วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

"สองไข่ ขวัญใจสื่อมวลชน"

 "สองไข่" ขวัญใจสื่อมวลชน....
านมากแล้วที่ "เจ้าแพท" ลูกสาวสี่ขาตัวแรกที่จิ๊บได้เลี้ยงเองมาตั้งแต่ตัวเล็กๆยังไม่หย่านมตายจากไป ตอนนี้จิ๊บก็ได้รับหน้าที่เป็นแม่ของเจ้าสี่ขาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีที่สุดอีกครั้ง คราวนี้จิ๊บมีลูกสาวสี่ขาถึงสองตัวด้วยกันค่ะ ถามว่าตอนรับเค้ามาเลี้ยงอยากเลี้ยงมั้ย คำตอบคือก็ยังไม่พร้อมที่จะลี้ยงอีกหรอกค่ะ หลังจากที่แพทตาย แต่แม่อยากเลี้ยงเพราะจะได้มีเพื่อน มีองครักษ์ช่วยอารักขา ดูแลบ้าน เป็นเกราะป้องกันไม่ให้งูเงี้ยวเขี้ยวขอเข้ามารังควาน จิ๊บก็เลยตัดสินใจขอลูกหมาจรที่ลงประกาศหาบ้านในอินเตอร์เน็ตมาให้แม่เลี้ยง แล้วในที่สุดจิ๊บก็กลายเป็นแม่ของมะหมาน้อยๆ สองตัว ในขณะที่แม่ของจิ๊บก็อยู่ในตำแหน่งคุณยายของเด็กๆ นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


ไข่หวาน
จิ๊บพยายามหาชื่อที่ชอบใจ ในที่นี้หมายถึง ควรเป็นชื่อที่น่ารัก เหมาะสมกับลูกหมาน้อยๆ มาตั้งให้เจ้าสองตัวนี้ ระหว่างที่ขับรถพาเด็กๆไปส่งที่บ้าน "คุณยาย" ก็คิดชื่อไป เจ้าตัวสวยสี่ตาน่ารัก สีน้ำตาลไหม้น่ากินเหมาะจะชื่อน้ำตาลตามลักษณะเด่น อีกตัวที่หน้าเหี่ยวๆ สีเหล็ก จะให้ชื่ออะไรที่คล้องจองเป็นคู่กันดีน๊า ...น้ำมนต์ น้ำเย็น น้ำไหล น้ำหลาก น้ำท่วม..อ่า อันสุดท้ายนี่ไม่ค่อยดีละ 5555  เอ๊..หรือจะชื่อ เต้าเจี้ยวกะเต้าหู้ดี...ก็ยังตกลงใจไม่ได้ จนถึงบ้านคุณยาย ก็เลยนึกว่าจะตั้งชื่อเป็นไข่ตุ๋น กับ ไข่อะไรนึกไม่ออก แล้วในที่สุด ก็มาลงเอยที่ "ไข่หวาน" และ "ไข่เค็ม" ซึ่งคล้องจองกันดี และฟังดูน่ารักด้วย



ไข่เค็ม
 ความจริงแล้วตอนขอมาเลี้ยง จะขอแต่ไข่หวานตัวเดียว แต่คนให้แถมไข่เค็มแบบยัดเยียดมาให้ด้วย จิ๊บก็สงสารมัน เห็นหน้าตาก็เหี่ยวๆ และก็ว่าที่จริงไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ ไม่เป็น love at first sight 5555 แต่ก็ปฏิเสธไม่ลง ตอนเด็กๆ เจ้าไข่เค็มหน้าตาเป็นอย่างภาพที่เห็นข้างบนน่ะแหล่ะค่ะ แต่พอโตมา แหม! อย่าให้พูด.. เจ้านี่น่ารักเป็นบ้า หน้าตามันบ้องแบ๊ว น่าเอ็นดูจริงๆ ส่วนนิสัยใจคอนี่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทีเดียว ไข่หวานเป็นเด็กที่เอาจริงเอาจัง มีโลกส่วนตัวสูง อยู่ในบ้านมีความมั่นใจสูง แต่พอออกนอกบ้านละก็ขี้กลัวมากๆ ยิ่งเวลาพานั่งรถนี่กลัวตัวสั่น ต้องปีนกลับไปที่เบาะหลัง และลงไปนอนที่พื้นหมอบงุบเลยละ แล้วก็ติดแม่เป็นตังเม เดินตามต้อยๆ แม่แต่เวลาแม่เข้าห้องน้ำก็จะต้องมาหมอบรอหน้าห้องน้ำ นิสัยคล้ายพี่แพทมาก ส่วนไข่เค็ม เจ้าเด็กจอมแก่นแสนซน ซนมากๆ เข้าขั้น "ซนมหาวายร้าย" ขี้เล่นเป็นกันเอง ชอบเที่ยว เห็นหยิบกุญแจรถทีไรตานี่จ้องเขม็งเลย แต่ยังรักษามารยาท รอให้แม่เอ่ยปากชวนก่อน พอแม่ชวนละก็ กระดี๊กระด๊าไปรอที่ประตูรถทันที เรื่องเที่ยวไข่เค็ม บ่เคยยั่น ถึงไหนถึงกัน...ในด้านความซนนี่กินกันไม่ลง หลักฐานปรากฏอยู่ทั่วไปในบ้าน โดยเฉพาะโซฟาเก่าทั้งชุดที่แม่ให้ยกไปไว้หน้าบ้านกลายเป็นอุปกรณ์สำคัญในการกัดแทะแก้เซ็งของเจ้าสองไข่ไป ..

ความรักความผูกพันที่จิ๊บมีต่อทั้งสองไข่เพิ่มขึ้นวันละนิด จนวันนี้ล่วงมาสองปีแล้ว ชีวิตฉันขาดเธอไม่ได้เลยละ.. ทั้งสองไข่เหมือนหมาเด็กที่ยังซุกซน จิ๊บก็พยายามสั่งสอนอบรมให้เรียบร้อยแม้จะไม่ได้ผลนัก ยกเว้นเวลาบอกให้  "นั่งให้เรียบร้อย" "สวัสดีค่า" "ขอบคุณค่า" ซึ่งเงื่อนไขที่สองไข่จะทำตามก็ต่อเมื่อจะได้กินข้าว กินขนม และกินนมก่อนนอนเท่านั้น กิจวัตรอันหลังนี่คุณยายเพิ่มเป็นออพชั่นพิเศษให้จนทำให้เจ้าสองไข่เป็นเด็กที่ชอบกินนมมากๆและรู้เวลา รปจ. (รายงานประจำวัน) พอใกล้เวลานอนก็จะมานั่งแหงนหน้าทำตาละห้อย ยกมือสะกิดขอกินนมก่อนจะเข้านอนกันละ

ในความดื้อความซนของเจ้าลูกหมาทั้งสองนั้น คุณยายต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดคือคอยดุคอยเข้มงวดคอยปรามอยู่เสมอ และก็เช่นกันความรักความผูกพันที่คุณยายมีต่อสองไข่ก็เพิ่มขึ้นๆ ไม่ได้น้อยไปกว่าจิ๊บเลย ความผิดพลาดสมัยที่เลี้ยงพี่แพท ถูกนำมาแก้ไขในการเลี้ยงสองไข่ เพื่อให้เด็กๆมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์และไม่อ้วนน้ำหนักมากเกินไปเหมือนพี่แพท  (นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พี่แพทจากไปด้วยวัย เพียง 12 ปี)

สำหรับจิ๊บ ไข่หวานและไข่เค็ม ก็เหมือนกับพี่แพท ที่ไม่ได้เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงประจำบ้านของเราเท่านั้นแต่เจ้าสี่ขาแสนรู้แสนน่ารักทั้งสามตัวเป็นประจักษ์พยานของความรักอันบริสุทธิ์ของจิ๊บและแม่ จิ๊บไม่อายเลยที่จะบอกว่า จิ๊บมีลูกแล้ว.. เป็นลูกสาว แต่ลูกสาวจิ๊บมีสี่ขา มีขนอ่อนนุ่ม น่ารัก นำความร่าริง และความสุขมาสู่จิ๊บและแม่ในทุกๆวัน..

