วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

"ข้าราชการเต้าหู้"

สวัสดีวันสุดสัปดาห์ค่ะ..

   วันนี้เตรียมอาหารกลางวันมาเอง เพราะไม่ได้เข้าประชุม เลยไม่มีข้าวฟรีกินเหมือนทุกวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นผัดเต้าหู้ ซึ่งได้มาจากไปเดินตลาดนัดหน้าโรงพยาบาลพญาไทเมื่อวันพุธ ว่าจะทำตั้งแต่เมื่อวาน แต่ลืมไว้ในตู้เย็นที่ทำงาน เลยต้องล่วงเลยมาทำวันนี้ คิดอยู่ว่าจะทำอะไรกินดี ผัดกะเพราก็เบื่อ ผัดจืดๆใส่คึ่นช่าย หรือทำน้ำแดงทรงเครื่องราดหน้าก็เดิมๆ แล้วก้จืดชืดไปหน่อย ทอดจิ้มน้ำจิ้มก็จะกลายเป็นของว่างไปเสีย ไม่ใช่กับข้าว ก็เลยลองจิ้นดู (จิ้น เป็นภาษาที่วัยรุ่นใช้ในปัจจุบัน ย่อมาจาก imagine อ้ะค่ะ ) ว่าถ้าผัดกับพริกเหลืองใส่ใบโหระพาหอมๆจะดีมั้ย ไปดูตามเน็ตผู้เชี่ยวชาญการทำอาหารก้มีคลายๆ น่าจะพอไปได้ พอทำออกมา แม่เจ้า อร่อยดีนะคะ ไว้จะทำให้แม่กินด้วย น่าจะดีสำหรับผู้สูงอายุ..
   ก่อนจะไปลงมือทำกัน จิ๊บว่าในเมื่อบล็อคนี้มันเป็นที่ที่เราจะคุยกันได้ทุกเรื่อง ก็เลยอยากคุยเรื่องเต้าหู้ หลายคนเคยเห็นเคยกิน แต่หลายคนรวมทั้งจิ๊บไม่เคยทราบความเป็นมาของเต้าหู้แน่ๆ
  ตำราหนึ่งก็ว่า เชื่อกันว่า คนจีนอาจได้แบบอย่าง การทำเต้าหู้ มาจากการทำชีส ของชาวมองโกลทางเหนือ หรือคนอินเดียทางใต้ของจีน เพราะวิธีการทำเต้าหู้ ละม้ายคล้ายการทำชีส จากนมวัวหรือน้ำนมสัตว์อื่นๆ  เก่ากว่านั้นคือชาวเอเชียกลาง รู้วิธีการทำชีส มาหลายพันปีก่อนคริสตกาล เก่าสุดๆ มีการพบหลักฐาน ก้อนชีส ในหลุมผังศพอียิปต์โบราณ อายุกว่า 3,000 ปี..เก่ากว่านั้นจิ๊บก็ไม่รู้แล้วละค่ะ ...
  อีกตำนานหนึ่ง เค้าเล่ากันว่า...สมัยก่อนในประเทศจีนอันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งย่อมต้องมีทั้งคนจน คนรวย ขุนนาง และชนชั้นต่างๆมากมาย การกินการอยู่ก็เป็นกันไปตามอัตภาพ คนรวยเศรษฐี คหบดี ขุนน้ำขุนนางก็กินหมูเห็ดเป็ดไก่ คนจนก็คงต้องกินผักกินพืชที่ปลูกกันได้เอง แม้จะต้องซื้อหามา สนนราคาก็คงไม่แพงเท่าหมูเห็ดเป็ดไก่เป็นแน่ แต่มีชายคนหนึ่ง แกรับราชการเป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆ แต่มีความซื่อสัตย์ ไม่คดไม่โกง ไม่เก็บส่วยรีดนาทาเร้นชาวบ้านเพื่อส่งส่วยให้บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ รายได้แต่ละเดือนที่ได้รับก็น้อยเกินกว่าจะเพียงพอซื้อเนื้อสัตว์อันดีมากิน แกจึงคิดค้นการทำเต้าหู้จากถั่วเหลืองขึ้นมา เพื่อเป็นโปรตีนทดแทนเนื้อสัตว์ราคาแพง ปรากฏว่ากลายเป็นของดี มีประโยชน์ และแพร่หลายกันมาจนทุกวันนี้ และเนื่องด้วยคุณข้าราชการคนนี้ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต คนจีนจึงมักจึงเปรียบเทียบเรียกข้าราชการที่ใจซื่อมือสะอาด ซื่อสัตย์สุจริตว่า "ข้าราชการเต้าหู้"
   อีกอย่างหนึ่ง การที่เต้าหู้เป็นอาหารที่ดีมีประโยชน์ แต่ราคาถูกเป็นที่นิยมกินในหมู่คนที่มีรายได้น้อย เพื่อทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ก็เลยมีการเปรียบเทียบ นางงาม หรือสาวงามที่มีความสะสวย แต่มีฐานะยากจนว่า "สาวงามเต้าหู้" ว่าเข้าไปนั่น
  ยังงี้จิ๊บจะเลือกเป็นอะไรดีระหว่าง "ข้าราชการเต้าหู้" กับ "นางงามเต้าหู้" (...เอ้า...ฮาาา)
  ว่าแต่ผัดเต้าหู้ของจิ๊บวันนี้ไม่ใช่เต้าหู้ธรรมดาค่ะ แต่จิ๊บจะใช้เต้าหู้ปลามาผัด เต้าหู้ปลานี้ สมัยก่อนน่าจะยังไม่มี เพิ่งเคยเห็นเป็นนวัตกรรมอาหารมาไม่นานนี่เอง หรือมีมานาน แต่จิ๊บเพิ่งจะเคยเห็นเคยรู้จักมาไม่กี่ปีนี้ก็ไม่ทราบได้
   เต้าหู้ปลาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำเนื้อปลาบดมาผสมให้เข้ากันกับส่วนประกอบต่างๆ เช่น น้ำนมถั่วเหลือง แป้งถั่วเหลือง แป้งมันสำปะหลัง ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงแต่งรสและ เครื่องเทศเช่น เกลือ น้ำตาล พริกไทย อาจเติมส่วนประกอบอื่น เช่น แครอท สาหร่าย นวดให้เหนียวและทำให้เป็นรูปร่างตามต้องการ นำไปให้ความร้อนโดยการนึ่งหรือต้มจนสุก ทำให้เย็น แล้วอาจนำไปทอดพอเหลือง
   เป็นอันว่ารู้จักเต้าหู้ และเต้าหู้ปลากันดีแล้ว เรามาทำกับข้าวเมนูนี้กันเลยดีกว่านะคะ  เครื่องปรุงคือ เต้าหู้ปลาครึ่งกิโล น้ำมันพืช ซัก 2 ช้อนโต๊ะพอ พริกสดโขลกกับกระเทียมหยาบๆ ใช้พริกเหลืองเม็ดใหญ่ๆ 4-5 เม็ด พริกชี้ฟ้าสีเขียว สีแดง ซัก 3-4 เม็ด เพิ่มสีสัน ใบโหระพาสดๆกำนึง น้ำปลาดี น้ำตาลมะพร้าวช้อนชานึง เดี๋ยวนี้จิ๊บชอบใช้น้ำตาลมะพร้าวทำกับข้าว มันหอม แล้วก็หวานกลมกล่อม ไม่หวานแหลมอย่างน้ำตาลทราย อีกอย่างก็ดีกว่าน้ำตาลทรายตรงที่เราไม่ต้องกินสารฟอกขาวในกระบวนการผลิตน้ำตาลทราย นั่นเอง
   วิธีการก็แสนจะง่ายดาย ตั้งกะทะ น้ำมันร้อน เอาพริกที่โขลกไว้ลงไปผัด จนหอมดี ใส่เต้าหู้ที่ล้างสะอาดดีแล้วลงไปผัดคลุกเคล้า ถ้าคิดว่าชิ้นใหญ่ไปก็หั่นทอนลง หรือหั่นเฉลียงเป็นสามเหลี่ยมก็ได้นะคะ ใส่น้ำปลาดี น้ำตาล พอเข้ากัน เหยาะน้ำลงไป ผัดจนน้ำกับเครื่องปรุงเข้ากัน น้ำงวดลงเหลือขลุกขลิก ก็ใส่ใบโหระพา  แล้วก็ตักขึ้นใส่จาน รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อย อย่าบอกใครเชียวค่ะ
  นี่จิ๊บจะเก็บโต๊ะทำงานเตรียมตัวไปโคราชละ บ๊ายบายก่อนนะคะ เจอกันในเมนูต่อไปนะคะ สุขสันต์วันสุดสัปดาห์ทุกคนค่ะ....











วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คำด่าที่น่าฟัง.....





    คำด่าที่มีคุณค่าน่าฟังที่สุดในโลก.....

....จั่วหัวแบบนี้ งงละสิ..ฮ่าๆๆๆ   โดยปรกติแล้ว จิ๊บเชื่อว่าไม่มีใครที่อยากจะได้ยินคำด่าหรอกนะคะ....แต่จิ๊บอ้ะอยากได้ยิน และก็ช้อบชอบคำด่าของแม่ ของคุณยาย คุณตา คุณทวดๆๆ บรรพบุรุษของจิ๊บ เสียแต่เกิดไม่ทันท่านเหล่านั้นทั้งหมด ทันแค่ได้ฟังคำด่าของคุณยายโดยตรง กับฟังจากคำบอกเล่าของแม่กะคุณยายเท่านั้น ..เอ๊อ..แปลกคนมั้ยล่ะคะ ยัยจิ๊บบ๊องชอบถูกด่า อิอิ...เดี๋ยวๆๆๆ จิ๊บไม่ได้โรคจิต มาโซคิสต์ชอบถูกด่า หรือชอบความรุนแรงเจ็บปวดอะไรนะคะ แต่ว่าคำด่าของคุณยายจิ๊บนี่สุดยอด และน่าฟังที่สุดในสามโลก เพราะคุณยายด่าเป็นนิทานเลยค่ะ แล้วก็เป็นนิทานที่มีแง่มุมคำสอนที่เป็นประโยชน์ในชีวิตมากๆ ด้วย..มาๆ จิ๊บจะด่า เอ๊ย..จะเล่าให้ฟังค่ะ

