วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ทศชาติชาดก : ชาติที่ 5 มโหสถชาดก ( ปัญญาบารมี ) (จบ)





ทศชาติชาดก : ชาติที่ 5 มโหสถชาดก ( ปัญญาบารมี ) (๓)

พระนางปัญจาลจันทีได้เป็นที่รัก เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าวิเทหราช ในปีที่ ๒ พระนางเจ้านั้นประสูติพระโอรส ครั้นพระราชโอรสนั้นมีพรรษาได้ ๑๐ ปี พระเจ้าวิเทหราชผู้พระชนกสวรรคต มโหสถโพธิสัตว์ได้ถวายราชสมบัติแด่พระกุมารนั้น แล้วทูลลาว่า ข้าแต่เทพเจ้า ข้าพระองค์จักไปอยู่ราชสำนักพระเจ้าจุลนีพระอัยกาของพระองค์

พระราชานั้นตรัสว่าแน่ะบัณฑิต ท่านอย่าทิ้งข้าพเจ้าผู้ยังเด็กไปเสีย ข้าพเจ้าตั้งท่านไว้ในที่บิดา จักทำสักการบูชา

แม้พระนางเจ้าปัญจาลจันทีผู้พระชนนีก็ตรัสวิงวอนพระโพธิสัตว์ว่า แน่ะบัณฑิต ในกาลเมื่อท่านไปเสียแล้ว ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มีขอท่านอย่าไปเลย

มโหสถทูลว่า ข้าพระองค์ได้ถวายปฏิญาณไว้แด่พระเจ้าจุลนี ข้าพระองค์ไม่สามารถเพื่อจะไม่ไป

เมื่อมหาชนคร่ำครวญอยู่อย่างน่าสงสารนั้นเอง มโหสถก็พาพวกอุปัฏฐากของตนออกจากพระนครไปถึงอุตตรปัญจาลราชธานี พระเจ้าจุลนีทรงทราบว่ามโหสถมาถึง ก็เสด็จต้อนรับให้มโหสถเข้าพระนครด้วยบริวารเป็นอันมาก ประทานเคหสถานใหญ่ให้มโหสถอยู่ แล้วประทานบ้าน ๘๐ บ้านที่ประทานแล้วแต่แรกและโภคสมบัติอื่น ๆ มโหสถก็รับราชการ ณ ราชสำนักนั้น

ในกาลนั้น มีปริพาชิกาคนหนึ่ง ชื่อเภรี เคยเข้าไปฉันในพระราชนิเวศน์ นางเป็นบัณฑิตฉลาด นางยังไม่เคยเห็นมโหสถ ได้สดับกิตติศัพท์ว่าได้ยินว่า มโหสถบำรุงพระราชา แม้มโหสถก็ยังไม่เคยเห็นปริพาชิกา ได้ยินแต่กิตติศัพท์ว่า ได้ยินว่า ปริพาชิกาชื่อเภรี ฉันในราชสถาน

ฝ่ายพระนางนันทาเทวีไม่ชอบพระหฤทัยในพระโพธิสัตว์ว่า มโหสถทำปิยวิปโยคให้เราลำบาก พระนางจึงตรัสสั่งเหล่าสตรีที่สนิทราว ๕๐๐ คนว่าเจ้าทั้งหลายจงพยายามหาโทษของมโหสถสักอย่างหนึ่ง แล้วทูลยุยงระหว่างพระราชาให้แตกกัน สตรีเหล่านั้นเที่ยวมองหาโทษของมโหสถอยู่

วันหนึ่งปริพาชิกานั้นฉันแล้วออกไป ได้เห็นพระโพธิสัตว์มาสู่ราชุปัฏฐาน ณ พระลาน พระโพธิสัตว์ไหว้ปริพาชิกาแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ปริพาชิกาคิดว่า ได้ยินว่า มโหสถนี้เป็นบัณฑิต เราจักรู้ความที่เธอเป็นบัณฑิตหรือไม่ใช่บัณฑิตก่อน

เมื่อจะถามปัญหาด้วยเครื่องหมายแห่งมือ จึงแลดูมโหสถแล้วแบมือออก ได้ยินว่า นางถามปัญหาด้วยใจว่า พระเจ้าจุลนีนำมโหสถมาแต่ประเทศอื่น เดี๋ยวนี้ทรงบำรุงเช่นไรหรือไม่ได้ทรงบำรุง

พระโพธิสัตว์รู้ว่า นางเภรีปริพาชิกาถามปัญหาเราด้วยเครื่องหมายแห่งมือ เมื่อจะแก้ปัญหาจึงกำมือ ได้ยินว่ามโหสถแก้ปัญหาด้วยใจว่า ข้าแต่ผู้เป็นเจ้า พระราชาทรงรับปฏิญาณของข้าพเจ้าแล้วให้เรียกมา เดี๋ยวนี้เป็นผู้เหมือนกับกำพระหัตถ์ไว้มั่นยังไม่พระราชทานอะไร ๆ ที่พระองค์ยังไม่เคยพระราชทานแก่ข้าพเจ้า

นางเภรีรู้ถ้อยคำของมโหสถจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะของตน นางแสดงข้อความนี้ด้วยกิริยานั้นว่า แน่ะบัณฑิต ถ้าท่านลำบาก เหตุไรท่านจึงไม่บวชเหมือนอาตมาเล่า

พระมหาสัตว์รู้ความนั้นจึงลูบท้องของตน แสดงข้อความนี้ด้วยกิริยานั้นว่า ข้าแต่ผู้เป็นเจ้า บุตรและภรรยาข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูมาก เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้ายังไม่บวช

นางเภรีถามปัญหาด้วยเครื่องหมายแห่งมือแล้วไปสู่อาวาสของตน ฝ่ายมโหสถไหว้นางแล้วไปสู่ราชุปัฏฐาน

พวกสตรีคนสนิทที่พระนางนันทาเทวีประกอบยืนอยู่ที่หน้าต่าง เห็นกิริยานั้น จึงไปเฝ้าพระเจ้าจุลนี ทูลยุยงว่า ข้าแต่สมมติเทพ มโหสถอยู่ในที่เดียวกับนางเภรีปริพาชิกา เป็นผู้ใคร่จะชิงราชสมบัติ ย่อมเป็นศัตรูของพระองค์