"ขวัญใจสื่อมวลชน"
ด้วยความน่ารักของเจ้าเด็กซนทั้งสองทำให้จิ๊บลองไปสร้างเพจในเฟซบุ๊ค โดยใช้ชื่อ "ไข่หวานไข่เค็ม" เพื่อเป็นช่องทางในการ อวดความน่ารักของลูกสาวสองไข่ ยอดเพื่อนเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับยอดไลค์ จาก 2 เป็น 3 เป็น สิบ ปัจจุบันเจ้าสองไข่มียอดไลค์แต่ละโพสต์เกินร้อย ซึ่งโพสต์เกี่ยวกับจิ๊บจะได้ซักร้อยไลค์ก็ยากเย็น เออ เอาสิ..ยอมแพ้หมาเลยค่ะ วันไหนไม่ได้โพสต์ภาพความน่าเอ็นดูของทั้งสองไข่ แฟนเพจเป็นต้องส่งสัญญาณให้รีบโพสต์ความเคลื่อนไหว ก็เลยต้องยกตำแหน่ง "ขวัญใจสื่อมวลชน" ให้สองไข่ไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้   ...ใครรู้จักไข่หวานไข่เค็มแล้ว อยากตามไปส่องความน่ารักน่าเอ็นดูทั้งสองไข่ที่เฟซบุ๊คก็ยินดีต้อนรับเลยนะคะ แม่อย่างจิ๊บจะได้เกาะหางหมาดังกันละทีนี้ 55555

















--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------








วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

"ข้าราชการเต้าหู้"

สวัสดีวันสุดสัปดาห์ค่ะ..

   วันนี้เตรียมอาหารกลางวันมาเอง เพราะไม่ได้เข้าประชุม เลยไม่มีข้าวฟรีกินเหมือนทุกวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นผัดเต้าหู้ ซึ่งได้มาจากไปเดินตลาดนัดหน้าโรงพยาบาลพญาไทเมื่อวันพุธ ว่าจะทำตั้งแต่เมื่อวาน แต่ลืมไว้ในตู้เย็นที่ทำงาน เลยต้องล่วงเลยมาทำวันนี้ คิดอยู่ว่าจะทำอะไรกินดี ผัดกะเพราก็เบื่อ ผัดจืดๆใส่คึ่นช่าย หรือทำน้ำแดงทรงเครื่องราดหน้าก็เดิมๆ แล้วก้จืดชืดไปหน่อย ทอดจิ้มน้ำจิ้มก็จะกลายเป็นของว่างไปเสีย ไม่ใช่กับข้าว ก็เลยลองจิ้นดู (จิ้น เป็นภาษาที่วัยรุ่นใช้ในปัจจุบัน ย่อมาจาก imagine อ้ะค่ะ ) ว่าถ้าผัดกับพริกเหลืองใส่ใบโหระพาหอมๆจะดีมั้ย ไปดูตามเน็ตผู้เชี่ยวชาญการทำอาหารก้มีคลายๆ น่าจะพอไปได้ พอทำออกมา แม่เจ้า อร่อยดีนะคะ ไว้จะทำให้แม่กินด้วย น่าจะดีสำหรับผู้สูงอายุ..
   ก่อนจะไปลงมือทำกัน จิ๊บว่าในเมื่อบล็อคนี้มันเป็นที่ที่เราจะคุยกันได้ทุกเรื่อง ก็เลยอยากคุยเรื่องเต้าหู้ หลายคนเคยเห็นเคยกิน แต่หลายคนรวมทั้งจิ๊บไม่เคยทราบความเป็นมาของเต้าหู้แน่ๆ
  ตำราหนึ่งก็ว่า เชื่อกันว่า คนจีนอาจได้แบบอย่าง การทำเต้าหู้ มาจากการทำชีส ของชาวมองโกลทางเหนือ หรือคนอินเดียทางใต้ของจีน เพราะวิธีการทำเต้าหู้ ละม้ายคล้ายการทำชีส จากนมวัวหรือน้ำนมสัตว์อื่นๆ  เก่ากว่านั้นคือชาวเอเชียกลาง รู้วิธีการทำชีส มาหลายพันปีก่อนคริสตกาล เก่าสุดๆ มีการพบหลักฐาน ก้อนชีส ในหลุมผังศพอียิปต์โบราณ อายุกว่า 3,000 ปี..เก่ากว่านั้นจิ๊บก็ไม่รู้แล้วละค่ะ ...
  อีกตำนานหนึ่ง เค้าเล่ากันว่า...สมัยก่อนในประเทศจีนอันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งย่อมต้องมีทั้งคนจน คนรวย ขุนนาง และชนชั้นต่างๆมากมาย การกินการอยู่ก็เป็นกันไปตามอัตภาพ คนรวยเศรษฐี คหบดี ขุนน้ำขุนนางก็กินหมูเห็ดเป็ดไก่ คนจนก็คงต้องกินผักกินพืชที่ปลูกกันได้เอง แม้จะต้องซื้อหามา สนนราคาก็คงไม่แพงเท่าหมูเห็ดเป็ดไก่เป็นแน่ แต่มีชายคนหนึ่ง แกรับราชการเป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆ แต่มีความซื่อสัตย์ ไม่คดไม่โกง ไม่เก็บส่วยรีดนาทาเร้นชาวบ้านเพื่อส่งส่วยให้บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ รายได้แต่ละเดือนที่ได้รับก็น้อยเกินกว่าจะเพียงพอซื้อเนื้อสัตว์อันดีมากิน แกจึงคิดค้นการทำเต้าหู้จากถั่วเหลืองขึ้นมา เพื่อเป็นโปรตีนทดแทนเนื้อสัตว์ราคาแพง ปรากฏว่ากลายเป็นของดี มีประโยชน์ และแพร่หลายกันมาจนทุกวันนี้ และเนื่องด้วยคุณข้าราชการคนนี้ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต คนจีนจึงมักจึงเปรียบเทียบเรียกข้าราชการที่ใจซื่อมือสะอาด ซื่อสัตย์สุจริตว่า "ข้าราชการเต้าหู้"
   อีกอย่างหนึ่ง การที่เต้าหู้เป็นอาหารที่ดีมีประโยชน์ แต่ราคาถูกเป็นที่นิยมกินในหมู่คนที่มีรายได้น้อย เพื่อทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ก็เลยมีการเปรียบเทียบ นางงาม หรือสาวงามที่มีความสะสวย แต่มีฐานะยากจนว่า "สาวงามเต้าหู้" ว่าเข้าไปนั่น
  ยังงี้จิ๊บจะเลือกเป็นอะไรดีระหว่าง "ข้าราชการเต้าหู้" กับ "นางงามเต้าหู้" (...เอ้า...ฮาาา)
  ว่าแต่ผัดเต้าหู้ของจิ๊บวันนี้ไม่ใช่เต้าหู้ธรรมดาค่ะ แต่จิ๊บจะใช้เต้าหู้ปลามาผัด เต้าหู้ปลานี้ สมัยก่อนน่าจะยังไม่มี เพิ่งเคยเห็นเป็นนวัตกรรมอาหารมาไม่นานนี่เอง หรือมีมานาน แต่จิ๊บเพิ่งจะเคยเห็นเคยรู้จักมาไม่กี่ปีนี้ก็ไม่ทราบได้
   เต้าหู้ปลาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำเนื้อปลาบดมาผสมให้เข้ากันกับส่วนประกอบต่างๆ เช่น น้ำนมถั่วเหลือง แป้งถั่วเหลือง แป้งมันสำปะหลัง ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงแต่งรสและ เครื่องเทศเช่น เกลือ น้ำตาล พริกไทย อาจเติมส่วนประกอบอื่น เช่น แครอท สาหร่าย นวดให้เหนียวและทำให้เป็นรูปร่างตามต้องการ นำไปให้ความร้อนโดยการนึ่งหรือต้มจนสุก ทำให้เย็น แล้วอาจนำไปทอดพอเหลือง
   เป็นอันว่ารู้จักเต้าหู้ และเต้าหู้ปลากันดีแล้ว เรามาทำกับข้าวเมนูนี้กันเลยดีกว่านะคะ  เครื่องปรุงคือ เต้าหู้ปลาครึ่งกิโล น้ำมันพืช ซัก 2 ช้อนโต๊ะพอ พริกสดโขลกกับกระเทียมหยาบๆ ใช้พริกเหลืองเม็ดใหญ่ๆ 4-5 เม็ด พริกชี้ฟ้าสีเขียว สีแดง ซัก 3-4 เม็ด เพิ่มสีสัน ใบโหระพาสดๆกำนึง น้ำปลาดี น้ำตาลมะพร้าวช้อนชานึง เดี๋ยวนี้จิ๊บชอบใช้น้ำตาลมะพร้าวทำกับข้าว มันหอม แล้วก็หวานกลมกล่อม ไม่หวานแหลมอย่างน้ำตาลทราย อีกอย่างก็ดีกว่าน้ำตาลทรายตรงที่เราไม่ต้องกินสารฟอกขาวในกระบวนการผลิตน้ำตาลทราย นั่นเอง
   วิธีการก็แสนจะง่ายดาย ตั้งกะทะ น้ำมันร้อน เอาพริกที่โขลกไว้ลงไปผัด จนหอมดี ใส่เต้าหู้ที่ล้างสะอาดดีแล้วลงไปผัดคลุกเคล้า ถ้าคิดว่าชิ้นใหญ่ไปก็หั่นทอนลง หรือหั่นเฉลียงเป็นสามเหลี่ยมก็ได้นะคะ ใส่น้ำปลาดี น้ำตาล พอเข้ากัน เหยาะน้ำลงไป ผัดจนน้ำกับเครื่องปรุงเข้ากัน น้ำงวดลงเหลือขลุกขลิก ก็ใส่ใบโหระพา  แล้วก็ตักขึ้นใส่จาน รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อย อย่าบอกใครเชียวค่ะ
  นี่จิ๊บจะเก็บโต๊ะทำงานเตรียมตัวไปโคราชละ บ๊ายบายก่อนนะคะ เจอกันในเมนูต่อไปนะคะ สุขสันต์วันสุดสัปดาห์ทุกคนค่ะ....











วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คำด่าที่น่าฟัง.....





    คำด่าที่มีคุณค่าน่าฟังที่สุดในโลก.....

....จั่วหัวแบบนี้ งงละสิ..ฮ่าๆๆๆ   โดยปรกติแล้ว จิ๊บเชื่อว่าไม่มีใครที่อยากจะได้ยินคำด่าหรอกนะคะ....แต่จิ๊บอ้ะอยากได้ยิน และก็ช้อบชอบคำด่าของแม่ ของคุณยาย คุณตา คุณทวดๆๆ บรรพบุรุษของจิ๊บ เสียแต่เกิดไม่ทันท่านเหล่านั้นทั้งหมด ทันแค่ได้ฟังคำด่าของคุณยายโดยตรง กับฟังจากคำบอกเล่าของแม่กะคุณยายเท่านั้น ..เอ๊อ..แปลกคนมั้ยล่ะคะ ยัยจิ๊บบ๊องชอบถูกด่า อิอิ...เดี๋ยวๆๆๆ จิ๊บไม่ได้โรคจิต มาโซคิสต์ชอบถูกด่า หรือชอบความรุนแรงเจ็บปวดอะไรนะคะ แต่ว่าคำด่าของคุณยายจิ๊บนี่สุดยอด และน่าฟังที่สุดในสามโลก เพราะคุณยายด่าเป็นนิทานเลยค่ะ แล้วก็เป็นนิทานที่มีแง่มุมคำสอนที่เป็นประโยชน์ในชีวิตมากๆ ด้วย..มาๆ จิ๊บจะด่า เอ๊ย..จะเล่าให้ฟังค่ะ