...คำด่าชุดที่ ๑..."กระเทียมตื่นฝุ่น นุ่นตื่นลม ขนมตื่นน้ำยา เงินสี่บาทฝังใต้กระดานกี่"
   เป็นไงล่ะ มาทีเป็นชุด..อึ้งไปเลยใช่มั้ยคะ..คนถูกด่า ง้ง เป็นไก่ตาแตก ตื่นเช้ามาสามวันยังไม่หายงง..
   คืองี้ค่ะ เวลาที่ผู้ใหญ่ที่บ้านจิ๊บเค้าคุยกัน แล้วมีการพาดพิงถึงบุคคลที่สาม ไม่ใช่การนินทานะคะ แต่หากเป็นเรื่องดีๆคนดีๆ ผู้ใหญ่ก็จะหยิบยกมาให้เป็นตัวอย่าง ชี้ให้เราเห็นว่าทำแบบนี้ดี น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ถ้าเป็นความไม่ดี หรือความบกพร่อง ก็จะมีการสรุปว่าทำอย่างนี้ๆ ไม่ดีอย่างไร ทำไมถึงไม่ควรทำอย่างนี้..ไม่ใช่เป็นการกล่าวถึงเพื่อให้ร้าย หรือทับถมให้จมดินลงไปแต่อย่างใด ฉะนั้น การที่เราจะพูดถึงบุคคลที่สามต้องพูดด้วยความระมัดระวัง ด้วยเจตนาที่ดี ไม่บิดเบือนความจริง และไม่เป็นการให้ร้ายคนที่เรากล่าวถึง..เรื่องเงินสี่บาทฯ เป็นเรื่องการพูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี โดยเฉพาะประเภทคนลืมตัว หลายท่านคงเคยได้ยินคำว่า "คนลืมตัว วัวลืมตีน" แต่คุณยายจิ๊บไม่ใช้คำนั้น และจิ๊บก็ชื่นชมคุณยายมากที่ท่านมีคำอื่นที่จะใช้กับคนประเภทนี้ได้ดีแบบไม่ต้องรุนแรง และไม่ฟังดูหยาบคาย คุณยายมักจะพูดถึงคนประเภทนี้ว่า "คนพวกนี้คือ พวกกระเทียมตื่นฝุ่น นุ่นตื่นลม ขนมตื่นน้ำยา พอแสงเงินแสงทองจับเข้าหน่อยก็ชูคอเป็นกิ้งก่า เข้าตำรา เงินสี่บาทฝังใต้กระดานกี่แท้ๆ "  วลีแรกๆ ก็ยังพอคาดเดาความหมายได้  แต่วลีเด็ดอันสุดท้ายเนี่ยสิ..พูดภาษาอย่างวัยรุ่นสมัยนี้ก็ว่า "มันคืออัลไล" ครั้นถูกถามว่า เงินสี่บาทอะไรเนี่ย มันหมายความว่าอย่างไร ก็ได้รับคำตอบเป็นนิทานหนึ่งเรื่องกันเลยทีเดียวค่ะ..เรื่องก็มีอยู่ว่า....
    กาลครั้งหนึ่งมีคหบดีเศรษฐีคนหนึ่ง มีบ้านอัครฐานใหญ่โต ทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลเหลือจะคณานัป และมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนหนึ่งอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ยังไม่มีคู่ตุนาหงันเสียที อีกอย่างท่านพ่อท่านแม่ของชายหนุ่มก็ต้องการจะได้สะใภ้ที่ดีพร้อม สามารถดูแลครอบครัวและทรัพย์สมบัติอภิมาหาศาลของแกได้ ทันใดนั้นภรรยาท่านเศรษฐี สอดส่ายสายตามองมามองไป ก็เหลือบไปเห็นสาวน้อยหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง นางก็มิใช่ใครอื่น เป็นลูกสาวของพ่อบ้านข้าเก่าเต่าเลี้ยงในบ้านนี่เอง พิศดูหน้าตาก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา ผิวพรรณรึ ก็นวลเนียนเพราะทำหน้าที่ทอผ้า เย็บปักถักร้อย และทำครัวในเรือนมิได้ออกไปตากแดด แบกหามตำข้าวกลางแจ้งเหมือนบ่าวไพร่คนอื่นๆ คำพูดคำจาสุภาพเรียบร้อย กิริยามารยาทก็ไม่เลว ชดช้อยน่ารักทีเดียว แหม..ถ้าได้แม่สาวน้อยคนนี้มาเป็นลูกสะใภ้คงเหมาะเหม็งดีเหมือนกันนะ..ว่าแล้วคุณนายแม่ก็เสนอเรื่องต่อท่านเศรษฐีทันที ...
   แต่ช้าก่อน..อย่าคิดว่าจะแปลงกายเป็นนางซินกันได้ง่ายๆ มันต้องมีการเทสต์ก่อนนะยะ...ว่าแล้วก็เรียกนางมาเข้าคอร์สทดสอบกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง ด้วยการเรียกให้แม่สาวน้อยเข้ามานั่่งทอผ้าที่ใต้ถุนเรือนใหญ่ของท่านเศรษฐีทุกวันนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป...แต่..อนิจจา ...แม่สาวน้อยร้อยชั่งหารู้ไม่ว่า...อู๊ยยย ตื่นเต้นๆ   ท่านผู้อ่านตื่นเต้นไหม ?  ห๊า ไม่เหรอ..แล้วกัน ..ฮ่าๆๆๆ อ้ะ เล่าต่อๆ  
  คุณนายแม่ได้ทำพิธีเล็กน้อย โดยเอาเงินหนึ่งตำลึงทอง (เท่ากับ ๔ บาท) ซึ่งสมัยก่อนมีค่ามากนะคะ เอาไปฝังไว้ใต้กี่ทอผ้าที่จะให้แม่สาวน้อยว่าที่ลูกสะใภ้นั่งทอผ้า ดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น......

