ทศชาติชาดก : ชาติที่ 4 เนมิราชชาดก ( อธิษฐานบารมี )
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระราชอุทยานอัมพวันของพระเจ้ามฆเทวราช ทรงอาศัยกรุงมิถิลาเป็นที่ภิกษาจาร ทรงปรารภการทำความแย้มพระโอฐให้ปรากฏ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ดังนี้
เรื่องย่อมีว่า วันหนึ่ง พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก เสด็จจาริกไปในอัมพวันนั้นในเวลาเย็น ทอดพระเนตรเห็นภูมิประเทศแห่งหนึ่งเป็นรมณียสถาน ทรงใคร่จะตรัสบุรพจริยาของพระองค์ จึงทรงแย้มพระโอฐ ท่านพระอานนทเถระกราบทูลถามเหตุที่ทรงแย้มพระโอฐ จึงมีพระพุทธดำรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ภูมิประเทศนี้เราเคยอาศัยอยู่ เจริญฌานในกาลที่เราเสวยชาติเป็นมฆเทวราชา ตรัสดังนี้แล้วก็ทรงดุษณีภาพนิ่งอยู่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลวิงวอนเพื่อให้ทรงแสดง จึงประทับนั่ง ณ บวรพุทธาสนะที่ปูลาดไว้ ทรงนำอดีตนิทานมาแสดง ดังต่อไปนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ณ กรุงมิถิลา แคว้นวิเทหรัฐ ได้มีพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่ามฆเทวราช พระองค์ทรงเป็นราชกุมารอยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี ขึ้นครองครองไอศวรรย์ ๘๔,๐๐๐ ปี เมื่อเสวยราชย์เป็นพระราชาธิราชได้ ๘๔,๐๐๐ ปี มีพระราชดำรัสกะเจ้าพนักงานภูษามาลาว่า เมื่อใดเจ้าเห็นผมหงอกในศีรษะเรา เจ้าจงบอกข้าเมื่อนั้น
ครั้นกาลต่อมา เจ้าพนักงานภูษามาลาได้เห็นเส้นพระศกหงอก จึงกราบทูลแด่พระราชา พระเจ้ามฆเทวราชจึงตรัสสั่งให้ถอนด้วยแหนบทองคำ ให้วางไว้ในพระหัตถ์ ทอดพระเนตรพระศกหงอก ทรงพิจารณาเห็นมรณะเป็นประหนึ่งว่ามาข้องอยู่ที่พระนลาต มีพระดำริว่า บัดนี้เป็นกาลที่จะผนวช จึงพระราชทานบ้านส่วยแก่เจ้าพนักงานภูษามาลา แล้วตรัสเรียกพระเชษฐโอรสมา มีพระดำรัสว่า พ่อจงรับครองราชสมบัติ พ่อจักบวช พระราชโอรสทูลถามถึงเหตุที่จะทรงผนวช เมื่อจะตรัสบอกเหตุแก่พระราชโอรส จึงตรัสว่า
ผมหงอกที่งอกบนศีรษะของพ่อนี้ นำความหนุ่มไปเสีย เป็นเทวทูตปรากฏแล้ว คราวนี้จึงเป็นคราวที่พ่อจะบวช
ครั้นตรัสดังนี้แล้วก็อภิเษกพระราชโอรสในราชสมบัติ แล้วพระราชทานพระโอวาทว่า แม้ตัวเธอเห็นผมหงอกอย่างนี้แล้ว ก็พึงบวช ตรัสฉะนี้แล้ว เสด็จออกจากพระนคร ทรงผนวชเป็นฤๅษี เจริญพรหมวิหาร ๔ ตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี บังเกิดในพรหมโลก
แม้พระราชโอรสของพระเจ้ามฆเทวราชก็ทรงผนวชโดยวิธีนั้นแหละ และก็ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า กษัตริย์ผู้เป็นพระราชโอรสของพระราชาเป็นลำดับมานับได้ ๘๔,๐๐๐ องค์ หย่อน ๒ องค์ ทอดพระเนตรเห็นเส้นพระศกหงอกบนพระเศียร แล้วทรงผนวชในพระราชอุทยานอัมพวันนี้ เจริญพรหมวิหาร ๔ บังเกิดในพรหมโลก
บรรดากษัตริย์เหล่านั้น กษัตริย์มีพระนามว่ามฆเทวะบังเกิดในพรหมโลกก่อนกว่ากษัตริย์ทั้งปวง สถิตอยู่ในพรหมโลกนั่นแหละ ตรวจดูพระวงศ์ของพระองค์ ทอดพระเนตรเห็นกษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ หย่อน ๒ องค์ ผู้บวชแล้ว ก็มีพระมนัสยินดี ทรงพิจารณาว่า เบื้องหน้าแต่นี้ วงศ์ของเราจักเป็นไป หรือจักไม่เป็นไปหนอ ก็ทรงทราบว่าจักไม่เป็นไป จึงทรงคิดว่า เรานี่แหละจักสืบต่อวงศ์ของเรา ก็จุติจากพรหมโลกนั้นลงมาถือปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหสีของพระราชาในกรุงมิถิลา