พระราชาได้ทรงสดับคำนั้น จึงตรัสว่าพวกเจ้าได้เห็นหรือได้ฟังอะไร

สตรีเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่มหาราช ปริพาชิกาฉันแล้วลงจากปราสาท เห็นมโหสถ แล้วเหยียดมือออกหมายให้รู้ความว่า ท่านสามารถจะทำพระราชาให้เป็นดังฝ่ามือ หรือให้เป็นดังลานนวดข้าวให้เสมอแล้วทำราชสมบัติให้ถึงเงื้อมมือตน

ฝ่ายมโหสถเมื่อแสดงอาการจับดาบ ได้กำมือเข้า หมายให้รู้ว่า เราจะตัดศีรษะพระราชาโดยวันล่วงไปเล็กน้อยแล้วทำราชสมบัติให้ถึงเงื้อมมือตน

ปริพาชิกายกมือของตนขึ้นลูบศีรษะ หมายให้รู้ว่าท่านจะตัดศีรษะพระราชาเท่านั้นหรือ

มโหสถลูบท้อง หมายให้รู้ว่า เราจะตัดกลางตัวเสียด้วย

ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงไม่ประมาท ควรที่พระองค์จะฆ่ามโหสถเสียก่อน

พระเจ้าจุลนีได้ทรงฟังถ้อยคำของสตรีเหล่านั้น จึงทรงดำริว่า มโหสถไม่อาจจะประทุษร้ายในเรา เราจักถามปริพาชิกาก็จักรู้ความ

อีกวันหนึ่งในเวลาเมื่อปริพาชิกาฉันแล้ว พระองค์เข้าไปหานาง ตรัสถามว่าข้าแต่ผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นเจ้าพบมโหสถบ้างหรือ

นางทูลว่า เมื่อวานนี้อาตมะฉันแล้วออกไปจากที่นี้ได้พบเธอ

ตรัสถามว่าได้เจรจาสนทนาอะไรกันบ้าง

นางทูลว่า หาได้พูดอะไรกันไม่ เป็นแต่อาตมะได้ยินว่า เธอเป็นนักปราชญ์จึงถามปัญหาเธอด้วยเครื่องหมายแห่งมือ ด้วยมนสิการว่า ถ้าเธอเป็นนักปราชญ์เธอจักรู้ปัญหานี้ จึงได้แบมือออกให้สำคัญรู้ว่า พระราชาของท่านเป็นผู้มีพระหัตถ์แบ หรือมีพระหัตถ์กำ คือได้ทรงสงเคราะห์อะไรท่านบ้าง หรือมิได้ทรงสงเคราะห์

มโหสถได้กำมือให้หมายรู้ว่า พระราชารับปฏิญาณของข้าพเจ้าไว้แล้วตรัสเรียกมา เดี๋ยวนี้ยังไม่ได้พระราชทานอะไร

ทีนั้นอาตมะจึงลูบศีรษะให้หมายความว่า ถ้าท่านลำบาก ทำไมท่านไม่บวชดังอาตมะเล่า

ฝ่ายมโหสถลูบท้องของตนให้ทราบว่า บุตรภรรยาอันข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูมีมากเกินจะต้องให้เต็มท้องกันมิใช่น้อย เหตุนี้จึงยังบวชไม่ได้

พระราชาจึงตรัสถามต่อไปว่าข้าแต่ผู้เป็นเจ้า มโหสถเป็นนักปราชญ์หรือ

นางเภรีทูลว่า บุคคลอื่นชื่อว่าเป็นนักปราชญ์เช่นมโหสถย่อมไม่มีในพื้นแผ่นดิน

พระราชาได้ทรงฟังถ้อยคำแห่งนางเภรีแล้ว ทรงนมัสการแล้วอาราธนาให้กลับ ในกาลเมื่อนางเภรีไปแล้วมโหสถได้เข้าไปสู่ราชุปัฏฐาน

ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสถามมโหสถว่า ดูก่อนบัณฑิต เจ้าได้พบนางเภรีปริพาชิกาบ้างหรือ

มโหสถกราบทูลเหมือนกับข้อความที่นางทูลแล้วว่า เมื่อวานนี้นางออกไปจากพระราชนิเวศน์ ข้าพระองค์ได้พบนาง นางถามปัญหาข้าพระองค์ด้วยเครื่องหมายแห่งมืออย่างนั้น แม้ข้าพระองค์ก็ได้แก้ปัญหาของนางอย่างนั้น

พระราชาทรงเลื่อมใส พระราชทานที่เสนาบดีแก่มโหสถในวันนั้น ให้มโหสถรับราชกิจทั้งปวง

มโหสถคิดว่า พระราชาพระราชทานอิสริยยศยิ่งใหญ่ในคราวเดียว แต่ก็พระราชาทั้งหลายแม้ทรงใคร่จะทำเราให้ตาย ก็ย่อมทรงทำอย่างนี้เอง ไฉนหนอเราจะทดลองพระราชาว่าเป็นผู้มีพระหฤทัยดีต่อเราจริงหรือไม่ ก็แต่บุคคลอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ นางเภรีปริพาชิกาผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญานั้นแหละจักรู้ได้โดยอุบาย

ครั้นคิดฉะนี้แล้วจึงถือของหอมมีดอกไม้เป็นต้นเป็นอันมากไปสู่อาวาสปริพาชิกา บูชาไหว้นางแล้วจึงกล่าวว่า ข้าแต่ผู้เป็นเจ้า ตั้งแต่วันที่ท่านกล่าวคุณกถาของข้าพเจ้าแด่พระราชา พระราชาพระราชทานยศยิ่งใหญ่แก่ข้าพเจ้าราวกะว่าจะทับถม แต่ข้าพเจ้าหาทราบไม่ว่า ยศที่พระราชทานนั้นพระราชทานโดยปกติหรือโดยพิเศษดีแล้ว ท่านพึงหาทางในเรื่องนี้ โดยใช้อุบายอันหนึ่ง เพื่อให้รู้ความที่พระราชาโปรดปรานข้าพเจ้าจริงหรือไม่