กี่ทอผ้า



       ปรากฏว่า...พอแม่นางน้อยเข้านั่งทอผ้าปุ๊บ....รัศมีเงิน ๑ ตำลึงทองก็แผ่อำนาจเหนือนางขึ้นมาทันที จากที่เคยสงบเสงี่ยมเจียมตัว พูดจาไพเราะอ่อนหวาน อ่อนน้อมถ่อมตนเจียมเนื้อเจียมตัว..กลายเป็นว่า พูดจาโอหัง ใครเดินผ่านมาทักทายนางก็วางอำนาจบาทใหญ่คุยโว หยาบหยาม ยิ่งไปกว่านั้น ไก่เป็ดเดินผ่านมาหาจิกข้าวเปลือกข้าวสารกิน นางเห็นนางก็ด่าทอ หมูหมาเดินผ่านหน้านางด่าเช็ดไม่เว้น เป็นอย่างนั้นทุกวัน เห็นดังนั้น ท่านเศรษฐี และภริยาก็คาดการณ์ว่า ต่อไปในภายภาคหน้า หากนางได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาอยู่ในที่สะใภ้เศรษฐีมีทรัพย์มากมายในครอบครองนางคงจะหลงใหลในลาภยศเงินทองเป็นแน่แท้ เป็นอันว่านางคนนี้เทสต์ไม่ผ่าน ต้องซมซานกลับไปเป็นไพร่ตามเดิม...นี่ละค่ะอำนาจเงิน ทำให้นางกลายเป็น "แม่เงินสี่บาทฝังใต้กระดานกี่" ไปในที่สุด

...คำด่าคุณยายชุดที่สอง.."ทำตัวเป็นหนอน"