กาลล่วงไป ๑๐ เดือน ก็ประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา พระราชาตรัสเรียกพราหมณ์ทั้งหลายผู้รู้คำทำนาย มาถามเหตุการณ์ ในวันขนานพระนามพระราชกุมารพราหมณ์ทั้งหลายตรวจดูพระลักษณะแล้ว กราบทูลว่า พระราชกุมารนี้สืบต่อวงศ์ของพระองค์เกิดแล้ว ด้วยว่าวงศ์ของพระองค์เป็นวงศ์บรรพชิต ต่อแต่พระกุมารนี้ไปเบื้องหน้าจักไม่มี พระราชาทรงสดับดังนั้น มีพระดำริว่าพระราชโอรสนี้สืบต่อวงศ์ของเรามาเกิด ดุจวงล้อรถ ฉะนั้น เราจักขนานนามพระโอรสนั้นว่า เนมิกุมาร ทรงดำริฉะนี้แล้ว จึงพระราชทานพระนามพระโอรสว่า เนมิกุมาร.
พระเนมิกุมารนั้นเป็นผู้ทรงยินดีในการบำเพ็ญรักษาศีลและอุโบสถกรรมนับแต่ยังทรงพระเยาว์ ลำดับนั้น พระราชาผู้พระชนกของเนมิราชกุมารนั้น ทอดพระเนตรเห็นเส้นพระศกบนพระเศียรหงอก ก็พระราชทานบ้านส่วยแก่เจ้าพนักงานภูษามาลา แล้วมอบราชสมบัติแก่พระราชโอรส ทรงผนวชในพระราชอุทยานอัมพวันนั่นเอง เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า โดยนัยหนหลังนั่นแล
ฝ่ายพระเจ้าเนมิราชโปรดให้สร้างโรงทาน ๕ แห่ง คือ ที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง ยังมหาทานให้เป็นไปด้วยความเป็นผู้มีพระอัธยาศัยในทาน พระราชทานทรัพย์ที่โรงทานแห่งละ ๑๐๐,๐๐๐ ทรงบริจาคทรัพย์วันละ ๕๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ทุก ๆ วัน ทรงเบญจศีลเป็นนิจ ทรงสมาทานอุโบสถทุกวันปักษ์ ทรงชักชวนมหาชนในการบำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้น ทรงแสดงธรรมสอนให้ทราบทางสวรรค์ คุกคามประชุมชนให้กลัวนรก ประชุมชนตั้งอยู่ในพระโอวาทของพระองค์ บำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้น จุติจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในเทวโลก เทวโลกเต็ม นรกเป็นดุจว่างเปล่า
กาลนั้นหมู่เทวดาในดาวดึงสพิภพ ประชุมกัน ณ เทวสถานชื่อสุธรรมา กล่าวสรรเสริญคุณของพระมหาสัตว์ว่า โอ พระเจ้าเนมิราชเป็นพระอาจารย์ของพวกเรา ชาวเราทั้งหลายอาศัยพระองค์ จึงได้เสวยทิพยสมบัตินี้ แม้พระพุทธญาณก็มิได้กำหนด แม้ในมนุษยโลก มหาชนก็สรรเสริญคุณของพระมหาสัตว์ คุณกถาแผ่ทั่วไป ราวกะน้ำมันที่เทราดลงบนหลังมหาสมุทร ฉะนั้น
พระศาสดาเมื่อตรัสแก่ภิกษุสงฆ์ทรงทำเนื้อความนั้นให้แจ้งชัด จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเมื่อใดพระเจ้าเนมิราชผู้เป็นบัณฑิต มีพระประสงค์ด้วยกุศลเพื่อพระองค์ด้วยเพื่อชนเหล่าอื่นด้วย เมื่อนั้นเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายได้กล่าวคุณกถาของพระเจ้าเนมิราชนั้นอย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์หนอ ที่พุทธญาณยังไม่เกิดขึ้น ก็มีคนฉลาดสามารถยังพุทธกิจให้สำเร็จแก่มหาชนเห็นปานนี้เกิดขึ้นในโลก เมื่อพระเจ้าเนมิราชทรงให้ทานนั้นอยู่ เกิดพระดำริขึ้นว่า ทานหรือพรหมจรรย์อย่างไหนมีผลมากหนอ.