...คำด่าชุดที่ ๑..."กระเทียมตื่นฝุ่น นุ่นตื่นลม ขนมตื่นน้ำยา เงินสี่บาทฝังใต้กระดานกี่"
   เป็นไงล่ะ มาทีเป็นชุด..อึ้งไปเลยใช่มั้ยคะ..คนถูกด่า ง้ง เป็นไก่ตาแตก ตื่นเช้ามาสามวันยังไม่หายงง..
   คืองี้ค่ะ เวลาที่ผู้ใหญ่ที่บ้านจิ๊บเค้าคุยกัน แล้วมีการพาดพิงถึงบุคคลที่สาม ไม่ใช่การนินทานะคะ แต่หากเป็นเรื่องดีๆคนดีๆ ผู้ใหญ่ก็จะหยิบยกมาให้เป็นตัวอย่าง ชี้ให้เราเห็นว่าทำแบบนี้ดี น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ถ้าเป็นความไม่ดี หรือความบกพร่อง ก็จะมีการสรุปว่าทำอย่างนี้ๆ ไม่ดีอย่างไร ทำไมถึงไม่ควรทำอย่างนี้..ไม่ใช่เป็นการกล่าวถึงเพื่อให้ร้าย หรือทับถมให้จมดินลงไปแต่อย่างใด ฉะนั้น การที่เราจะพูดถึงบุคคลที่สามต้องพูดด้วยความระมัดระวัง ด้วยเจตนาที่ดี ไม่บิดเบือนความจริง และไม่เป็นการให้ร้ายคนที่เรากล่าวถึง..เรื่องเงินสี่บาทฯ เป็นเรื่องการพูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี โดยเฉพาะประเภทคนลืมตัว หลายท่านคงเคยได้ยินคำว่า "คนลืมตัว วัวลืมตีน" แต่คุณยายจิ๊บไม่ใช้คำนั้น และจิ๊บก็ชื่นชมคุณยายมากที่ท่านมีคำอื่นที่จะใช้กับคนประเภทนี้ได้ดีแบบไม่ต้องรุนแรง และไม่ฟังดูหยาบคาย คุณยายมักจะพูดถึงคนประเภทนี้ว่า "คนพวกนี้คือ พวกกระเทียมตื่นฝุ่น นุ่นตื่นลม ขนมตื่นน้ำยา พอแสงเงินแสงทองจับเข้าหน่อยก็ชูคอเป็นกิ้งก่า เข้าตำรา เงินสี่บาทฝังใต้กระดานกี่แท้ๆ "  วลีแรกๆ ก็ยังพอคาดเดาความหมายได้  แต่วลีเด็ดอันสุดท้ายเนี่ยสิ..พูดภาษาอย่างวัยรุ่นสมัยนี้ก็ว่า "มันคืออัลไล" ครั้นถูกถามว่า เงินสี่บาทอะไรเนี่ย มันหมายความว่าอย่างไร ก็ได้รับคำตอบเป็นนิทานหนึ่งเรื่องกันเลยทีเดียวค่ะ..เรื่องก็มีอยู่ว่า....
    กาลครั้งหนึ่งมีคหบดีเศรษฐีคนหนึ่ง มีบ้านอัครฐานใหญ่โต ทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลเหลือจะคณานัป และมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนหนึ่งอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ยังไม่มีคู่ตุนาหงันเสียที อีกอย่างท่านพ่อท่านแม่ของชายหนุ่มก็ต้องการจะได้สะใภ้ที่ดีพร้อม สามารถดูแลครอบครัวและทรัพย์สมบัติอภิมาหาศาลของแกได้ ทันใดนั้นภรรยาท่านเศรษฐี สอดส่ายสายตามองมามองไป ก็เหลือบไปเห็นสาวน้อยหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง นางก็มิใช่ใครอื่น เป็นลูกสาวของพ่อบ้านข้าเก่าเต่าเลี้ยงในบ้านนี่เอง พิศดูหน้าตาก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา ผิวพรรณรึ ก็นวลเนียนเพราะทำหน้าที่ทอผ้า เย็บปักถักร้อย และทำครัวในเรือนมิได้ออกไปตากแดด แบกหามตำข้าวกลางแจ้งเหมือนบ่าวไพร่คนอื่นๆ คำพูดคำจาสุภาพเรียบร้อย กิริยามารยาทก็ไม่เลว ชดช้อยน่ารักทีเดียว แหม..ถ้าได้แม่สาวน้อยคนนี้มาเป็นลูกสะใภ้คงเหมาะเหม็งดีเหมือนกันนะ..ว่าแล้วคุณนายแม่ก็เสนอเรื่องต่อท่านเศรษฐีทันที ...
   แต่ช้าก่อน..อย่าคิดว่าจะแปลงกายเป็นนางซินกันได้ง่ายๆ มันต้องมีการเทสต์ก่อนนะยะ...ว่าแล้วก็เรียกนางมาเข้าคอร์สทดสอบกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง ด้วยการเรียกให้แม่สาวน้อยเข้ามานั่่งทอผ้าที่ใต้ถุนเรือนใหญ่ของท่านเศรษฐีทุกวันนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป...แต่..อนิจจา ...แม่สาวน้อยร้อยชั่งหารู้ไม่ว่า...อู๊ยยย ตื่นเต้นๆ   ท่านผู้อ่านตื่นเต้นไหม ?  ห๊า ไม่เหรอ..แล้วกัน ..ฮ่าๆๆๆ อ้ะ เล่าต่อๆ  
  คุณนายแม่ได้ทำพิธีเล็กน้อย โดยเอาเงินหนึ่งตำลึงทอง (เท่ากับ ๔ บาท) ซึ่งสมัยก่อนมีค่ามากนะคะ เอาไปฝังไว้ใต้กี่ทอผ้าที่จะให้แม่สาวน้อยว่าที่ลูกสะใภ้นั่งทอผ้า ดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น......

กี่ทอผ้า



       ปรากฏว่า...พอแม่นางน้อยเข้านั่งทอผ้าปุ๊บ....รัศมีเงิน ๑ ตำลึงทองก็แผ่อำนาจเหนือนางขึ้นมาทันที จากที่เคยสงบเสงี่ยมเจียมตัว พูดจาไพเราะอ่อนหวาน อ่อนน้อมถ่อมตนเจียมเนื้อเจียมตัว..กลายเป็นว่า พูดจาโอหัง ใครเดินผ่านมาทักทายนางก็วางอำนาจบาทใหญ่คุยโว หยาบหยาม ยิ่งไปกว่านั้น ไก่เป็ดเดินผ่านมาหาจิกข้าวเปลือกข้าวสารกิน นางเห็นนางก็ด่าทอ หมูหมาเดินผ่านหน้านางด่าเช็ดไม่เว้น เป็นอย่างนั้นทุกวัน เห็นดังนั้น ท่านเศรษฐี และภริยาก็คาดการณ์ว่า ต่อไปในภายภาคหน้า หากนางได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาอยู่ในที่สะใภ้เศรษฐีมีทรัพย์มากมายในครอบครองนางคงจะหลงใหลในลาภยศเงินทองเป็นแน่แท้ เป็นอันว่านางคนนี้เทสต์ไม่ผ่าน ต้องซมซานกลับไปเป็นไพร่ตามเดิม...นี่ละค่ะอำนาจเงิน ทำให้นางกลายเป็น "แม่เงินสี่บาทฝังใต้กระดานกี่" ไปในที่สุด

...คำด่าคุณยายชุดที่สอง.."ทำตัวเป็นหนอน"