   
   ไม่เกี่ยวกับภาพประกอบหนอนไม้ไผ่นะคะ จิ๊บเกรงว่าถ้าเอาภาพประกอบสมจริงโพสต์นี้ของจิ๊บคงไม่น่าพิศวาสเป็นแน่  เปลี่ยนเป็นภาพหนอนไม้ไผ่คั่วเกลือหอมๆ ค่อยดีหน่อย งั้น ..มาฟังนิทานเรื่องหนอนของคุณตาคุณยายกันเลยค่ะ...อันนี้ก็ฟังคล้ายจะด่า แต่มันยังไงกันล่ะ..
   วันหนึ่งคุณลุงทองสุขมากราบเยี่ยมตอนที่คุณยายไม่สบาย ซึ่งนับเนื่องแล้วคุณลุงสุขก็เป็นพี่ชายของแม่เพราะเป็นลูกคุณยายเขียวน้องสาวของคุณยายนั่นเอง หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบแล้วคุยกันไปกันมาก็ได้เรื่อง คือได้เรื่องจริงๆนะคะ ได้นิทานคติสอนใจอีกเรื่องหนึ่งเลย..
   อันว่าคุณลุงสุขนี้ ท่านเป็นคนใจดีมากๆ โดยเฉพาะเวลาเมาเหล้า...
   จิ๊บจำได้ว่าตอนเด็กๆ จิ๊บกลัวคนเมามาก ทั้งกลัวทั้งเกลียด ไม่อยากเห็น เป็นต้นว่า "ยายแต้ม" อดีตคุณนายปลัดอำเภอคนหนึ่ง ยายแต้มแกกินเหล้าเมาทุกวัน บ้านแกอยู่หลังบ้านพักนายอำเภอ ตกเย็นแกก็จะเดินออกไปซื้อเหล้าดื่มจนเมาหนำใจแล้วก็เดินกลับบ้าน ผ่านสนามหน้าที่ว่าการอำเภอซึ่งเป็นลานสำหรับพวกเราเด็กๆ วิ่งเล่นกันหลังกลับจากโรงเรียน พอยายแต้มเดินผ่านมา พวกพี่ๆที่โตๆ ก็จะตะโกนว่า "ยายแต้มมาแล้ว" พวกเรารุ่นเล็กก็วิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุน ทั้งที่ยายแต้มแกไม่ได้จะทำร้ายเราหรอก แกแค่เมา แล้วก็พูดพล่ามเพ้อเจ้อไปตลอดทางเท่านั้น แต่พอถูกพวกเด็กๆล้อเข้ามากๆ แกก็เลยอดไม่ไหวด่าเข้าให้มั่ง อีกอย่างรูปลักษณ์ของยายแต้มก็ค่อนข้างน่ากลัวสำหรับเด็กจินตนาการสูงอย่างจิ๊บ ซึ่งคิดเอาเองว่า ยายแต้มนี้แกช่างเหมือนแม่มดเสียจริง เพราะว่าผมยาวหงอกขาวทั้งหัวที่มุ่นมวยไว้หลุดรุ่ยปรกหน้าปรกตา หน้าตาตัวขาวซีด เวลาเมาหน้าก็แดงตาก็แดงเถือก แถมยังโตถลนเสียนี่กระไร แต่แม่เล่าว่า สมัยก่อนที่จะมาแต่งงานกับคุณตาปลัด ยายแต้มเป็นนางงามมาก่อน หน้าตาแกสวยมาก ตาคมโต จมูกโด่งผิวขาว รูปร่างสูงโปร่ง เป็นคุณนายปลัดที่สวยมาก แต่ยายแต้มไม่ใช่ภรรยาเอกเพราะคุณตาปลัดไปแต่งมาหลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิตไป แต่ความหลงในรูปร่างอันงามของตัวเองและตำแหน่งคุณนายที่มีเกียรติมีหน้ามีตา ทำให้ยายแต้มตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอยู่ในวังวนของความสุขสบายและอบายมุข วันๆ ยายแต้มไม่ทำอะไร นอกจากแต่งตัวสวย เล่นไพ่ งานบ้านไม่หยิบจับและทำไม่เป็น คุณสมบัติดีอันเดียวที่ยายแต้มมีคือความสวย หลังจากคุณตาปลัดเสียชีวิต ยายแต้มก็หันมาดื่มเหล้าเสริมให้ชีวิตตกต่ำลงไปอีก และกลายเป็นยายแก่ขี้เมา ตัวเหม็นแต่เหล้า เป็นยายแม่มดที่น่าหวาดกลัวในสายตาจิ๊บและเด็กๆ คนออื่น  เห็นเมื่อไหร่ก็หวาดกลัวทั้งขยะแขยงพากันวิ่งหนี บางคนก็ล้อเลี่ยนเป็นที่น่าสมเพท..
   กลับมาที่คุณลุงสุขของจิ๊บ นี่ก็เมาเหล้าเหมือนกัน.. จิ๊บก็กลัวแต่ในที่สุดคุณลุงสุขก็คิดค้นวิธีทำให้จิ๊บหายกลัวคุณลุงได้..จุดอ่อนของจิ๊บคือ...ความงกกับความขี้เหนียวค่ะท่านผู้อ่าน..ฮ่าๆๆๆ  คุณลุงสุขเอาเงินมาล่อ อ๊ะๆๆๆ ไม่ค่ะ ไม่ใช่จะหลอกจิ๊บได้ง่ายๆนะยะ..ต้องซับซ้อนนิดหน่อย ..