นางเภรีรับคำ

อีกวันหนึ่งเมื่อไปสู่พระราชนิเวศน์ นางได้คิดปัญหาชื่อว่า ทกรักขสปัญหา ดังได้สดับมา ความปริวิตกอย่างนี้ได้เกิดมีแก่นางเภรีว่า เราเป็นเหมือนคนสอดแนม จักทูลถามพระราชาโดยอุบาย ก็จักรู้ว่า พระองค์มีพระหฤทัยดีต่อมโหสถหรือหาไม่

นางไปทำภัตกิจแล้วนั่งอยู่ ฝ่ายพระราชาทรงนมัสการนางเภรีแล้วก็ประทับนั่งอยู่ ความปริวิตกได้เกิดมีแก่นางเภรีว่า ถ้าพระราชาจักเป็นผู้มีพระหฤทัยร้ายต่อมโหสถ เราทูลถามปัญหา จักตรัสความที่พระองค์มีพระหฤทัยร้ายในท่ามกลางมหาชน ข้อนั้นจะไม่สมควร เราจักต้องทูลถามพระองค์ในที่ควรแห่งหนึ่ง นางจึงทูลว่า อาตมะปรารถนาที่ลับ

พระราชาจึงให้ชนทั้งหลายกลับไปเสีย ลำดับนั้น นางเภรีจึงทูลขอวโรกาสแด่พระราชาว่าอาตมะจักทูลถามปัญหากะพระองค์

พระราชาตรัสอนุญาตว่า ถามเถิด ผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ารู้ ก็จักกล่าวแก้

ลำดับนั้น นางเภรีปริพาชิกาเมื่อจะทูลถามทกรักขสปัญหา จึงกล่าวว่า

ถ้าว่าผีเสื้อน้ำผู้แสวงหาเครื่องเซ่นมนุษย์ จับเรือของพระนางสลากเทวีพระราชชนนี พระนางนันทา เทวีพระมเหสี พระติขิณมนตรีกุมารพระอนุชา ธนุ เสขกุมารพระสหาย เกวัฏพราหมณ์ราชปุโรหิตาจารย์ มโหสถบัณฑิต และพระองค์รวม ๗ ซึ่งแล่นอยู่ในทะเล พระองค์จะประทานใครอย่างไรให้เป็นลำดับ แก่ผีเสื้อน้ำ

พระเจ้าจุลนีทรงสดับดังนั้น เมื่อจะทรงสำแดงตามพระราชอัธยาศัยจึงตรัสคาถานี้ว่า




ข้าพเจ้าจักให้พระมารดาก่อน ให้มเหสี กนิษฐ ภาดา แต่นั้นให้สหาย ให้พราหมณ์ปุโรหิตเป็นที่ ๕ ให้ตนเองเป็นที่ ๖ ไม่ให้มโหสถแท้ทีเดียว

ความที่พระราชามีพระหฤทัยดีในพระมหาสัตว์ อันปริพาชิการู้แล้วด้วยประการฉะนี้ แต่คุณของมโหสถบัณฑิตได้ปรากฏด้วยกถาเพียงนี้เท่านั้นก็หาไม่ เพราะเหตุนั้น ความปริวิตกได้มีแก่นางเภรีว่า เราจะกล่าวคุณของเขานั้น ๆ ในท่ามกลางมหาชน พระราชาจักแสดงโทษของเขาเหล่านั้นแล้วทรงสรรเสริญคุณของมโหสถบัณฑิต คุณของมโหสถบัณฑิตก็จักปรากฏดุจดวงจันทร์ในวันเพ็ญลอยเด่นในท้องฟ้าฉะนั้น

ด้วยประการฉะนี้นางจึงให้มหาชนในเมืองทั้งหมดมาประชุมกัน แล้วทูลถามปัญหานั้นนั่นแหละกะพระราชาอีก ครั้นพระราชาทรงแสดงอย่างนั้นแล้ว จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์รับสั่งว่าจักประทานพระชนนีก่อนก็ธรรมดาว่ามารดามีคุณูปการมาก พระราชมารดาของพระองค์เช่นกับมารดาของชนเหล่าอื่นก็หาไม่ พระราชมารดาของพระองค์มีพระอุปการะมาก เมื่อจะแสดงพระคุณแห่งพระราชมารดา จึงได้กล่าวว่า

พระราชชนนีของพระองค์เป็นผู้บำรุงเลี้ยง และ ให้ประสูติ เป็นผู้เลี้ยงดูพระองค์ในเวลายังทรงพระเยาว์เมื่อครั้งพราหมณ์ ชื่อฉัพภิ คิดประทุษร้ายในพระองค์ พระราชมารดาเป็นผู้ฉลาด ทำอุบายปลดเปลื้องพระองค์จากการปลงพระชนม์ * พระองค์จะประทานพระชนนีผู้มีพระมนัสคงที่ ประทานพระชนมชีพ ผู้ให้ทรงเจริญระหว่างพระทรวง ทรงไว้ซึ่งพระครรภ์นั้นแก่ผีเสื้อน้ำ ด้วยโทษอะไร

ดังได้สดับมาว่า พระชนกของพระเจ้าจุลนี มีพระนามว่า มหาจุลนี พระนางสลากเทวีเป็นพระมเหสีได้ทำชู้กับพราหมณ์อันมีชื่อว่าฉัพภินั้น ได้ปลงพระชนม์พระเจ้ามหาจุลนี ยกราชสมบัติให้พราหมณ์ เป็นมเหสีแห่งพราหณ์นั้น ในกาลเมื่อพระเจ้าจุลนียังทรงพระเยาว์ วันหนึ่ง จุลนีราชกุมารทูลว่า ข้าแต่พระมารดา หม่อมฉันหิว จึงให้พระกระยาหารพร้อมกับน้ำอ้อยแก่พระโอรส แมลงวันทั้งหลายตอมล้อมพระกุมารนั้น พระกุมารนั้นทรงคิดว่า เราจักเคี้ยวกินของควรเคี้ยวนี้ไม่ให้มีแมลงวัน จึงเลี่ยงไปหน่อยหนึ่งแล้ว เทน้ำอ้อยให้ตกลงยังพื้นหน่อยหนึ่ง แล้วไล่แมลงวันที่ไล่ตอมตนให้หนีไป แมลงวันเหล่านั้นก็พากันไปตอมน้ำอ้อยที่พื้นนั้น ราชกุมารก็ได้พระกระยาหารโดยไม่มีแมลงวันคอยไล่ตอม ครั้นเมื่อเสวยเสร็จแล้ว ล้างพระหัตถ์ทั้งสองบ้วนพระโอฐแล้วหลีกไป พราหมณ์ได้เห็นกิริยาแห่งราชกุมารนั้นจึงคิดว่า กุมารนี้กินน้ำอ้อยไม่มีแมลงวันในบัดนี้ เจริญวัยแล้วจักไม่ให้ราชสมบัติแก่เรา เราจักยังกุมารนั้นให้ตายเสียในเดี๋ยวนี้ทีเดียว

