วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไม่สวยแล้วไง...ตอนที่2


 ......กลับมาละค่ะ ว่าจะกินขนมดื่มชาซักถ้วยแล้วมาคุยต่อเรื่องน้องหมา แล้วเลยหายไปทั้งวัน ปล๊าวๆๆ ไม่ได้ตกถ้วยชาตายหรอกนะคะ อิอิ..พอดีมีงาน..เลยยาวเลย..

          อ้ะ มาคุยกันต่อดีกว่าค่ะ.. วันนี้ก็ใกล้วีคเอนด์เข้ามาละ แอบกระหยิ่มใจนิดๆ 55+
          ตอนที่แล้วค้างไว้ที่อดีตอันข่มขืน เอ๊ย ขื่นขมกับไก่และห่าน......วันนี้เรามาคุยกันเรื่องที่น่าประทับใจ ดีกว่า เอิ๊กๆๆ

หลังจากไม่ประทับใจกับสัตว์ปีกพรรค์นั้น แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อมาจนกระทั่งโตเป็นสาว และสวย..(อันนี้ก็ใจกล้าหน้าด้านพูดเองน่ะ..อิอิ ..)

          อยู่ดีๆ พี่เจ้ย พี่ชายคนโตของจิ๊บ ก็เดินเข้าบ้านมา พร้อมกับลูกหมาตัวเมียตัวเล็กๆลายด่าง สีขาวสลับกับน้ำตาล อายุอานามก็ไม่น่าจะเกิน 1 เดือน แหมก็ลูกหมาน้อยๆอ้ะนะ หน้าตามันก็บ๊องแบ๊วน่ารักแหละ แม่จิ๊บอ้ะไม่ค่อยชอบเพราะว่าไม่ชอบกลิ่นหมา จิ๊บก็ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดหมาเท่าไหร่ แต่พอพี่ชายอุ้มหมาตัวนี้มาก็เอ็นดูมันละ  เห็นบอกแม่ว่า หมาบ้านเพื่อนมันออกลุก 6 ตัวที่บ้านเพื่อนเลยต้องจัดจำหน่าย เพราะโบราณเค้าถือว่า ถ้าแมวออกลูก 5 หมา 6 ตัวเค้าไม่ให้เลี้ยง มันไม่เป็นมงคล จะเกิดอุบัติเหตุกับคนในบ้าน ว่างั้นน่ะ

          ก็เลี้ยงๆมาแม่ตั้งชื่อให้มันว่าปุกปุย เพราะขนมัน ปุยๆ แล้วก็แม่คลั่งไคล้นางเอกนิยายป้าทมยันตีเรื่อง "ค่าของคน" มากนางเอกเค้ามีหมาตัวนึงชื่อ ปุกปุย แม่เลยจินตนาการตัวเองเป็น "คุณกล้วย" แห่งค่าของคนเลย..จิ๊บเองก็ไม่ค่อยสนใจมันหรอกต้องไปเรียนตลอดจันทร์ถึงเสาร์ นานๆ อาทิตย์ไหนว่างและอารมณ์ดีก็ช่วยอาบน้ำให้มันบ้าง แต่มันเป็นหมาธรรมดาดื้อบ้าง ซนบ้าง กัดรองเท้า กัดใบไม้ กัดไปเรื่อยเปื่อย กินก็จุ แถมไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ กินเสร็จพี่เม้าต้องตามกวาดตามเช็ดข้าวที่กระจายออกนอกจาน จนบ่นกระปอดกระแปด ว่าเลี้ยงจิ๊บมายังไม่เคยต้องทำให้ขนาดนี้เลย.น่ะเอาเราไปเปรียบกะหมาอีก. อ่ะนะ ภูมิใจอย่างน้อยก็ดีกว่าหมาหน่อยละ 555 แล้วนังปุกปุยนี่ก็เป็นหมาที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีเกินเหตุ เจอหมาข้างบ้านตัวไหน คุณเธอเข้าไปดมๆ ทำความรู้จักเค้าหมด แล้วก็กิริยามันนี้ระริกระรี้มากจนแม่ต้องจับไปทำหมันซะเลย กลัวมันจะท้องไม่มีพ่อ อยู่ๆ มานังปุกปุยก็หายสาบสูญไปจากบ้าน หาเท่าไรๆ ก็ไม่เจอเลย เป็นอันสิ้นวาสนาต่อกัน

