วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
จิ๊บช่างจ้อ....
ก่อนอื่นต้องแสดงความยินดีตามธรรมเนียมที่ ปธน.โอบามา ชนะการเลือกตั้งได้ดำรงตำแหน่งต่อไปอีกวาระหนึ่ง ช้าไปนิด แต่ถ้ายินดีตอนแรก จะไม่มีใครสนใจเรา เพราะทุกคนทำแบบนั้น ต้องหาความโดดเด่นให้ตัวเองหน่อย...5555+
นั่งแปลตำราจนหน้ามืดตามัว คิดอะไรไม่ออก พาลจะเป็นลมเอา... เลยเปลี่ยนอิริยาบท ...
เอ่อ....คำว่า "อิริยาบท" นี้พักหลังๆ เห็นคนใช้กันผิดเยอะ ไปพูดว่าอริยาบท แม้แต่ผู้ประกาศข่าว หรือพิธีกรโทรทัศน์ รวมทั้งบรรดาดีเจวีเจขวัญใจวัยโจ๋ทั้งหลาย ที่น่าจะต้องใช้ภาษาไทยให้ "เป๊ะ"
คำว่าอิริยาบท มาจาก " อิริยา" สนธิ (รวมกับ)กับ "บท" เป็นคำภาษาบาลีส่วนในสันสกฤตจะใช้ว่า "อีรยา" แปลว่า กิริยา ท่าทาง การเคลื่อนไหว ส่วนคำว่า "อริยา" นั้นความหมายต่างไปคนละเรื่องเลย คำหลังนี้ แปลว่า ประเสริฐ เจริญ ดีงาม เช่น พระอริยเจ้า พระอริยบุคคล...ถ้ามีโอกาสใช้ก็ช่วยกันใช้ให้ถูกต้องหน่อยแล้วกันนะคะ ด้วยความเป็นห่วง......
ที่จั่วหัวมา ก็ไม่ได้จะคุยเรื่องคำศัพท์หรือการใช้ภาษาไทยอะไรหรอกนะคะ ความจริงคืออยากจะบอกว่า ขยับตัวเปลี่ยนท่าทาง แล้วเลยถือโอกาสชำระกองเอกสารตรงหน้าที่ชักจะสูงขึ้นทุกทีๆ ขืนปล่อยไว้อีกหน่อยจะท่วมหัวเอาได้.. เก็บไปเก็บมาก็เห็นว่าเป็นบทความที่ถ่ายเอกสารมาบ้าง พริ้นท์มาจากอินเทอร์เน็ตบ้าง และก็มีบางอย่างล้าสมัยไปแล้วก็จะส่งนักการไปย่อยเสีย แต่แล้วก็เจอเอกสารชิ้นหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการพูด...
จำได้ว่า เจ้าเอกสารชิ้นนี้นี่ไปค้นคว้ามาเมื่อครั้งได้รับมอบหมายให้ไปบรรยายเป็นงานแรก เรื่อง ระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ และ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ที่สำนักงานผู้ตรวจการรัฐสภา (จากวันนั้นถึงวันนี้กี่ปีมาแล้วเนี่ย..อ่ะ ม่ายบอกกก 555) ตอนนั้นเรื่องความรู้ที่จะใช้บรรยายไม่ค่อยกังวล เพราะพี่เลี้ยงเยอะ เอาตำราและสื่อบรรยาย (power point) มาให้เพียบ อ่านจนขึ้นใจ แต่กังวลมากที่จะต้องไปสอนระดับผู้ใหญ่ซี 8 ซี 9 หรือระดับผู้อำนวยการกองขึ้นไปอ้ะ เราก็เด็กซะเพิ่งจะเป็นซี 6 หมาดๆ ทำไงละหว่า...ก็ไปค้นเจอบทความชิ้นหนึ่งว่าด้วยเรื่องปาฐกถา และที่เก็บไว้มาจนบัดนี้ ไม่เพียงเพราะมันมีประโยชน์และทำให้การบรรยายครั้งนั้นผ่านพ้นไปได้ ไม่ตกเก้าอี้ตายให้ขายขี้หน้ากรมฯ เท่านั้น แต่ชื่อองค์ปาฐกนั้นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กระดาษชิ้นนี้มีค่าสำหรับจิ๊บมาก นั่นคือเป็นปาฐกถาของ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ เรื่อง "สมบัติของนักพูด" ออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียง เมื่อวันอาทิตย์ ที่23 ส.ค.2474โน่นน่ะค่ะ