พราหมณ์จึงแจ้งเนื้อความนั้นแก่พระนางสลากเทวี พระนางตรัสตอบว่า ดีแล้ว เทพเจ้า ข้าพระเจ้ายังพระภัสดาของตนให้สิ้นพระชนม์ด้วยความรักในพระองค์ ต้องการอะไรด้วยกุมารนี้แก่ข้าพระเจ้า ณ บัดนี้ ข้าพระเจ้าจักมิให้มหาชนรู้ ทำกุมารให้ตายอย่างลับ ๆ ตรัสฉะนี้แล้วลวงพราหมณ์ว่า อุบายนี้มีอยู่

พระนางสลากเทวีเป็นผู้มีปรีชาฉลาดในอุบาย จึงให้เรียกพ่อครัวมาตรัสว่า บุตรของข้า จุลนีกุมารกับบุตรของเจ้าชื่อธนุเสขกุมารเกิดวันเดียวกัน เจริญด้วยกุมารแวดล้อม เป็นสหายที่รักแห่งกัน เดี๋ยวนี้ฉัพภิพราหมณ์ใคร่จะฆ่าบุตรของข้าให้ตาย เจ้าจงให้ชีวิตแก่บุตรของข้า

ครั้นพ่อครัวทูลว่า ดีแล้วพระเทวี แต่ข้าพระองค์จักทำอย่างไร

จึงรับสั่งว่า บุตรของข้าจงอยู่ในเรือนของเจ้าทุกวัน เจ้าและบุตรของข้าและบุตรของเจ้าจงนอนในห้องเครื่อง เพื่อมิให้ใครสงสัย สิ้นวันเล็กน้อย แต่นั้นรู้ว่าไม่มีใครสงสัยแล้ว วางกระดูกแพะไว้ในที่นอนของเจ้าทั้งสาม แล้วจุดไฟที่ห้องเครื่องในเวลามหาชนหลับ แล้วอย่าให้ใครรู้ พาบุตรของข้าและบุตรของเจ้าออกจากประตูน้อยไปนอกแคว้นอย่าบอกความที่บุตรของข้าเป็นพระราชโอรส แล้วตามรักษาชีวิตบุตรของข้าไว้

พ่อครัวรับพระเสาวนีย์

ลำดับนั้น พระนางประทานธนสารแก่พ่อครัวนั้น พ่อครัวได้ทำอย่างนั้น พาบุตรของตนและพระราชกุมารไปสู่สากลนครในมัททรัฐ แล้วบำรุงพระเจ้ามัททราช พระเจ้ามัททราชให้พ่อครัวคนเก่าออก ประทานตำแหน่งนั้นแก่พ่อครัวใหม่นั้น แม้กุมารทั้งสองนี้ก็ไปสู่พระราชนิเวศกับพ่อครัวนั้น

พระราชาตรัสถามว่า กุมารทั้งสองนี้บุตรใคร

พ่อครัวทูลว่า บุตรของข้าพระองค์

พระเจ้ากรุงสากลนครตรัสว่า หน้าตาไม่เหมือนกันไม่ใช่หรือ

พ่อครัวทูลว่า คนละแม่พระเจ้าข้า

ครั้นเมื่อกาลล่วงไป ๆ จุลนีราชกุมารแลธนุเสขกุมารบุตรพ่อครัวทั้งสองเป็นผู้คุ้นเคยเล่นด้วยกันกับพระธิดาของพระราชาในพระราชนิเวศน์นั่นเอง

ลำดับนั้น จุลนีราชกุมารกับนันทาราชธิดาของพระเจ้ามัททราชได้เป็นผู้มีจิตปฏิพัทธ์กันและกันเพราะเห็นกันทุกวัน จุลนีราชกุมารให้ราชธิดานำลูกข่างและเชือกบ่วงมาในสถานที่เล่น เมื่อราชธิดาไม่นำมาดังรับสั่ง ราชกุมารจึงตีเศียรราชธิดา ราชธิดาก็กันแสง

ลำดับนั้นพระราชาได้ทรงฟังเสียงพระธิดา จึงตรัสถามว่า ใครตีธิดาของข้า นางนมทั้งหลายจึงมาถามราชธิดาว่า ใครตีแม่เจ้า

นางกุมาริกาคิดว่า ถ้าเราจักบอกว่า ราชกุมารนี้ตีฉัน พระบิดาของเราจักลงราชทัณฑ์แก่เธอ คิดฉะนี้จึงไม่ตรัสว่าราชกุมารตี ด้วยความเสน่หาในราชกุมารนั้น จึงตรัสว่า ใครไม่ได้ตีฉันดอก

ลำดับนั้น พระเจ้ามัททราชได้ทอดพระเนตรเห็นด้วยพระองค์เองว่าจุลนีราชกุมารเป็นผู้ตีพระราชธิดา ก็ทรงเกิดปริวิตกว่า กุมารนี้ไม่เหมือนพ่อครัว เป็นผู้มีรูปงามน่าเลื่อมใส เป็นผู้ไม่สะดุ้งกลัวเกินเปรียบ กุมารนี้ไม่ใช่บุตรพ่อครัว

นับแต่นั้นมา พระราชาก็ทรงสังเกตกุมารนั้น นางนมทั้งหลายนำเครื่องเสวยมาในที่เล่นถวายราชธิดา ราชธิดาก็ประทานแก่เด็กอื่น ๆ เด็กเหล่านั้นคุกเข่าน้อมตัวลงรับ ฝ่ายจุลนีราชกุมารกลับยืนแย่งเอาจากพระหัตถ์แห่งราชกุมารี แม้พระราชาก็ได้ทอดพระเนตรเห็นกิริยานั้น