          พอนังปุกปุยหายไป ที่บ้านก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้เสียใจอะไรมาก แค่เป็นห่วงนิดหน่อย แต่ก็ทำใจกันได้ว่ามันต้องมีสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ถ้าไม่ตาย หรือไม่ก็อาจมีคนเอามันไปเลี้ยงเพราะความจริงรูปร่างหน้าตามันก็ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่เท่าไหร่นัก แม้ว่านิสัยจะไม่ค่อยดี.....

          อีกเดือนนึงต่อมาพี่เจ้ยก็...เอาอีกแล้ว...ไปหอบหมาบ้านเพื่อนมาอีกแล้ว...คราวนี้เป็นหมาโตหน่อยอายุ 4-5เดือนได้ เป็นหมาตัวผู้พันธุ์ผสมสปริทซ์ สีทอง คราวนี้ดูเป็นหมาไฮโซขึ้นมาหน่อย พี่เม้าดี๊ด๊าอย่างน่าประหลาดใจ ตอนเลี้ยงนังปุย บ่นทุกวัน พอเจ้านี่มาทำท่ารักหมาซะงั้น นัยว่าเลี้ยงหมาแบบนี้ทำให้แกถูกมองว่าดูดีมีชาติตระกูลหน่อย ชิ.. พี่เม้าน๊ะ เลี้ยงช้านยังไม่ทำให้ดูดีเท่าเลี้ยงหมาซะแล้ว แถมคุณนายเม้าจะตั้งชื่อให้มันด้วยแต่ทุกคนไม่มีใครยอม ก็แหม...พี่เม้าจะให้มันชื่อ "เจ้าสุดหล่อ" เฮ้อ ใครจะไปยอม เชยสุดๆ รับไม้ด๊ายย  ในที่สุดเพื่อให้สมกับหน้าตามีชาติตระกูลของมันจิ๊บเลยเสนอให้มันชื่อ "เจ้าโจ" สาเหตุที่เสนอชื่อนี้ความจริงเป็นเพราะเทอมนั้นเรียนวิชาการเมืองรัสเซีย แหมเอาชื่ออดีตผู้นำเผด็จการรัสเซียอย่าง "โจเซฟ สตาลิน" มาตั้งชื่อหมา เท่ห์อ้ะ...555 แต่สมาชิกในบ้านก็เห็นด้วย พี่เม้าพยักหน้าหงึกๆ เมื่อจิ๊บอธิบายที่มาของชื่อให้ฟัง...


          แล้วพวกเราก็เลยเลี้ยงเจ้าโจแทนนังปุยต่อมา คราวนี้จิ๊บใกล้ชิดมันมากขึ้นเพื่อรับผิดชอบต่อการเสนอตัวไปตั้งชื่อให้มัน แต่อีกหลายอย่างที่ทำให้จิ๊บเริ่มรักเจ้าโจก็คือ มันเป็นหมาที่มีมารยาทงดงามสมเป็นผู้ดี กินอยู่ไม่ซุ่มซ่ามเลอะเทอะเหมือนนังปุย เวลาเรียกให้กินข้าวก็ไม่ลุกลี้ลุกลนมา จะหิวแค่ไหนมันก็รอจนเอาข้าวใส่จานเรียบร้อยถึงค่อยลุกมากิน ปีต่อมาพี่เจ้ยก็แต่งงาน มีลูกสาวคือ "ไข่มุก" นั้นเอง พอไข่มุกเริ่มรู้ภาษาหัดเดินเตาะแตะ เจ้าโจก็ทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ไข่มุกอย่างแข็งขัน เดินตามเฝ้าอย่างน่ารัก เวลาพาไข่มุกไปเดินหน้าบ้านมีหมาบ้านข้างๆ เห่า เจ้าโจก็ไล่กวดจน หมาพวกนั้นวิ่งเข้าบ้านไม่กล้าออกมารบกวนอีก