   
   ไม่เกี่ยวกับภาพประกอบหนอนไม้ไผ่นะคะ จิ๊บเกรงว่าถ้าเอาภาพประกอบสมจริงโพสต์นี้ของจิ๊บคงไม่น่าพิศวาสเป็นแน่  เปลี่ยนเป็นภาพหนอนไม้ไผ่คั่วเกลือหอมๆ ค่อยดีหน่อย งั้น ..มาฟังนิทานเรื่องหนอนของคุณตาคุณยายกันเลยค่ะ...อันนี้ก็ฟังคล้ายจะด่า แต่มันยังไงกันล่ะ..
   วันหนึ่งคุณลุงทองสุขมากราบเยี่ยมตอนที่คุณยายไม่สบาย ซึ่งนับเนื่องแล้วคุณลุงสุขก็เป็นพี่ชายของแม่เพราะเป็นลูกคุณยายเขียวน้องสาวของคุณยายนั่นเอง หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบแล้วคุยกันไปกันมาก็ได้เรื่อง คือได้เรื่องจริงๆนะคะ ได้นิทานคติสอนใจอีกเรื่องหนึ่งเลย..
   อันว่าคุณลุงสุขนี้ ท่านเป็นคนใจดีมากๆ โดยเฉพาะเวลาเมาเหล้า...
   จิ๊บจำได้ว่าตอนเด็กๆ จิ๊บกลัวคนเมามาก ทั้งกลัวทั้งเกลียด ไม่อยากเห็น เป็นต้นว่า "ยายแต้ม" อดีตคุณนายปลัดอำเภอคนหนึ่ง ยายแต้มแกกินเหล้าเมาทุกวัน บ้านแกอยู่หลังบ้านพักนายอำเภอ ตกเย็นแกก็จะเดินออกไปซื้อเหล้าดื่มจนเมาหนำใจแล้วก็เดินกลับบ้าน ผ่านสนามหน้าที่ว่าการอำเภอซึ่งเป็นลานสำหรับพวกเราเด็กๆ วิ่งเล่นกันหลังกลับจากโรงเรียน พอยายแต้มเดินผ่านมา พวกพี่ๆที่โตๆ ก็จะตะโกนว่า "ยายแต้มมาแล้ว" พวกเรารุ่นเล็กก็วิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุน ทั้งที่ยายแต้มแกไม่ได้จะทำร้ายเราหรอก แกแค่เมา แล้วก็พูดพล่ามเพ้อเจ้อไปตลอดทางเท่านั้น แต่พอถูกพวกเด็กๆล้อเข้ามากๆ แกก็เลยอดไม่ไหวด่าเข้าให้มั่ง อีกอย่างรูปลักษณ์ของยายแต้มก็ค่อนข้างน่ากลัวสำหรับเด็กจินตนาการสูงอย่างจิ๊บ ซึ่งคิดเอาเองว่า ยายแต้มนี้แกช่างเหมือนแม่มดเสียจริง เพราะว่าผมยาวหงอกขาวทั้งหัวที่มุ่นมวยไว้หลุดรุ่ยปรกหน้าปรกตา หน้าตาตัวขาวซีด เวลาเมาหน้าก็แดงตาก็แดงเถือก แถมยังโตถลนเสียนี่กระไร แต่แม่เล่าว่า สมัยก่อนที่จะมาแต่งงานกับคุณตาปลัด ยายแต้มเป็นนางงามมาก่อน หน้าตาแกสวยมาก ตาคมโต จมูกโด่งผิวขาว รูปร่างสูงโปร่ง เป็นคุณนายปลัดที่สวยมาก แต่ยายแต้มไม่ใช่ภรรยาเอกเพราะคุณตาปลัดไปแต่งมาหลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิตไป แต่ความหลงในรูปร่างอันงามของตัวเองและตำแหน่งคุณนายที่มีเกียรติมีหน้ามีตา ทำให้ยายแต้มตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอยู่ในวังวนของความสุขสบายและอบายมุข วันๆ ยายแต้มไม่ทำอะไร นอกจากแต่งตัวสวย เล่นไพ่ งานบ้านไม่หยิบจับและทำไม่เป็น คุณสมบัติดีอันเดียวที่ยายแต้มมีคือความสวย หลังจากคุณตาปลัดเสียชีวิต ยายแต้มก็หันมาดื่มเหล้าเสริมให้ชีวิตตกต่ำลงไปอีก และกลายเป็นยายแก่ขี้เมา ตัวเหม็นแต่เหล้า เป็นยายแม่มดที่น่าหวาดกลัวในสายตาจิ๊บและเด็กๆ คนออื่น  เห็นเมื่อไหร่ก็หวาดกลัวทั้งขยะแขยงพากันวิ่งหนี บางคนก็ล้อเลี่ยนเป็นที่น่าสมเพท..
   กลับมาที่คุณลุงสุขของจิ๊บ นี่ก็เมาเหล้าเหมือนกัน.. จิ๊บก็กลัวแต่ในที่สุดคุณลุงสุขก็คิดค้นวิธีทำให้จิ๊บหายกลัวคุณลุงได้..จุดอ่อนของจิ๊บคือ...ความงกกับความขี้เหนียวค่ะท่านผู้อ่าน..ฮ่าๆๆๆ  คุณลุงสุขเอาเงินมาล่อ อ๊ะๆๆๆ ไม่ค่ะ ไม่ใช่จะหลอกจิ๊บได้ง่ายๆนะยะ..ต้องซับซ้อนนิดหน่อย ..
   คุณลุงซื้อกระปุกออมสินรูปแมวมาเป็นตัวช่วย หลังจากสวัสดีแล้วจิ๊บเตรียมจะวิ่งหนี คุณลุงก็เรียกว่ามาหาลุงก่อน ลุงมีอะไรจะให้ดู...แล้วคุณลุงก็เอาเหรียญหย่อนกระปุกแมว หย่อนปุ๊บก็แกล้งทำเสียงเมี๊ยว.. แล้วก็หย่อนอีก แล้วก็ทำเสียงแมวทั้งแมวตัวผู้แมวตัวเมีย แมวนานาชนิดที่เสียงแตกต่างกัน แล้วให้จิ๊บลองหยอดกระปุกบ้าง แค่นี้แหละจิ๊บก็สนุกใหญ่ หายกลัวคุณลุงสุขแถมได้เงินเป็นกอบเป็นกำกันทีเดียว ...นี่ละค่ะความใจดีของคุณลุงสุขทำให้จิ๊บสนุก หายหวาดกลัว แต่คุณยาย คุณตาเทียบ น้องชายคุณยาย และคุณยายคนอื่นๆ ไม่สนุกกับความ "ขี้เมา" ของคุณลุงสุข เอาเสียเลย ทุกคนพร่ำบอกให้คุณลุงสุขเลิกดื่มเหล้า ใช้ทั้งไม้แข็งไม้นวมแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนอกอ่อนใจไปตามๆกัน ในที่สุดทุกคนก็ลงความเห็นว่าคุณลุงสุขนี่ "ทำตัวเป็นหนอน"..
คุณลุงสุขถึงกับอึ้ง ไม่ได้จุก ไม่ได้เจ็บหรอกค่ะ แต่แก งง...
   คุณตาเทียบเลยเล่านิทานเรื่องหนอนให้ฟังว่า.....
   กาลครั้้งหนึ่งนานมา(อีก) แล้ว..มีชายหนุ่ม ๒ คนเป็นเเพื่อนรักกันมาก ด้วยผลบุญและผลกรรมเมื่อตายไป ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ปฏิบัติแต่ความดีก็ไปเกิดเป็นเทวดา ส่วนชายหนุ่มอีกคนในชีวิตทำแต่สิ่งไม่ดีจนตายไปต้องไปเกิดเป็นหนอนอยู่ใต้ฐาน (แปลว่าส้วม) วันหนึ่งเทวดาองค์นั้นเล็งเห็นด้วยตาทิพย์ว่าเพื่อนรักตอนนี้ไปเกิดเป็นหนอนอยู่ใต้ฐาน ซึ่งเป็นที่สกปรก ชื้นแฉะ มีความทุกขเวทนาเป็นอันมาก ก็นึกสงสารอยากจะช่วยเพื่อนให้พ้นความทุกข์ จึงเหาะลงมาจากสวรรค์ จับหนอนเพื่อรักไปชำระล้างเนื้อตัวจนสะอาด แล้วชะโลมเครื่องหอม พาไปนอนบนพานทองปูด้วยกำมะหยี่ที่แสนจะนุ่มนิ่ม แต่ อนิจจา..เพื่อนหนอนกลับนอนหายใจรวยริน กำลังจะหมดลมหายใจ เพื่อนเทวดาประหลาดใจมาก จึงถามเพื่อนหนอนว่า "เจ้าเป็นอะไรไปเพื่อนรัก เราอุตส่าห์ช่วยเพื่อนขึ้นมาอยู่บนพานทองแสนสบายนี้ ทำไมเพื่อนจึงดูมีความทุกข์ทรมานเหมือนจะขาดใจตายเช่นนี้"
...เพื่อนหนอนตอบว่า..."เพื่อนเอ๋ยเราขอบคุณน้ำใจของเพื่อนนัก ชาติหน้าขอให้เราได้มีโอกาสตอบแทนน้ำใจเพื่อนบ้าง ชาตินี้เราคงต้องขอลาเพื่อนไปแล้ว.."
เทวดาจึงว่า "ถ้าเช่นนั้นเราจะใช้อิทธิฤทธิ์เนรมิตให้เจ้าไม่ต้องตาย .."
เพื่อนหนอนตอบว่า "ขอบใจมากเพื่อนรัก เราเป็นหนอนมีชีวิตอยู่ใต้ฐานที่สกปรกและชื้นแฉะมีความสุขในสภาพนี้ ผิดกับการที่ต้องมานอนในที่สะอาด และหอมกรุ่นนี้ ตัวเราแห้งผากเช่นนี้เรารู้สึกทรมาน และต้องการอยู่น้ำครำมากกว่า หากจะให้เราอยู่อย่างนี้เราคงต้องตายแน่นอน เพื่อนช่วยเอาเราไปปล่อยไว้ที่ฐานเหมือนเดิมเถิดนะ...." เอวัง...ก็กลับไปที่เก่าจนได้..
...นี่ละค่ะ ที่คุณยายคุณตาทุกคนบอกว่าคุณลุงทองสุข .."ทำตัวเป็นหนอน...."
...แต่ว่าหากจะเป็นหนอนก้เป็นหนอนไม้ไผ่ดีกว่า กิโลตั้งเป็นพันแน่ะ...


วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

น้ำพริกลงเรือ


......น้ำพริกลงเรือวังปารุสกวัน....



สวัสดีวันฝนพรำค่ะ ....
...วันนี้ฝนตกแต่เช้าเจ็ดโมงตามเวลาคนออกไปทำงานเหมือนกับว่า ก็ได้เวลาพระพิรุณเทวดาท่านปฏิบัติหน้าที่เหมือนกัน แต่ท่านเริ่มทำงานเช้ากว่านะ เพราะเราเพิ่งออกจากบ้าน..อย่างไรก็ตาม คุณของฝนก็มากมายมหาศาลมิควรที่เราจะบ่นว่า จริงมั้ยคะ..
   มาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ วันนี้จิ๊บมีอาหารจานโปรดมาฝาก อ๊ะ ! ไม่สิ ต้องเรียกว่า "ถ้วยโปรด" ถึงจะถูก เห็นหน้าตาแล้วคงจะพอนึกออกนะคะ...ใช่ค่ะ..จิ๊บเอาน้ำพริกลงเรือมาฝาก ภาพที่เห็นคือฝีมือจิ๊บนะคะ ถึงผักจิ้มน้ำพริกจะไม่ได้แกะสลักประณีตบรรจง แต่ก็จัดพอไม่ให้ดู "อิเหละเขละขระ" จนเกินไป...
   ทานน้ำพริกลงเรือมาก็หลายที่ หลายเจ้า ไม่ถูกปากซักที ..ทำเองดีกว่า... เพราะวิธีการไม่ยากเลย จะยากก็ตรงรสชาดนี่ละค่ะว่าจะปรุงยังไงให้อร่อยเด็ด...
   ที่จริงน้ำพริกเป็นตำรับของวังสุนันทา ไม่เกี่ยวกะวังปารุสก์หรอกนะคะ คนที่เกี่ยวกับวังปารุสก์คือจิ๊บเอง (ที่มีบุญพาวาสนาส่งให้ได้เข้ามานั่งทำงานในรั้ววังปารุสก์เท่านั้นเองค่ะ ..)  ก่อนลงมือทำ อยากเล่าประวัติความเป็นมาซักนิด.. แม้ว่าหลายท่านคงจะเคยได้ยินได้ฟัง หรือได้อ่านมาแล้ว อย่าคิดว่าจิ๊บเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเลยนะคะ แต่คิดว่าเด็กๆ ลูกหลานรุ่นใหม่ๆ อาจจะยังไม่ทราบ ถือว่ารับเป็นสาระความรู้ ไประหว่างรับประทานน้ำพริกไปละกันค่ะ จิ๊บคัดลอกมาจากวารสารของราชภัฏสวนสุนันทา (1) ซึ่งเป็นที่ตั้งวังสุนันทา ต้นที่มาของน้ำพริกถ้วยนี้นั่นเอง..

.....................'ห้องเครื่อง' (ครัว) ซึ่งเป็นต้นตำรับอาหารชาววังก็คือตำหนักของพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา พระอัครชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เนื่องจากทรงควบคุมห้องเครื่องต้น คอยดูแลพระกระยาหารถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ ๕) โดยมีหม่อมเจ้าหญิงสะบาย นิลรัตน์ ท่านย่าของหม่อมหลวงเนื่อง นิลรัตน์ เป็นหัวหน้าห้องเครื่อง




นิจ เหลี่ยมอุไร ซึ่งเป็นหลานย่าของ ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์ เปิดเผย 'กำแพงแดง' ถึงผู้คิดค้นสูตรน้ำพริกลงเรือ คือหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ พระนัดดาในพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ ฯ ขณะประจำห้องเครื่องในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล วิมลประภาวดี กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามาลินีนพดารา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านิภานพดล

วังสุนันทาในอดีต ร่มรื่นด้วยพรรณไม้หลากหลายและลำคลอง ซึ่งนิจ เหลี่ยมอุไร ถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้รับจากคำบอกเล่าของ ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์ ผู้เป็นย่า ถึงที่มาของสูตรน้ำพริกลงเรือว่า วันหนึ่ง พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ ฯ มีพระประสงค์จะเสวยอาหารในเรือ จึงรับสั่งกับ ม.ร.ว. สลับ ลดาวัลย์ ให้ไปดูในครัวว่ามีอะไรบ้าง
เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์