   คุณลุงซื้อกระปุกออมสินรูปแมวมาเป็นตัวช่วย หลังจากสวัสดีแล้วจิ๊บเตรียมจะวิ่งหนี คุณลุงก็เรียกว่ามาหาลุงก่อน ลุงมีอะไรจะให้ดู...แล้วคุณลุงก็เอาเหรียญหย่อนกระปุกแมว หย่อนปุ๊บก็แกล้งทำเสียงเมี๊ยว.. แล้วก็หย่อนอีก แล้วก็ทำเสียงแมวทั้งแมวตัวผู้แมวตัวเมีย แมวนานาชนิดที่เสียงแตกต่างกัน แล้วให้จิ๊บลองหยอดกระปุกบ้าง แค่นี้แหละจิ๊บก็สนุกใหญ่ หายกลัวคุณลุงสุขแถมได้เงินเป็นกอบเป็นกำกันทีเดียว ...นี่ละค่ะความใจดีของคุณลุงสุขทำให้จิ๊บสนุก หายหวาดกลัว แต่คุณยาย คุณตาเทียบ น้องชายคุณยาย และคุณยายคนอื่นๆ ไม่สนุกกับความ "ขี้เมา" ของคุณลุงสุข เอาเสียเลย ทุกคนพร่ำบอกให้คุณลุงสุขเลิกดื่มเหล้า ใช้ทั้งไม้แข็งไม้นวมแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนอกอ่อนใจไปตามๆกัน ในที่สุดทุกคนก็ลงความเห็นว่าคุณลุงสุขนี่ "ทำตัวเป็นหนอน"..
คุณลุงสุขถึงกับอึ้ง ไม่ได้จุก ไม่ได้เจ็บหรอกค่ะ แต่แก งง...
   คุณตาเทียบเลยเล่านิทานเรื่องหนอนให้ฟังว่า.....
   กาลครั้้งหนึ่งนานมา(อีก) แล้ว..มีชายหนุ่ม ๒ คนเป็นเเพื่อนรักกันมาก ด้วยผลบุญและผลกรรมเมื่อตายไป ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ปฏิบัติแต่ความดีก็ไปเกิดเป็นเทวดา ส่วนชายหนุ่มอีกคนในชีวิตทำแต่สิ่งไม่ดีจนตายไปต้องไปเกิดเป็นหนอนอยู่ใต้ฐาน (แปลว่าส้วม) วันหนึ่งเทวดาองค์นั้นเล็งเห็นด้วยตาทิพย์ว่าเพื่อนรักตอนนี้ไปเกิดเป็นหนอนอยู่ใต้ฐาน ซึ่งเป็นที่สกปรก ชื้นแฉะ มีความทุกขเวทนาเป็นอันมาก ก็นึกสงสารอยากจะช่วยเพื่อนให้พ้นความทุกข์ จึงเหาะลงมาจากสวรรค์ จับหนอนเพื่อรักไปชำระล้างเนื้อตัวจนสะอาด แล้วชะโลมเครื่องหอม พาไปนอนบนพานทองปูด้วยกำมะหยี่ที่แสนจะนุ่มนิ่ม แต่ อนิจจา..เพื่อนหนอนกลับนอนหายใจรวยริน กำลังจะหมดลมหายใจ เพื่อนเทวดาประหลาดใจมาก จึงถามเพื่อนหนอนว่า "เจ้าเป็นอะไรไปเพื่อนรัก เราอุตส่าห์ช่วยเพื่อนขึ้นมาอยู่บนพานทองแสนสบายนี้ ทำไมเพื่อนจึงดูมีความทุกข์ทรมานเหมือนจะขาดใจตายเช่นนี้"
...เพื่อนหนอนตอบว่า..."เพื่อนเอ๋ยเราขอบคุณน้ำใจของเพื่อนนัก ชาติหน้าขอให้เราได้มีโอกาสตอบแทนน้ำใจเพื่อนบ้าง ชาตินี้เราคงต้องขอลาเพื่อนไปแล้ว.."
เทวดาจึงว่า "ถ้าเช่นนั้นเราจะใช้อิทธิฤทธิ์เนรมิตให้เจ้าไม่ต้องตาย .."
เพื่อนหนอนตอบว่า "ขอบใจมากเพื่อนรัก เราเป็นหนอนมีชีวิตอยู่ใต้ฐานที่สกปรกและชื้นแฉะมีความสุขในสภาพนี้ ผิดกับการที่ต้องมานอนในที่สะอาด และหอมกรุ่นนี้ ตัวเราแห้งผากเช่นนี้เรารู้สึกทรมาน และต้องการอยู่น้ำครำมากกว่า หากจะให้เราอยู่อย่างนี้เราคงต้องตายแน่นอน เพื่อนช่วยเอาเราไปปล่อยไว้ที่ฐานเหมือนเดิมเถิดนะ...." เอวัง...ก็กลับไปที่เก่าจนได้..
...นี่ละค่ะ ที่คุณยายคุณตาทุกคนบอกว่าคุณลุงทองสุข .."ทำตัวเป็นหนอน...."
...แต่ว่าหากจะเป็นหนอนก้เป็นหนอนไม้ไผ่ดีกว่า กิโลตั้งเป็นพันแน่ะ...


วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

น้ำพริกลงเรือ


......น้ำพริกลงเรือวังปารุสกวัน....



สวัสดีวันฝนพรำค่ะ ....
...วันนี้ฝนตกแต่เช้าเจ็ดโมงตามเวลาคนออกไปทำงานเหมือนกับว่า ก็ได้เวลาพระพิรุณเทวดาท่านปฏิบัติหน้าที่เหมือนกัน แต่ท่านเริ่มทำงานเช้ากว่านะ เพราะเราเพิ่งออกจากบ้าน..อย่างไรก็ตาม คุณของฝนก็มากมายมหาศาลมิควรที่เราจะบ่นว่า จริงมั้ยคะ..
   มาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ วันนี้จิ๊บมีอาหารจานโปรดมาฝาก อ๊ะ ! ไม่สิ ต้องเรียกว่า "ถ้วยโปรด" ถึงจะถูก เห็นหน้าตาแล้วคงจะพอนึกออกนะคะ...ใช่ค่ะ..จิ๊บเอาน้ำพริกลงเรือมาฝาก ภาพที่เห็นคือฝีมือจิ๊บนะคะ ถึงผักจิ้มน้ำพริกจะไม่ได้แกะสลักประณีตบรรจง แต่ก็จัดพอไม่ให้ดู "อิเหละเขละขระ" จนเกินไป...
   ทานน้ำพริกลงเรือมาก็หลายที่ หลายเจ้า ไม่ถูกปากซักที ..ทำเองดีกว่า... เพราะวิธีการไม่ยากเลย จะยากก็ตรงรสชาดนี่ละค่ะว่าจะปรุงยังไงให้อร่อยเด็ด...
   ที่จริงน้ำพริกเป็นตำรับของวังสุนันทา ไม่เกี่ยวกะวังปารุสก์หรอกนะคะ คนที่เกี่ยวกับวังปารุสก์คือจิ๊บเอง (ที่มีบุญพาวาสนาส่งให้ได้เข้ามานั่งทำงานในรั้ววังปารุสก์เท่านั้นเองค่ะ ..)  ก่อนลงมือทำ อยากเล่าประวัติความเป็นมาซักนิด.. แม้ว่าหลายท่านคงจะเคยได้ยินได้ฟัง หรือได้อ่านมาแล้ว อย่าคิดว่าจิ๊บเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเลยนะคะ แต่คิดว่าเด็กๆ ลูกหลานรุ่นใหม่ๆ อาจจะยังไม่ทราบ ถือว่ารับเป็นสาระความรู้ ไประหว่างรับประทานน้ำพริกไปละกันค่ะ จิ๊บคัดลอกมาจากวารสารของราชภัฏสวนสุนันทา (1) ซึ่งเป็นที่ตั้งวังสุนันทา ต้นที่มาของน้ำพริกถ้วยนี้นั่นเอง..

.....................'ห้องเครื่อง' (ครัว) ซึ่งเป็นต้นตำรับอาหารชาววังก็คือตำหนักของพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา พระอัครชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เนื่องจากทรงควบคุมห้องเครื่องต้น คอยดูแลพระกระยาหารถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ ๕) โดยมีหม่อมเจ้าหญิงสะบาย นิลรัตน์ ท่านย่าของหม่อมหลวงเนื่อง นิลรัตน์ เป็นหัวหน้าห้องเครื่อง




นิจ เหลี่ยมอุไร ซึ่งเป็นหลานย่าของ ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์ เปิดเผย 'กำแพงแดง' ถึงผู้คิดค้นสูตรน้ำพริกลงเรือ คือหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ พระนัดดาในพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ ฯ ขณะประจำห้องเครื่องในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล วิมลประภาวดี กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามาลินีนพดารา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านิภานพดล

วังสุนันทาในอดีต ร่มรื่นด้วยพรรณไม้หลากหลายและลำคลอง ซึ่งนิจ เหลี่ยมอุไร ถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้รับจากคำบอกเล่าของ ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์ ผู้เป็นย่า ถึงที่มาของสูตรน้ำพริกลงเรือว่า วันหนึ่ง พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ ฯ มีพระประสงค์จะเสวยอาหารในเรือ จึงรับสั่งกับ ม.ร.ว. สลับ ลดาวัลย์ ให้ไปดูในครัวว่ามีอะไรบ้าง
เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์

ม.ร.ว. สดับ ลดาวัลย์ เมื่อเดินเข้าไปสำรวจอาหารในห้องเครื่อง ก็พบว่าเหลือเพียงปลาดุกทอดฟูและน้ำพริกตำไว้เท่านั้น จึงนำน้ำพริกกับปลามาผัดรวมกัน เติมหมูหวานลงไปเล็กน้อย ตามด้วยไข่เค็ม ทิ้งไข่ขาว ใช้เฉพาะไข่แดงดิบ วางเรียงรายลงไป แล้วจัดเครื่องเคียง อาทิ ผักต้ม ผักสด ถวายเป็นอาหารมื้อเย็นบนเรือ ซึ่งทั้งพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ฯ และกรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี ทรงโปรดน้ำพริกถ้วยนี้มาก
น้ำพริกสูตรใหม่ที่เจ้านายเสวยในเรือ จึงเป็นต้นตำรับของ 'น้ำพริกลงเรือ' ที่พบเห็นและสืบทอดกันจวบปัจจุบันนานกว่าร้อยปี
นิจ เหลี่ยมอุไร หนึ่งในผู้สืบทอดน้ำพริกลงเรือตำรับ 'วังสุนันทา' เล่าถึงเคล็ดอร่อยของน้ำพริกสูตรนี้ว่า อยู่ที่การปรุงให้มีรสเปรี้ยว รสเค็ม และรสหวาน อย่างกลมกลืน โดยไม่ปล่อยให้รสชาติใดรสชาติหนึ่ง 'นำโดด' กว่ารสอื่นเป็นอันขาด "อาหารชาววัง ไม่ได้เป็นอย่างที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามักจะใช้รสหวานนำเสมอเพราะหากเป็นอาหารต้นตำรับชาววังแท้ ๆ แล้ว จะต้องมีรสชาติกลมกล่อมครบทุกรสเท่านั้น"