จิ๊บเอาลงให้ดูข้อความเต็ม ๆ เป็นรูปนี้นะคะ (กดดูน่าจะลิงค์ได้ค่อยไปขยายเอาอีกทีนะคะ)
สรุปสาระสำคัญคือ
ท่านออกตัวตามประสาคนเก่งว่าท่านไม่ได้เรียนการพูดมาจากสำนักใด ใช้แต่ประสบการณ์และการฝึกฝน หนำซ้ำท่านยังเป็นคนพูดติดอ่างมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่พยายามแก้ไขยังไงก็ไม่หาย จนต่อมาท่านพยายามแก้ไขปัญหาของตนเองจนได้ แต่จิ๊บว่าถึงขั้นได้รับราชทินนามจากรัชกาลที่ 6 ว่า "วิจิตรวาทการ" ซึ่งแปลว่าพูดดีพูดได้งดงาม นี่คงเป็นพรสวรรค์และอัจฉริยภาพส่วนตัวด้วยแล้วล่ะค่ะ แต่สำหรับเราๆ เอาแค่ให้สามารถไปพูดต่อหน้าคนจำนวนหนึ่ง หรือ present ในห้องเรียนหรือที่ทำงานได้บ้างก็ดีโขละนะคะ ไม่ต้องได้รับการขนานนามสูงส่งอย่างท่านหรอก และคำแนะนำของท่านก็เป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยที่เราจะทำได้ ท่านแนะนำว่ายังงี้ค่ะ
ข้อ 1. พยายามทำให้พูดหนักแน่น เป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ อันนี้ขออธิบายเพิ่มเติมจากประสบการณ์ของตัวเองนะคะ คือว่าถ้าเราไม่ใช่คนที่พูดเร็วมาแต่เดิมก็ไม่ต้องพยายามพูดให้เร็วหรอก การพูดคล่องหรือพูดได้เร็วมันไม่สำคัญเลย พูดตามสไตล์และสปีดของเรานี่แหละ ถ้ามันชัดเจนตรงประเด็น สปีดก็จะหมดความหมายไปเลยค่ะ
ข้อ 2. พยายามเป็นนายตัวเอง และมีดวงจิตแน่วแน่อยู่เสมอในเวลาพูด ไม่ว่าจะพูดกับใคร ก็คือมีสติ ไม่เขวนั่นเอง
ท่านบอกว่า 2 ข้อนี้เองจะทำให้ก้าวพ้นปัญหาการพูดติดอ่างหรือประหม่า เขิน พูดไม่คล่องไปได้
อย่างไรก็ตามที องค์ประกอบสำคัญก็คือเนื้อเรื่องหรือเนื้อหาที่เราจะต้องพูดนั่นล่ะค่ะ สมัยนี้ต้องพูดว่า "เป๊ะ" อย่าพูดในสิ่งที่เราไม่รู้จริง หรือไม่ตรวจสอบความถูกต้องก่อน มิฉะนั้นเราก็จะปล่อยไก่ ปล่อยเป็ดปล่อยห้าแต้มหกแต้มกันไป..เหมือนผู้ประกาศข่าว หรือพิธีกรโทรทัศน์บางคนที่เคยเห็นกันบ่อย ๆ นั้นละค่ะ
โอว.. แค่เก็บขยะออกจากโต๊ะ ไปเจอขุมทรัพท์ทางปัญญาเข้าให้ ถึงกับเวิ่นเว้อไปได้ขนาดนี้ แต่ก็หวังนะคะว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ก็ขอให้คนที่พูดเก่งแล้วดีแล้วพูดเก่งยิ่งๆขึ้นไป และที่สำคัญจิ๊บขอเป็นกำลังใจให้คนที่พูดยังไม่เก่ง ไม่มั่นใจ พูดได้เก่งขึ้นด้วยความั่นใจที่เพิ่มขึ้น จิ๊บเชื่อว่าทุกคนทำได้ ขนาดจิ๊บที่ตอนเด็กๆไม่พูดเลยเอาแต่อมนิ้วมือจนแม่นึกว่าลูกสาวจะเป็นใบ้ ยังช่างจ้อได้ ขนาดนี้เลย.....
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น