ม.ร.ว. สดับ ลดาวัลย์ เมื่อเดินเข้าไปสำรวจอาหารในห้องเครื่อง ก็พบว่าเหลือเพียงปลาดุกทอดฟูและน้ำพริกตำไว้เท่านั้น จึงนำน้ำพริกกับปลามาผัดรวมกัน เติมหมูหวานลงไปเล็กน้อย ตามด้วยไข่เค็ม ทิ้งไข่ขาว ใช้เฉพาะไข่แดงดิบ วางเรียงรายลงไป แล้วจัดเครื่องเคียง อาทิ ผักต้ม ผักสด ถวายเป็นอาหารมื้อเย็นบนเรือ ซึ่งทั้งพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ฯ และกรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี ทรงโปรดน้ำพริกถ้วยนี้มาก
น้ำพริกสูตรใหม่ที่เจ้านายเสวยในเรือ จึงเป็นต้นตำรับของ 'น้ำพริกลงเรือ' ที่พบเห็นและสืบทอดกันจวบปัจจุบันนานกว่าร้อยปี
นิจ เหลี่ยมอุไร หนึ่งในผู้สืบทอดน้ำพริกลงเรือตำรับ 'วังสุนันทา' เล่าถึงเคล็ดอร่อยของน้ำพริกสูตรนี้ว่า อยู่ที่การปรุงให้มีรสเปรี้ยว รสเค็ม และรสหวาน อย่างกลมกลืน โดยไม่ปล่อยให้รสชาติใดรสชาติหนึ่ง 'นำโดด' กว่ารสอื่นเป็นอันขาด "อาหารชาววัง ไม่ได้เป็นอย่างที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามักจะใช้รสหวานนำเสมอเพราะหากเป็นอาหารต้นตำรับชาววังแท้ ๆ แล้ว จะต้องมีรสชาติกลมกล่อมครบทุกรสเท่านั้น"

    นี่ละค่ะที่มา...คราวนี้ก็มาทำกันเลย ซึ่งเครื่องปรุงก็คือเครื่องปรุงน้ำพริกกะปิเลยค่ะ





กะปิห่อใบตองปิ้งไฟให้สุกหอม
กุ้งแห้งอย่างดีจะได้ไม่เค็ม
กระเทียม คุณยายกะแม่จิ๊บชอบเอาไปเผาก่อนเพื่อไม่ให้กลิ่นกระทียมฉุนเกินไป
พริกขี้หนูสด มะอึกปอกเปลือกแล้วซอยเปลืกให้ละเอียดเนื้อเอาไว้ใส่โขลกผสมในน้ำพริก มะนาว
น้ำตาลปิ๊บ น้ำปลาดี ต้องน้ำปลาดีนะคะกลิ่นน้ำปลาจะไม่เหม็นแรง
ปลาดุกฟู จะทอดเองหรือซื้อที่เค้าทอดสำเร็จก็ได้ ไข่เค็ม ไข่แดง และไข่ขาวก็เอาไว้นิดหน่อยเพื่อเพิ่มสีสัน ไม่ต้องเอาหมดนะคะมันเค็ม หั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ ให้ได้เหลี่ยมคม เพื่อความสวยงาม
หมูสามชั้นติดเนื้อหนาหน่อย หั่นแล้วได้ซักถ้วยเต็มๆ หรือมากกว่านั้นก็ได้ค่ะ ถ้าชอบ
เริ่มตำน้ำพริก โดยโขลกกุ้งแห้ง พริก และกระเทียมให้ละเอียดเข้ากันดี จิ๊บไม่ได้นับว่าพริกซักกี่เม็ด กะเอาค่ะ ถ้าคนทำกับข้าวบ่อยๆก็จะคุ้นชินว่ากี่เม็ดจะเผ็ดแค่ไหน ถือว่าจิ๊บชำนาญการแล้วไม่นับละ โกยใส่ไปซักกำมือน้อยๆ พออ้อ โขลกพริกถ้าหยาบๆก็ไม่ค่อยเผ็ด ถ้าโขลกละเอียดมันก็จะเผ็ดขึ้นค่ะ แล้วแต่ชอบขนาดไหน จิ๊บเอาพอดีเพื่อความสวยงามด้วย ได้ที่ดีแล้วใส่ใส้มะอึกโขลกต่อให้แหลก ใส่น้ำตาลปิ๊บ กะปิ โขลกเบาๆให้เข้ากัน เติมมะนาว น้ำปลา ชิมให้ได้สามรสเท่าๆกัน เค็ม เปรี้ยว หวาน ตักขึ้นพักไว้
...ตั้งกะทะรวนหมูสามชั้น จนน้ำคาวแห้งระเหยออกหมด แม่ย้ำนักหนาว่าจะผัดจะแกงอะไรก็ตามให้รวนเนื้อสัตว์จนน้ำคาวระเหยออกให้หมด นี่ก็ต้องให้น้ำคาวในหมูระเหยหมดนะจะได้ไม่เหม็น ถ้าไม่งั้น ผัดให้ตายก็ยังมีกลิ่นหมูแบบเหม็นเบื่อ พอน้ำมันเริ่มออก เหลืองนิดหน่อยใส่น้ำตาลปิ๊บ เกลือ หรือน้ำปลา แต่จิ๊บว่าเกลือดีกว่า ถ้าน้ำปลาก็จะมีกลิ่นคาวน้ำปลา ลดไฟลงเดวน้ำตาลไหม้มันจะขม เคียวจนน้ำตลาลละลายและเป็นสีน้ำตาลสวย เติมน้ำนิดหนึ่ง พอน้ำแห้งขลุกขลิก ให้ได้รสชาดหวานเค็มพอดีๆ ตักออกส่วนหนึ่งไว้ เหลือบางส่วนไว้ในกะทะเติมน้ำมันพืช จิ๊บใช้น้ำมันมะกอกเพราะคิดว่าดีกว่าน้ำมันพืชทั่วไป ..เอาน้ำพริกลงไปผัด ใส่ปลาดุกฟูลงไปซักครึ่งถ้วย ถ้าแห้งไปเติมน้ำนิดหน่อยได้อย่าเยอะนะคะ พอเข้ากันดีก็เป็นอันใช้ได้ ตักใส่ถ้วย โรยปลาดุกฟูที่เหลือ กับไข่เค็ม และพริกขี้หนูเม็ดเล็กเพื่อให้มีสีสันสวยงาม ทานกับผักสดตามที่ชอบ ขมิ้นขาวก็เข้ากั๊นเข้ากัน..
  
  ขั้นตอนสุดท้าย....เก๊าะไปทานกันเล้ยยยย.....ง่ำๆๆๆ

    




อ้างอิง (1)   http://www.sunandhanews.com/2011-10-14-04-42-59/306-2011-10-14-04-28-22/1682-2012-03-01-13-17-25.html

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แด่..แพท..ลูกสาวที่รักตัวแรกของแม่...