ครั้งนั้นในวันหนึ่ง ลูกข่างของจุลนีราชกุมารเข้าไปภายใต้ที่บรรทมน้อยของพระราชา จุลนีราชกุมารเมื่อจะหยิบลูกข่างนั้น ก็เอาไม้เขี่ยออกมา ด้วยคิดว่า เราจักไม่เข้าภายใต้ที่บรรทมแห่งพระราชาในปัจจันตประเทศนี้

ฝ่ายพระราชาทอดพระเนตรเห็นกิริยานั้นยิ่งแน่พระหฤทัยว่า กุมารนี้ไม่ใช่บุตรแห่งพ่อครัวแน่ จึงให้เรียกพ่อครัวมาตรัสถามว่า กุมารทั้งสองนี้ บุตรใคร

พ่อครัวทูลว่า บุตรของข้าพระองค์ทั้งสองคน พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสคุกคามว่า ข้ารู้ว่าบุตรของเจ้าหรือไม่ใช่บุตรของเจ้า เจ้าจงบอกแต่ความเป็นจริง ถ้าเจ้าไม่บอกความจริง ชีวิตของเจ้าจักไม่มี

ตรัสฉะนี้แล้วเงื้อพระแสงขรรค์ พ่อครัวกลัวแต่มรณภัยจึงทูลว่าข้าแต่เทพเจ้า ข้าพระองค์ต้องการที่ลับ ครั้นพระราชาประทานโอกาสแล้วจึงขอพระราชทานอภัยแล้วทูลตามความเป็นจริง พระราชาทรงทราบตามจริงแล้ว จึงให้แต่งพระธิดาของพระองค์ประทานให้เป็นบาทบริจาริกาแก่จุลนีราชกุมาร

ก็ในวันที่พ่อครัว จุลนีราชกุมาร และบุตรพ่อครัวหนี พระนครอุตตรปัญจาละก็เกิดโกลาหลว่า พ่อครัว จุลนีราชกุมาร และบุตรพ่อครัว ถูกไฟครอกสิ้นพระชนม์และตายด้วยกันเสียแล้วภายในห้องเครื่อง พระนางสลากเทวีทรงทราบเหตุนั้น จึงแจ้งแก่พราหมณ์ว่า ข้าแต่เทพเจ้าความปรารถนาของพระองค์ถึงที่สุดแล้ว ได้ยินว่า พ่อครัว จุลนีราชกุมารและบุตรพ่อครัวทั้ง ๓ คน ไฟไหม้แล้วในห้องเครื่องนั่นเอง พราหมณ์ยินดีร่าเริง ฝ่ายพระนางสลากเทวีให้นำกระดูกแพะมาแสดงแก่พราหมณ์ว่า อัฐิแห่งจุลนีกุมาร แล้วให้ทิ้งเสีย

พระเจ้าจุลนีพรหมทัตได้ทรงสดับคำนางเภรีปริพาชิกาดังนั้นแล้ว ตรัสว่า ข้าแต่ผู้เป็นเจ้า คุณของพระชนนีของข้าพเจ้ามีมาก และข้าพเจ้าก็รู้ความที่พระชนนีมีอุปการะแก่ข้าพเจ้า แต่คุณของข้าพเจ้านี่แหละมีมากกว่านั้น เมื่อจะทรงพรรณนาโทษของพระมารดา จึงตรัสว่า

พระมารดาทรงชราแล้วก็ทำเป็นสาว ทรงเครื่องประดับซึ่งไม่ควรประดับ ตรัสซิกซี้สรวลเสเฮฮากะพวกรักษาประตูและพวกฝึกหัดม้าจนเกินเวลา ยิ่งกว่านั้นพระมารดายังสั่งทูตถึงพวกเจ้าผู้ครองนคร เสียเอง ** ข้าพเจ้าจึงให้พระชนนี แก่ผีเสื้อน้ำด้วยโทษ นั้น

** ทรงพระอักษรเองว่าเป็นคำของข้าพเจ้าแล้วส่งทูตไปว่า พระชนนีของเราตั้งอยู่ในวัยที่บุคคลควรใคร่ เจ้านั้น ๆ จงมานำพระชนนีไป พวกเจ้าครองนครเหล่านั้นส่งราชสาสน์ตอบมาว่า พวกข้าพระองค์เป็นอุปัฏฐากของพระองค์ เหตุไรพระองค์จึงตรัสแก่พวกข้าพระองค์อย่างนี้ เมื่อเขาอ่านราชสาสน์นั้น ๆ ในท่ามกลางที่ประชุม ได้เป็นเหมือนเวลาที่ตัดเศียรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักให้พระชนนีนั้นแก่ผีเสื้อน้ำด้วยโทษนั้น.

นางเภรีได้ฟังพระราชดำรัสแล้วจึงทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์จะประทานพระราชมารดาด้วยโทษนี้ก็สมควร แต่พระมเหสีของพระองค์เป็นผู้มีพระคุณ แล้วจึงได้กล่าวพรรณนาคุณของพระนางนันทาเทวีมเหสีนั้นว่า

พระนางนันทาเทวีเป็นพระมเหสีผู้ประเสริฐกว่า หมู่บริจาริกานารี มีพระเสาวนีย์เป็นที่รักเหลือเกิน เป็นผู้ประพฤติตามที่ชอบ เป็นผู้มีศีล เป็นผู้ตามเสด็จ ประดุจพระฉายา ไม่ทรงพิโรธง่าย ๆ เป็นผู้มีบุญ เป็นบัณฑิต เห็นประโยชน์ พระองค์จักประทานพระ ราชเทวีแก่ผีเสื้อน้ำ ด้วยโทษอะไร

พระเจ้าจุลนีเมื่อจะทรงแสดงโทษของพระนางนันทาเทวีผู้มเหสีนั้นได้ตรัสคาถานี้ว่า

พระนางนันทาเทวีนั้นรู้ว่า ข้าพเจ้ายินดีในกามกีฬา ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลสที่ทำ ความพินาศ เครื่องประดับอันใดที่ข้าพเจ้าให้แก่บุตรธิดาและชายาอื่น ๆ พระนางนั้นก็ขอเครื่องประดับอันนั้นซึ่งไม่ควรขอกะข้าพเจ้า 