    นี่ละค่ะที่มา...คราวนี้ก็มาทำกันเลย ซึ่งเครื่องปรุงก็คือเครื่องปรุงน้ำพริกกะปิเลยค่ะ





กะปิห่อใบตองปิ้งไฟให้สุกหอม
กุ้งแห้งอย่างดีจะได้ไม่เค็ม
กระเทียม คุณยายกะแม่จิ๊บชอบเอาไปเผาก่อนเพื่อไม่ให้กลิ่นกระทียมฉุนเกินไป
พริกขี้หนูสด มะอึกปอกเปลือกแล้วซอยเปลืกให้ละเอียดเนื้อเอาไว้ใส่โขลกผสมในน้ำพริก มะนาว
น้ำตาลปิ๊บ น้ำปลาดี ต้องน้ำปลาดีนะคะกลิ่นน้ำปลาจะไม่เหม็นแรง
ปลาดุกฟู จะทอดเองหรือซื้อที่เค้าทอดสำเร็จก็ได้ ไข่เค็ม ไข่แดง และไข่ขาวก็เอาไว้นิดหน่อยเพื่อเพิ่มสีสัน ไม่ต้องเอาหมดนะคะมันเค็ม หั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ ให้ได้เหลี่ยมคม เพื่อความสวยงาม
หมูสามชั้นติดเนื้อหนาหน่อย หั่นแล้วได้ซักถ้วยเต็มๆ หรือมากกว่านั้นก็ได้ค่ะ ถ้าชอบ
เริ่มตำน้ำพริก โดยโขลกกุ้งแห้ง พริก และกระเทียมให้ละเอียดเข้ากันดี จิ๊บไม่ได้นับว่าพริกซักกี่เม็ด กะเอาค่ะ ถ้าคนทำกับข้าวบ่อยๆก็จะคุ้นชินว่ากี่เม็ดจะเผ็ดแค่ไหน ถือว่าจิ๊บชำนาญการแล้วไม่นับละ โกยใส่ไปซักกำมือน้อยๆ พออ้อ โขลกพริกถ้าหยาบๆก็ไม่ค่อยเผ็ด ถ้าโขลกละเอียดมันก็จะเผ็ดขึ้นค่ะ แล้วแต่ชอบขนาดไหน จิ๊บเอาพอดีเพื่อความสวยงามด้วย ได้ที่ดีแล้วใส่ใส้มะอึกโขลกต่อให้แหลก ใส่น้ำตาลปิ๊บ กะปิ โขลกเบาๆให้เข้ากัน เติมมะนาว น้ำปลา ชิมให้ได้สามรสเท่าๆกัน เค็ม เปรี้ยว หวาน ตักขึ้นพักไว้
...ตั้งกะทะรวนหมูสามชั้น จนน้ำคาวแห้งระเหยออกหมด แม่ย้ำนักหนาว่าจะผัดจะแกงอะไรก็ตามให้รวนเนื้อสัตว์จนน้ำคาวระเหยออกให้หมด นี่ก็ต้องให้น้ำคาวในหมูระเหยหมดนะจะได้ไม่เหม็น ถ้าไม่งั้น ผัดให้ตายก็ยังมีกลิ่นหมูแบบเหม็นเบื่อ พอน้ำมันเริ่มออก เหลืองนิดหน่อยใส่น้ำตาลปิ๊บ เกลือ หรือน้ำปลา แต่จิ๊บว่าเกลือดีกว่า ถ้าน้ำปลาก็จะมีกลิ่นคาวน้ำปลา ลดไฟลงเดวน้ำตาลไหม้มันจะขม เคียวจนน้ำตลาลละลายและเป็นสีน้ำตาลสวย เติมน้ำนิดหนึ่ง พอน้ำแห้งขลุกขลิก ให้ได้รสชาดหวานเค็มพอดีๆ ตักออกส่วนหนึ่งไว้ เหลือบางส่วนไว้ในกะทะเติมน้ำมันพืช จิ๊บใช้น้ำมันมะกอกเพราะคิดว่าดีกว่าน้ำมันพืชทั่วไป ..เอาน้ำพริกลงไปผัด ใส่ปลาดุกฟูลงไปซักครึ่งถ้วย ถ้าแห้งไปเติมน้ำนิดหน่อยได้อย่าเยอะนะคะ พอเข้ากันดีก็เป็นอันใช้ได้ ตักใส่ถ้วย โรยปลาดุกฟูที่เหลือ กับไข่เค็ม และพริกขี้หนูเม็ดเล็กเพื่อให้มีสีสันสวยงาม ทานกับผักสดตามที่ชอบ ขมิ้นขาวก็เข้ากั๊นเข้ากัน..
  
  ขั้นตอนสุดท้าย....เก๊าะไปทานกันเล้ยยยย.....ง่ำๆๆๆ

    




อ้างอิง (1)   http://www.sunandhanews.com/2011-10-14-04-42-59/306-2011-10-14-04-28-22/1682-2012-03-01-13-17-25.html