หายหัว เอ๊ย..หายหน้าหายตาไปนาน เนื่องจากภารกิจมากมายทั้งที่ค้าง และมาใหม่..แต่มาช้าดีกว่าไม่มานะคะ หลายคนอาจคิดว่ายัยเจ้าของบล็อคนี่หายไปไหนนะ เป็นนานสองนาน ยังมีชีวิตอยู่ป้ะเนี่ย...ยังอยู่สู้ชดใช้หนี้กรรมไปอีกนานค่ะ ที่หมดเวรกรรไปแล้วคือ "แพท"

และนั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ต้องห่างเหินไปนาน ยุ่งด้วย เศร้าด้วย...แพทหมดอายุขัยที่ 12 ปีเต็ม สาเหตุก็มาจากเรามนุษย์นี่เองละค่ะ รักเค้าเลี้ยงเค้าโดยขาดความรู้ รู้แต่ว่ารัก.. อยากให้เค้ากินอิ่มอร่อย นอนหลับ แต่สิ่งที่เราๆ และหมาๆ ชอบกินบางอย่าง เช่นตับไก่ หรือ เครื่องในไก่ หรือแทบทุกอย่างถ้ามากไปมันก็ไม่ดีทั้งนั้น มัชฌิมาปฏิปทา ความพอดีเป็นกลางๆ ใช้ได้กับเวไนยสัตว์ทุกผู้ทุกผู้ทุกนามในโลกนี้



แพทตายด้วยโรคชรา และโรคตับ ..ก่อนที่เค้าจะจากไปประมาณสองอาทิตย์ แพทมีอาการเหมือนคนแก่อ้วนๆ ไม่อยากขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เราก็เข้าใจว่าเค้าแก่แล้ว คงไม่อยากขยับตัวไปไหน ซึ่งเมื่อก่อนเค้าไม่เป็นอย่างนี้ คุณยาย หรือจิ๊บ หรือลุงเล็ก หรือคนอื่นๆในบ้าน จะเดินไปไหน ทำอะไร แพทต้องเดินนำหน้าสำรวจ และกรุยทางให้เสมอเหมือนมีบอดี้การ์ดตัวอ้วนๆคอยคุ้มกัน แต่บัดนี้แพทนอนนิ่ง ไม่ไหวติง ได้แต่กลอกลูกตาไปมา ไม่ค่อยกินอาหาร ข้าวคลุกตับย่างของโปรด ก็ไม่สามารถทำให้แพทกลับมากระฉับกระเฉงได้..ลุงเล็กพาไปหาหมอปรากฏว่า มีไข้ และได้เจาะเลือดเพื่อไปตรวจ แพทกลับมาบ้านก็ยังซึม ไม่กินอาหารไม่กินน้ำ ตกกลางคืนเค้านอนไม่ได้ คุณยายบอกว่า แพทนั่งชูคออยู่ทั้งคืน จนต้องโทรบอกจิ๊บว่าสงสัยแพทจะไม่ไหวแล้ว จิ๊บลางานและรีบกลับไปหาแพท

แพทนอนนิ่งอยู่ที่ผ้าปูนอนบริเวณเทอเรซ เค้าหันหน้าเข้าประตู ทั้งที่รู้ว่าจิ๊บมา เค้าดีใจมากแต่ขยับตัวไม่ได้หันคอไม่ได้แล้ว ได้แต่กระดิกหาง จิ๊บน้ำตาร่วงด้วยความรักและสงสาร เลี้ยงเค้ามาตั้งแต่ตัวเท่าฝ่ามือ....จิ๊บทรุดตัวลง ลูบหัว หอมหัว และกอดเค้า เหมือนเค้าจะหิวน้ำ จิ๊บก็เอาน้ำใส่จานมาเพื่อเค้าจะเลียได้ แต่ อนิจจา แพททำไม่ได้แม้แต่จะเลียน้ำในจานตื้นๆ จิ๊บวักน้ำใส่มือเอาไปรองที่ปากแพทก็ยังกินไม่ได้ จิ๊บก็เลยใช้หลอดค่อยๆป้อน ทีละนิด แพทมองหน้าจิ๊บตาแป๋ว...ลูกเอ๊ย แม่ใจจะขาด..

แล้วจิ๊บก็โทรหาหมอถามผลเลือด และบอกว่าเค้าลุกไม่ได้ อยากให้ได้น้ำเกลือ หมอก็มาทันที่พร้อมผลเลือดที่บอกว่า ค่าตับ ค่าไตสูง และค่าเลือดต่ำมาก จนเข้าขีดโคม่า ..พร้อมผลเอกซเรย์ต่อมาว่ามดลูกมีอาการอักเสบพอประมาณ และว่าหมอจะผ่าตัดมดลูกออก..คุณพระคุณเจ้า..เป็นกรรมของสัตว์โลก เราก็ไม่มีความรู้ และไม่เฉลียวใจว่า ทำไมหมอคิดว่าการผ่าตัดในขณะนี้จำเป็นกว่าการรักษาอาการตับของแพท ทำไมไม่รอให้ค่าตับดีขึ้นก่อน แล้วค่อยผ่าตัด...

ในที่สุดหมอก็ผ่าตัดมดลูกแพทออก ผ่านไปหนึ่งวันที่แสนจะเชื่องช้า..แพทฟื้นจากยาสลบแล้ว แต่..อาการไม่ดีขึ้นเลย จิ๊บตัดสินให้แพทอยู่ที่คลีนิคจนกว่าจะแข็งแรง ระหว่างนี้จะลาพักร้อนอาทิตย์หนึ่งเพื่อไปหาเค้าวันละหลายๆหนทุกวัน ไม่ให้เค้ารู้สึกว่าถูกทิ้ง..

วันสุดท้าย ...จิ๊บไปหาเค้า ปลอบใจ ให้กำลังใจนั่งอยู่ด้วยตั้งแต่บ่ายจนหกโมงเย็น แพทอ่อนแรงลงทุกที จิ๊บพยายามอุ้มเค้ากอดไว้ แต่ค่ำแล้วต้องไปตลาดซื้อกับข้าว ทานข้าวเสร็จจะกลับมาหาเค้าก่อนนอน...จิ๊บขับรถคล้อยหลังมาไม่ถึงนาที หมอโทรมาบอกว่าแพทหัวใจวายกำลังปั๊มหัวใจอยู่..จิ๊บกลับรถกลับไปหาแพท แต่ไม่ทันแล้ว แพทจากจิ๊บไปแล้ว จิีบร้องไห้หนักมาก สะอึกสะอื้น แม่โทรมาถามอาการจิ๊บตอบไปทั้งน้ำตานองหน้าว่าแพทตายแล้ว..แพทตายแล้วแม่.. หมอและผู้ช่วยก็ร้องไห้ มากอดจิ๊บปลอบใจจิ๊บ แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนความจริงได้ว่า แพทตายแล้ว..

แต่กระนั้นก็ยังดีที่แพทจากไปท่ามกลางความรักความเอ็นดูของทุกคนที่เป็นแม่ เป็นยาย เป็นลุง เป็นป้า เป็นญาติที่รักแพทด้วยความบริสุทธิ์ ..จิ๊บฝังแพทไว้หน้าบ้านของเรา แม้จะศึกษาธรรมะมาและควรรู้ว่าร่างของแพทเป็นเพียงสังขาร เป็นธาตุ4 ที่ต้องคืนให้แก่โลก แต่จิ๊บก็ทำใจไม่ได้ ยังคิดว่าอยากให้เค้าอยู่ใกล้ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงธาตุสังขารที่จะสลายละลายไปกับดินก็ตาม...

แพทเกิดมาพร้อมนำความรักความเอ็นดูมาสู่ใจครอบครัวเราและจบลงด้วยความพลัดพราก...แน่นอนสักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาของเรา เราก็จะจากไปเหมือนที่แพทจากพวกเราไป..

แต่ตอนนี้จิ๊บกลับมาที่นี่แล้ว มาเพื่อบันทึกบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นความรัก ความรู้สึก หวามรู้ และความหวังดีแก่ทุกคนอีกครั้ง...ต้อนรับจิ๊บกลับมาด้วยนะคะ..