ในวันที่สอง พระนางกล่าวกะบุตรเป็นต้นของข้าพเจ้าว่า เครื่องประดับเหล่านี้พระราชาประทานแก่เราแล้ว ท่านทั้งหลายจงนำมาให้เรา ดังนี้ เมื่อบุตรเป็นต้นของข้าพเจ้าร้องไห้อยู่ ก็เปลื้องเอาไป ต่อมาข้าพเจ้าเห็นบุตรเป็นต้นเหล่านั้นร้องไห้มาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เศร้าโศกภายหลัง พระนางนันทาเทวีนี้ทำโทษอย่างนี้ ข้าพเจ้าให้นางแก่ผีเสื้อน้ำด้วยโทษนี้

ลำดับนั้น ปริพาชิกาเภรีทูลพระเจ้าจุลนีว่า พระองค์จะประทานพระมเหสีด้วยโทษนี้ก็สมควร แต่ติขิณกุมารพระกนิษฐภาดา มีอุปการะแด่พระองค์ พระองค์จักประทานเขาด้วยโทษอะไร 

พระกนิษฐภาดาผู้มีพระนามว่าติขิณราชกุมารทำชนบทให้เจริญ เชิญเสด็จพระองค์ผู้ประทับอยู่ ณ สากลนครให้กลับมาสู่ราชธานีนี้ ทรงอนุเคราะห์พระองค์ ครอบงำพระราชาทั้งหลายเสีย นำทรัพย์เป็นอันมากมาแต่ราชสมบัติอื่น เป็นผู้ประเสริฐกว่านาย ขมังธนูทั้งหลาย ทรงกล้าหาญกว่าผู้มีความคิดหลักแหลมทั้งหลาย พระองค์จักประทานพระกนิษฐภาดา แก่ผีเสื้อน้ำด้วยโทษอะไร


ได้ยินว่า ติขิณราชกุมารนั้นประสูติในกาลเมื่อพระราชมารดาอยู่ร่วมกับพราหมณ์ เมื่อพระราชกุมารทรงเจริญแล้ว พราหมณ์ได้มอบพระแสงขรรค์ให้แล้วสั่งว่า เจ้าจงถือพระแสงขรรค์นี้เข้าหาข้าได้ พระราชกุมารนั้นก็บำรุงพราหมณ์ด้วยสำคัญว่าเป็นพระชนกของตน 

ลำดับนั้น อำมาตย์คนหนึ่งได้ทูลพระราชกุมารว่า ข้าแต่พระราชกุมาร พระองค์มิใช่เป็นพระโอรสแห่งพราหมณ์นี้ ในเวลาเมื่อพระองค์ยังอยู่ในพระครรภ์ พระนางสลากเทวีผู้เป็นพระราชมารดาให้ปลงพระชนม์พระราชบิดาเสีย แล้วมอบราชสมบัติแก่พราหมณ์นี้ พระองค์เป็นพระราชโอรสแห่งพระเจ้ามหาจุลนี 

พระราชกุมารได้สดับเหตุนั้นก็กริ้ว ดำริว่า ช่างเถิด เราจักฆ่าพราหมณ์นั้นเสียด้วยอุบายอย่างหนึ่ง แล้วเข้าไปสู่ราชสำนัก ประทานพระแสงขรรค์แก่มหาดเล็กใกล้ชิดคนหนึ่ง แล้วตรัสกะมหาดเล็กอีกคนหนึ่งว่า เจ้าจงยืนอยู่แทบประตูพระราชนิเวศน์ กล่าวกะมหาดเล็กที่ถือพระขรรค์นั้นว่า นั่นพระขรรค์ของเรา แล้วพึงก่อวิวาทกับมหาดเล็กคนนั้น ตรัสสั่งฉะนี้แล้วเสด็จเข้าข้างใน 

มหาดเล็กทั้งสองนั้นได้ทะเลาะกัน พระราชกุมารส่งบุรุษคนหนึ่งไปเพื่อให้รู้ว่า นั่นทะเลาะอะไรกันบุรุษนั้นมาทูลว่า ทะเลาะกันด้วยต้องการพระขรรค์ 

ลำดับนั้น พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นจึงถามพระราชกุมารว่า เรื่องเป็นอย่างไร พระราชกุมารกล่าวว่า ได้ยินว่า พระขรรค์ที่พระองค์ประทานแก่หม่อมฉัน เป็นของคนอื่น 

พราหมณ์กล่าวว่า พูดอะไรพ่อ ถ้าอย่างนั้น จงให้เขานำมา ฉันจำพระขรรค์นั้นได้

พระราชกุมารให้นำพระขรรค์นั้นมาแล้วชักออกจากฝัก ทำเป็นให้จำได้ด้วยคำว่า เชิญทอดพระเนตรเถิด เข้าไปใกล้พราหมณ์นั้นแล้วตัดศีรษะพราหมณ์นั้นให้ตกลงแทบพระบาทของตนด้วยการฟันฉับเดียวเท่านั้น 

ต่อแต่นั้น เมื่อนำศพพราหมณ์ออกจากพระราชนิเวศน์ แล้วได้จัดแต่งพระราชนิเวศน์ตกแต่งพระนครอภิเษกพระราชกุมารนั้น พระชนนีแจ้งว่าจุลนีราชกุมารอยู่ในมัททรัฐ พระราชกุมารทรงสดับดังนั้น แวดล้อมด้วยเสนางคนิกรเสด็จมัททรัฐ นำพระเชษฐาธิราชมาให้ครองราชสมบัติ นับแต่นั้นมา ชนทั้งหลายก็รู้จักพระองค์ว่า ติขิณมนตรี 

ปริพาชิกาทูลถามว่า พระองค์จะประทานพระกนิษฐภาดาเห็นปานนี้นั้นแก่ผีเสื้อน้ำด้วยโทษอะไร