          แต่ความรักก็เหมือนงานเลี้ยงที่ย่อมมีวันจากลากัน แม้จะเป็นความรักต่อหมาก็ไม่ยกเว้น เวลาผ่านไปเจ็ดปีกับอีกแปดเดือน....ตอนนั้นจิ๊บเรียนอยู่ปี4 เทอมสุดท้ายจะจบละ เจ้าโจก็ป่วย เป็นโรคหลังแข็ง แม่โทรให้หมอมาดู ว่าจะเอาไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าไม่ต้องแล้วเพราะอาการหนักมากแล้วมันคงอยู่ได้อีกไม่น่าจะเกินสามวัน เจ้าโจนอนนิ่งขยับตัวไม่ได้อยู่หกวัน ไม่น่าเชื่อมันเป็นช่วงที่ จิ๊บสอบพอดี ไม่รู้ว่าจิ๊บคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันรอที่จะยังไม่ตาย เพราะถ้ามันตายตอนนั้นจิ๊บคงเสียใจร้องไห้สะเทือนใจ แล้วก็ส่งผลกระทบการสอบไม่มากก็น้อย พอสอบเสร็จวันสุดท้ายกลับบ้านมาดูมัน มันนอนนิ่งเหมือนเคย แต่จมูกมีน้ำไหลออกมาตลอดเวลา นึกว่าเป็นน้ำมูกก็ไม่ใช่เป็นน้ำใสๆ ไม่เหนียว ตามันสะลึมสะลือ จิ๊บลูบหัวมันเบาๆ พี่เม้าคร่ำครวญอยู่ข้างหลัง แล้วมันก็ค่อยๆ หลับตา แม่เอาผ้ามาห่มให้คิดว่ามันจะนอน แต่ว่าแปบเดียวหัวมันก็พลิกแผละลงแล้วก็หมดลมไป จิ๊บสงสารมันมากแต่ไม่ได้ร้องคร่ำครวญอย่างพี่เม้า น้ำตาไหลเฉยๆ แต่ในใจก็เศร้าอย่างไม่เคยมาก่อนเหมือนกัน แล้วพี่เจ้ยก็ให้ ลูกน้องที่เป็น อส.มาช่วยขุดหลุมฝังมันไว้ใต้ต้นลำใยหน้าบ้านนี่เอง...หลังจากนั้นมาจิ๊บคิดว่าตัวเองคงทำใจเลี้ยงหมาอีกไม่ได้ เพราะไม่อยากประสบกับนาทีที่โศกเศร้าแบบนั้นอีก

          ตอนเลี้ยงเจ้าโจ ก็เริ่มสนใจพฤติกรรมของหมามากขึ้น ตอนนั้นกำลังติดอ่านวรรณกรรมเยาวชนมาก หลังจากที่ได้รับหนังสือเป็นของขวัญวันเกิดจากพี่เจ้ย เรื่อง "ไม่มีใครร้ายเท่าน้องเล็ก" เป็นวรรณกรรมเยาชนอเมริกันเขียนโดย จูดี้ บลูม ซึ่งสมัยนั้นเค้าดังมาก  จิ๊บเข้าใจ (เอาเอง.. เพราะรู้ตัว.. อิอิ) ว่าพี่เจ้ยจะบอกจิ๊บเป็นนัยๆว่า เธอน่ะร้ายไม้แพ้เจ้าน้องเล็กฟัดจี้ในหนังสือนี่เลยละนะ...หลังจากนั้นจิ๊บก็หลงรักพี่ปีเตอร์และน้องฟัดจี้ในหนังสือจนตามซื้อมาอ่านจนหมดทุกเรื่องทุกตอน (ไว้จะค่อย ๆ เลือกเอามาเล่าให้ฟังค่ะ เรื่องมันสนุกแล้วก็น่ารักมากมาย) รวมไปถึงนักเขียนคนอื่นๆ

