์เลย ข้าพระองค์ได้ทูลพระราชาของข้าพระองค์ไว้ในเวลาเมื่อพระองค์เสด็จไปกรุงมิถิลาว่า ขอพระองค์จงตั้งพระนางนันทาเทวีไว้ในที่พระราชชนนี จงตั้งพระปัญจาลจันทกุมารไว้ในที่พระกนิษฐภาดา ทูลฉะนั้นแล้วได้อภิเษกพระนางปัญจาลจันทีราชธิดาของพระองค์กับพระเจ้าวิเทหราช แล้วจึงได้ส่งเสด็จพระเจ้าวิเทหราช ข้าพระองค์จักส่งพระราชมารดาพระนางนันทาเทวี และพระราชโอรสของพระองค์กลับมาโดยเร็วทีเดียว

พระเจ้าจุลนีพรหมทัตตรัสว่า ดีแล้ว พ่อบัณฑิต แล้วฝากข้าทาสชายหญิง โค กระบือ และเครื่องประดับ และทอง เงิน ช้าง ม้า รถอันตกแต่งแล้วเป็นต้น ให้มโหสถนำไปเพื่อพระราชทานแก่พระราชธิดาด้วย โดยมีพระดำรัสว่า เจ้าพึงให้ทรัพย์เหล่านี้แก่พระปัญจาลจันทีราชบุตรีข้า เมื่อทรงพิจารณากิจอันควรทำแก่เสนาพาหนะ จึงตรัสว่า 

พระเจ้าจุลนีทรงทำสักการะใหญ่แก่มโหสถบัณฑิตแล้วทรงส่งไป ด้วยประการฉะนี้ แม้พระราชาร้อยเอ็ดเหล่านั้น ก็ทำมหาสักการะประทานบรรณาการเป็นอันมาก ฝ่ายเหล่าบุรุษที่มโหสถวางไว้ในสำนักของพระราชาร้อยเอ็ดเหล่านั้นก็แวดล้อมมโหสถ 

มโหสถเดินทางไปด้วยบริวารมากในระหว่างทางได้ส่งคนไปเก็บส่วยแต่บ้านที่พระเจ้าจุลนีประทาน ถึงวิเทหรัฐ ฝ่ายอาจารย์เสนกะได้วางคนไว้ในระหว่างทางสั่งว่า เจ้าจงดูพระเจ้าจุลนีเสด็จมาหรือไม่เสด็จมา และบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งมา จงบอกข้า 

ฝ่ายคนผู้รับคำสั่งของเสนกะเห็นมโหสถมาแต่ไกลราว ๓ โยชน์จึงมาแจ้งแก่เสนกะว่า มโหสถมากับบริวารเป็นอันมาก เสนกะได้ฟังจึงได้ไปสู่ราชสำนัก ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชประทับอยู่ ณ พื้นปราสาท ทอดพระเนตรภายนอกทางพระแกลเห็นกองทัพใหญ่ ทรงรำพึงว่า เสนาของมโหสถมีอยู่ไม่มาก ก็เสนานี้ปรากฏว่ามากเหลือเกิน พระเจ้าจุลนีคงเสด็จมากระมังหนอ ทรงรำพึงดังนี้ก็ทั้งทรงกลัวทั้งทรงสะดุ้ง ตรัสถามอาจารย์ทั้ง ๔ ว่า

เสนาคือกองช้าง กองม้า กองรถ กองราบนั้น ปรากฏมากมาย เป็นจตุรงคินีเสนาที่น่ากลัว บัณฑิตทั้งหลายเห็นเป็นอย่างไรหนอ. 

ลำดับนั้น เสนกะจึงกราบทูลตามที่ได้ทราบมาว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ความยินดีอย่างสูงสุดย่อมปรากฏเฉพาะแด่พระองค์ มโหสถพากองทัพทั้งปวงมาถึงแล้วโดยสวัสดี

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำของเสนกะจึงตรัสว่า ดูก่อนท่านเสนกะ เสนาของมโหสถบัณฑิตน้อย ก็แต่นี่มากมาย 

เสนกะทูลตอบว่า มโหสถจักทำให้พระเจ้าจุลนีทรงเลื่อมใส พระเจ้าจุลนีทรงเลื่อมใสแล้วจักพระราชทานเสนาแก่มโหสถ 

พระเจ้าวิเทหราชจึงให้เอากลองตีป่าวร้องในพระนครว่า ชาวเมืองทั้งหลาย จงตกแต่งพระนครต้อนรับมโหสถบัณฑิต ชาวพระนครก็ทำตามประกาศ มโหสถเข้าพระนครไปสู่ราชสำนัก ถวายบังคมพระเจ้าวิเทหราชแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราชเสด็จลุกขึ้นสวมกอดมโหสถแล้วประทับเหนือบัลลังก์อันประเสริฐ เมื่อจะทรงทำปฏิสันถารจึงตรัสว่า