พระราชาเมื่อจะตรัสโทษของติขิณกุมารนั้น ตรัสว่า

จริงอยู่ ติขิณราชกุมารยังชนบทให้เจริญ เชิญเราผู้อยู่ ณ สากลนครให้กลับมาสู่ราชธานีนี้อนุเคราะห์เรา ครอบงำพระราชาทั้งหลายเสีย นำทรัพย์เป็นอันมาก มาแต่ราชสมบัติอื่น เป็นผู้ประเสริฐกว่านายขมังธนู ทั้งหลาย กล้าหาญ มีความคิดหลักแหลม แต่เธอคุยเสมอว่า พระราชาองค์นี้มีความสุขเพราะข้าพเจ้า เธอสำคัญว่าฉันเป็นเด็กไป เมื่อก่อน เธอมาเฝ้าแต่เช้าทีเดียว แต่บัดนี้เธอไม่มาเหมือนอย่างนั้น พระแม่เจ้า ข้าพเจ้าจึงให้พระกนิษฐภาดาแก่ผีเสื้อน้ำด้วยโทษนั้น

ปริพาชิกาทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า โทษของพระกนิษฐภาดาจงยกไว้ก่อน แต่ธนุเสขกุมารประกอบด้วยคุณมีความเสน่หาในพระองค์ เป็นผู้มีอุปการะมาก เมื่อจะกล่าวคุณของธนุเสขกุมาร จึงทูลว่า

พระองค์และธนุเสขเกิดในราตรีเดียวกัน ทั้งสอง เป็นชาวปัญจาละเกิดในพระนครนี้ เป็นสหายมีวัยเสมอกัน มีจริยางามติดตามพระองค์ไปร่วมสุขร่วม ทุกข์กับพระองค์ ขยันขันแข็งในกิจทั้งปวงของ พระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน จงรักภักดีพระองค์ จะให้พระสหายแก่ผีเสื้อน้ำด้วยโทษอะไร

ลำดับนั้น พระเจ้าจุลนีเมื่อจะกล่าวโทษของธนุเสขกุมารนั้น ตรัสว่า

ข้าแต่แม่เจ้า ธนูเสขนี้ประพฤติกระซิกกระซี้ ตีเสมอข้าพเจ้า เมื่อก่อนที่เที่ยวติดตามข้าพเจ้า ร่วมกินร่วมนอนกับข้าพเจ้ายามตกยาก ตบมือหัวเราะลั่น ฉันใด แม้วันนี้สหายธนูเสขก็หัวเราะฉันนั้นแหละยังแลดูข้าพเจ้าเหมือนเวลาตกยาก  ข้าแต่แม่เจ้า ข้าพเจ้าอยู่ในที่รโหฐาน ปรึกษากับพระเทวีของข้าพเจ้าอยู่ ไม่ได้เรียกหา ก็เข้าไปและไม่แจ้งให้ทราบก่อน เขาได้พรจากข้าพเจ้าให้เข้าพบได้ทุกที่ทุกเวลา แต่สหายไม่มีความยำเกรงไม่มีความเอื้อเฟื้อเลย ข้าพเจ้าให้แก่ผีเสื้อน้ำด้วยโทษนั้น

ลำดับนั้น ปริพาชิกาทูลพระเจ้าจุลนีว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า โทษของพระสหายธนุเสขนี้ยกไว้ก่อน แต่ปุโรหิตเกวัฏเป็นผู้มีอุปการะแก่พระองค์มาก เมื่อจะกล่าวคุณของปุโรหิตนั้น ทูลว่า

ท่านเกวัฏปุโรหิตาจารย์เป็นผู้ฉลาดในนิมิตทั้งปวง รู้เสียงร้องของสัตว์ทั้งหลายเชี่ยวชาญในคัมภีร์พระเวท รอบรู้ในเรื่องอุบาท เรื่องสุบิน มีความชำนาญในการหาฤกษ์ยกทัพและการเข้ารบ เป็นผู้บอกฤกษ์ล่างฤกษ์บน ฉลาดในทางแห่งดาวฤกษ์ พระองค์ให้พราหมณ์ปุโรหิตแก่ผีเสื้อน้ำด้วยโทษอะไร

พระราชาเมื่อจะตรัสโทษของเกวัฏปุโรหิตนั้น ตรัสว่า

ข้าแต่แม่เจ้า ปุโรหิตเกวัฏนี้ เมื่อแลดูข้าพเจ้าในท่ามกลางบริษัท ก็ลืมตาแลดูเหมือนคนโกรธ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงให้นายพรานคือนักล่าสัตว์ผู้ทำเป็นเลิกคิ้ว เพราะโทษที่เลิกคิ้วนั้นแก่ผีเสื้อน้ำ

ต่อนั้น ปริพาชิกาเมื่อจะทูลถามว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์ตรัสว่าจักให้ชน ๕ คนเหล่านี้มีพระราชมารดาเป็นต้นแก่ผีเสื้อน้ำ และตรัสว่าจักประทานชีวิตของพระองค์แก่มโหสถบัณฑิต โดยไม่คำนึงถึงสิริราชสมบัติเห็นปานนี้ พระองค์ทรงเห็นคุณของมโหสถบัณฑิตนั้นอย่างไร ดังนี้ จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

พระองค์ทรงปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลมีสมุทรเป็นขอบเขตทุกด้าน พสุธาที่เป็นพระราช อาณาเขต เป็นประหนึ่งกุณฑลที่อยู่ในสาคร ทรงมีอำมาตย์แวดล้อมเป็นที่เฉลิมพระราชอิสริยยศ ทรงมีบ้านเมืองแว่นแคว้นใหญ่จดสี่คาบสมุทร ทรงพิชิตชมพูทวีปได้แล้ว ทั้งรี้พลของพระองค์เล่าก็มากถึง ๑๘ กองทัพ พระองค์ทรงเป็นพระราชาเอกแห่งปฐพี พระราชอิสริยยศของพระองค์ถึงความไพบูลย์ เหล่านารีของพระองค์ก็มีถึง ๑๖,๐๐๐ นาง ล้วนสำอางแต่งองค์ทรงเครื่องเรืองระยับ มาจากชนบทต่าง ๆ ทั่วชมพูทวีป ทรงสิริโสภาคย์เปรียบด้วยเทพกัญญา 