     และจิ๊บยิ่งบ้าอ่านหนังสือไปกว่านั้น คือไปจตุจักรไล่หาหนังสือวรรณกรรมพวกนี้ที่เป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษมาสะสม ที่รักมากเรื่องหนึ่งคือ เรื่อง "ย่า อิลิโก้ อิลลาเรียน และผม" ของโนดาร์ ดุมบัดเซ่ นักเขียนชาวจอร์เจีย หน้าปกหุ้มผ้ากระสอบดูโบราณแล้วก็ ดูเป็น "ยุโร๊บยุโหรป" ไฮโซม๊ากก อิอิ.....ไปๆมาๆ ก็ขยายไปอ่านวรรณกรรมระดับผู้ใหญ่บ้าง พอสนใจเรื่องหมาก็ไปหามาได้เล่มแรกคือเรื่อง "ยิ้มก่อนเห่า" ตามาด้วย "ยิ้มสี่ขา" และอีกหลายเล่มต่อๆมา เป็นหนังสือที่แต่งโดย คุณหมอเจมส์ เฮอร์เรียต สัตวแพทย์ชื่อดังของอังกฤษ รู้สึกว่าคุณหมอเจมส์จะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเซอร์ จากสมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ด้วยนะคะ ตอนคุณหมอถึงแก่กรรมยังมีข่าวลงทั้งใน นสพ. และข่าวต่างประเทศด้วย หนังสือของหมอเจมส์สนุก น่ารัก ขำแบบมีสไตล์ ขำแบบผู้ดี ไม่ฮาแตกหัวเราะก๊ากๆ แต่อ่านแล้วจะเกิดรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากแต่พองาม...อิอิ



.........เวลาเห็นหนังสือพวกนี้ทีไรก็อดคิดถึงเจ้าโจไม่ได้....

          และแล้วก็ยังลากเข้าหัวเรื่องไม่สำเร็จ..  ก็มันมีเรื่องจะคุยเยอะแยะเลยนี่นา พูดเรื่องนี้ก็ไปนึกถึงเรื่องนั้น พอพูดเรื่องนั้นก็ไปคิดถึงเรื่องโน้น นู้น..นู้นนน..... อิอิ

          ไม่เป็นไรน่ะ คุยกันต่อตอนหน้าก็ได้นะคะ....ยังมีเวลาจะคุยกันอีกเยอะแยะ เพราะคนที่เคยคุยกันทีละสองสามชั่วโมง ไม่มีแล้วอ้ะ ....ก็เลยว่าง...(ว่างในใจน่ะ แม้ว่างานจะเยอะจนเกือบไม่มีเวลาว่าง..)
เอ! ขึ้นต้นมาดีๆ ไหงมาจบลงด้วยเรื่องเศร้าได้ ง่าส์...

          ขอไปเอาน้ำตาเช็ดห้วเข่าก่อนนะคะ ....แล้วกลับมาคุยกันตอนต่อไป......เจ้าแพทมันนั่งมองหน้าตาแป๋ว เหมือนถามว่า แม่จิ๊บจ๋า... มะไหร่จะเล่าถึงเรื่องหนูซะทีอ้ะ....อิอิ..ใจเย็นลูก..ช้าๆ ได้พร้า 2 เล่มงาม เล่มนึงคาที่หัว อิกเล่มปักที่กลางหลัง...เย้ยยยย...ม่ายช่าย...อิอิ มุกนี้ไปลอกเค้ามา ไม่รู้จะใช้ตอนไหนดี ปล่อยมันตอนคิดไม่ออก จบเรื่องไม่ลงนี่แหละ....ชะแว๊บบบ เผ่นก่อนดีกว่าไม่อยากเห็นว่าปล่อยมุกแล้วมันแป้ก.....55555+






2 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  2. ว้า...จบแบบเศร้า ๆ ไม่ดีเลย
    **ลูกหมาข้างล่างน่ารักจังเลย ชอบๆๆๆ**

    ตอบลบ