พวกเราทิ้งเจ้าไว้ในกัปปิลรัฐ แล้วกลับมาที่นี้ ก็เหมือนกับ บัณฑิตคน ๔ คนนำคนตายไปป่าช้าด้วยเตียง ทิ้งคนตายนั้นไว้ในป่าช้านั้น ไม่เหลียวแลไป เจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของข้าศึก กระทำตนให้พ้นอันตรายมาได้ ด้วยเหตุอะไรด้วยปัจจัยอะไร ด้วยผลอะไร

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงเล่าเรื่องที่ตนทำทั้งหมดถวายโดยละเอียด พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับดังนั้นแล้วทรงโสมนัส ลำดับนั้นมโหสถบัณฑิตเมื่อจะทูลถึงบรรณาการที่พระเจ้าจุลนีพระราชทานแก่ตนให้ทรงทราบ แต่นั้น พระราชาทรงยินดีร่าเริงเหลือเกิน ตรัสสรรเสริญคุณของพระมหาสัตว์เป็นอันมาก 

ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราชให้ตีกลองป่าวร้องในพระนครว่า ชาวเมืองจงเล่นมหรสพใหญ่ตลอดสัปดาห์ คนเหล่าใดมีความรักในตัวเรา คนเหล่านั้นทั้งหมดจงทำสักการะและสัมมานะแก่มโหสถบัณฑิตเถิด

ลำดับนั้น ชาวเมืองและชาวชนบทเหล่านั้น ตามปกติก็ใคร่จะกระทำสักการะแก่มโหสถบัณฑิตอยู่แล้ว ครั้นได้ยินเสียงกลองป่าวร้องก็ได้ทำสักการะกันเหลือล้น

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ไปสู่ราชสำนักในวันสุดท้ายแห่งมหรสพ กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ควรที่พระองค์จะส่งพระราชมารดา พระราชเทวี และพระราชโอรสของพระเจ้าจุลนีไปเสียโดยเร็ว พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงฟังคำมโหสถก็ตรัสว่า ดีแล้วพ่อ เจ้าจงส่งไปเสีย 

มโหสถทำสักการะใหญ่แก่กษัตริย์ทั้ง ๓ นั้น และทำสักการสัมมานะแก่เสนาผู้มากับตน ส่งกษัตริย์ทั้ง ๓ นั้นกับพวกชนของตนไปด้วยบริวารเป็นอันมาก ส่งภรรยา ๑๐๐ คนและทาสี ๔๐๐ คน ที่พระเจ้าจุลนีพระราชทานแก่ตน มอบถวายไปกับพระนางนันทาเทวี และส่งแม้เสนีผู้มากับด้วยตนไปกับชนเหล่านั้น

พระนางนันทาเทวีสวมกอดพระธิดาจุมพิตที่พระเศียรแล้วตรัสว่า แม่ลาเจ้าละ แม่ไปละ ตรัสฉะนี้ทรงกันแสงคร่ำครวญด้วยศัพท์สำเนียงอันดัง ฝ่ายพระนางปัญจาลจันทีผู้พระธิดาทรงกราบพระราชมารดาแล้วทรงโศกาดูรทูลว่า พระมารดาอย่าละทิ้งลูกก่อน

กษัตริย์ทั้ง ๓ ออกจากพระนครด้วยบริวารเป็นอันมากถึงอุตตรปัญจาลนครโดยลำดับ 

ลำดับนั้น พระเจ้าจุลนีพรหมทัตตรัสถามพระราชมารดาว่า ข้าแต่พระมารดา พระเจ้าวิเทหราชทรงทำอนุเคราะห์แด่พระองค์อย่างไร พระนางเจ้าสลากราชชนนีตรัสตอบว่า พ่อตรัสอะไร พระเจ้าวิเทหราชตั้งแม่ไว้ในฐานเป็นเทวดา ได้ทำสักการะแก่เรา ตั้งนันทาเทวีไว้ในฐานเป็นพระราชมารดา ตั้งพ่อปัญจาลจันทกุมารในฐานเป็นราชกนิษฐภาดา พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับพระราชชนนีรับสั่งก็ทรงยินดียิ่งนัก แล้วส่งบรรณาการเป็นอันมากไปถวายพระเจ้าวิเทหราช นับแต่นั้น กษัตริย์เจ้าพระนครทั้ง ๒ ก็พร้อมเพรียงชื่นชมอยู่แล


******************************จบมหาอุมมังคกัณฑ์****************************




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น