พระชนมชีพของพระองค์เพรียบพร้อมด้วยองค์ประกอบแห่งความสุขอย่างครบครัน ทุกสิ่งทุกอย่างใน แผ่นดิน แม้พระองค์มีพระราชประสงค์ก็จะสำเร็จ สมพระหฤทัยปรารถนาทุกประการ น่าที่พระองค์จะตรัสว่าต้องการจะมีพระชนม์อยู่ยาวนาน ตามคติชีวิตที่นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า คนที่มีความสุขทั่ว ๆ ไป ล้วนต้องการจะมีชีวิตอยู่นาน ๆ ชีวิตเป็นที่รักยิ่งนักของคนที่มีความสุข เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ทรงป้องกันมโหสถบัณฑิตไว้ ทรงสละพระชนม์ของพระ องค์ซึ่งเป็นสิ่งสละได้ยากด้วยเหตุอันใด

ข้าแต่แม่เจ้า มโหสถบัณฑิตแม้จะมาจากบ้านเมืองอื่น ก็มาด้วยมุ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่ทราบถึงความชั่วแม้สักน้อยของมโหสถผู้เป็นปราชญ์เลย ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะต้องตายไปก่อนในกาลไหน ๆ ก็ตามเถิด มโหสถก็พึงยังลูกและหลานของข้าพเจ้าให้มีความสุข มโหสถย่อมเห็นแจ่มแจ้งซึ่งความเจริญทุกอย่างทั้งอนาคตและปัจจุบัน ข้าพเจ้าไม่ยอมให้มโหสถบัณฑิตผู้ไม่มีความผิดเลยแก่ผีเสื้อน้ำ

พระเจ้าจุลนีทรงยกเกียรติคุณของพระมหาสัตว์ขึ้นประกาศ ประหนึ่งทรงยกดวงจันทร์ขึ้นฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้ ชาดกนี้มีเนื้อความติดต่อกันด้วยประการฉะนี้

ลำดับนั้น นางเภรีปริพาชิกาคิดว่า เกียรติคุณของมโหสถบัณฑิตปรากฏเพียงเท่านี้ ยังไม่เพียงพอ เราจักกระทำเกียรติคุณของมโหสถบัณฑิตให้ปรากฏในท่ามกลางชาวเมืองทั้งสิ้นทีเดียว ให้เป็นประหนึ่งว่ารดน้ำมันลงบนผิวแม่น้ำแผ่ขยายไปฉะนั้น คิดฉะนี้แล้วจึงเชิญพระเจ้าจุลนีลงจากปราสาทให้ปูลาดอาสนะที่พระลานหลวงนั่งบนอาสนะนั้นแล้ว ประกาศให้ชาวเมืองมาประชุมกัน แล้วทูลถามพระเจ้าจุลนีถึงปัญหาผีเสื้อน้ำ ตั้งแต่ต้นอีกในเวลาที่พระเจ้าจุลนีตรัสโดยนัยที่ตรัสแล้วในหนหลัง นางเภรีปริพาชิกาได้กล่าวประกาศแก่ชาวเมืองว่า

ชาวปัญจาละทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงฟังพระดำรัสของพระเจ้าจุลนีนี้ พระองค์ทรงปกป้องมโหสถบัณฑิต สละพระชนม์ซึ่งสละได้ยาก พระเจ้าปัญจาละทรงสละชีวิตของพระชนนี พระมเหสี พระกนิษฐภาดา พระสหาย และพราหมณ์เกวัฏ และแม้ของพระองค์เอง เป็น ๖ คนด้วยกัน ปัญญามีประโยชน์ใหญ่หลวงเป็นสิ่งละเอียด เป็นเหตุให้คนเรามีความคิดในทางที่ดี ย่อมมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบัน และเพื่อความสุขในภายหน้า ด้วยประการฉะนี้

นางเภรีปริพาชิกาถือเอายอดธรรมเทศนาด้วยคุณทั้งหลายของพระมหาสัตว์ ดุจถือเอายอดเรือนแก้วด้วยดวงแก้วมณีฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้แล

จบ ปัญหาผีเสื้อน้ำ

จบอรรถกถามหาอุมมังคชาดกโดยประการทั้งปวง

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงด้วยประการฉะนี้แล้ว เมื่อทรงประกาศอริยสัจ ๔ ประชุมชาดก ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายมิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตมีปัญญาย่ำยีวาทะของผู้อื่น แม้ในอดีตกาล เมื่อญาณยังไม่แก่กล้า ตถาคตยังบำเพ็ญจริยาเพื่อประโยชน์โพธิญาณอยู่ ก็มีปัญญาเหมือนกัน ตรัสฉะนี้แล้วได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า

เสนกบัณฑิตในครั้งนั้น คือกัสสปภิกษุในบัดนี้

กามินทะคือ อัมพัฏฐภิกษุ

ปุกกุสะคือ โปฏฐปาทภิกษุ

ปัญจาลจันทกุมารคือ อนุรุทธภิกษุ

เทวินทะ คือโสณทัณฑกภิกษุ

พราหมณ์เกวัฏ คือเทวทัตภิกษุ

พระนางสลากเทวี คือถูลนันทิกาภิกษุณี

พราหมณ์อนุเกวัฏ คือโมคคัลลานภิกษุ

พระนางปัญจาลจันที คือสุนทรีภิกษุณี

นางนกสาริกา คือพระนางมัลลิกาเทวี

พระนางอุทุมพรเทวี คือโคตมีภิกษุณี

พระเจ้าวิเทหราช คือกาฬุทายีภิกษุ

นางเภรีปริพาชิกา คืออุบลวรรณาภิกษุณี

คฤหบดีผู้บิดา คือพระเจ้าสุทโธทนมหาราช

คฤหปตานีผู้มารดา คือพระสิริมหามายา

นางอมรา คือพระพิมพาผู้เลอโฉม

ติขิณกุมาร คือฉันนภิกษุ

ธนุเสข คือราหุลภิกษุ

นกสุวบัณฑิต คืออานนทภิกษุ

พระเจ้าจุลนี คือสารีบุตรภิกษุ

มโหสถบัณฑิต คือเราผู้โลกนาถ

เธอทั้งหลายจงทรงจำชาดกไว้อย่างนี้แล

จบ มโหสถชาดกบัณฑิต

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น