ได้ยินว่า พระเจ้าเนมิราชนั้นทรงสมาทานอุโบสถศีล ในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ทรงเปลื้องราชาภรณ์ทั้งปวง บรรทมบนพระยี่ภู่มีสิริ หยั่งลงสู่นิทรารมณ์ตลอดสองยาม ตื่นบรรทมในปัจฉิมยาม ทรงคู้บัลลังก์ขัดสมาธิทรงดำริว่า เราให้ทานไม่มีปริมาณแก่ประชุมชนและรักษาศีล ผลแห่งทานบริจาคมีมาก หรือแห่งพรหมจริยาวาสมีผลมากหนอ ทรงดำริฉะนี้ก็ไม่ทรงสามารถตัดความสงสัยของพระองค์ได้
ขณะนั้น พิภพแห่งท้าวสักกเทวราชก็แสดงอาการเร่าร้อน ท้าวสักกเทวราชทรงอาวัชนาการเหตุนั้น ก็ทรงเห็นพระเจ้าเนมิราชกำลังทรงปริวิตกอยู่อย่างนั้น จึงคิดว่า เราจักตัดความสงสัยของเธอ จึงเสด็จมาโดยพลันแต่พระองค์เดียว ทำสกลราชนิเวศน์ให้บังเกิดแสงสว่างด้วยรัศมีแห่งพระองค์เสด็จเข้าสู่ห้องบรรทมแผ่รัศมีสถิตอยู่ในอากาศ ทรงพยากรณ์ปัญหาที่พระเจ้าเนมิราชตรัสถาม
พระเจ้าเนมิราชนั้นทอดพระเนตรเห็นแสงสว่าง จึงทรงแลไปในอากาศ ก็ทอดพระเนตรเห็นท้าวสักกเทวราชนั้นประดับด้วยทิพยาภรณ์ มีพระโลมชาติชูชันเพราะความกลัว จึงตรัสถามว่า ท่านเป็นเทวดาหรือเป็นคนธรรพ์ หรือ เป็นท้าวสักกปุรินททะ รัศมีของท่านเช่นนั้นข้าพเจ้าไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ขอท่านจงบอกแก่ข้าพเจ้า ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน ข้าพเจ้าจะรู้จักท่านได้อย่างไร
ท้าววาสวะทรงทราบว่า พระเจ้าเนมิราชทรงกลัวได้ตรัสตอบว่า หม่อมฉันเป็นท้าวสักกรินทร์เทวราช มาในสำนักของพระองค์ ดูกรพระองค์ผู้เป็นจอมมนุษย์ พระองค์อย่าทรงกลัว พระองค์อย่าทรงมีพระโลมชาติชูชันเลย เชิญตรัสถามปัญหาตามที่ทรงพระประสงค์เถิด
พระเจ้าเนมิราช ทรงได้โอกาสนั้นแล้ว จึงตรัสถามท้าววาสวะว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ผู้เป็นใหญ่แห่งปวงภูตหม่อมฉันขอทูลถาม พระองค์ว่า ทานหรือพรหมจรรย์อย่างไหนมีผลมาก
ท้าวสักกเทวราชนั้น ทรงทราบวิบากแห่งพรหมจรรย์ ซึ่งเคยทรงเห็นประจักษ์ด้วยพระองค์เองในอดีตภพ จึงได้ตรัสบอกแก่พระเจ้าเนมิราชผู้ยังไม่ทรงทราบว่า ในลัทธิเดียรถีย์โดยมากศีลเพียงเมถุนวิรัติ ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างต่ำ ผู้บำเพ็ญย่อมเกิดในขัตติยสกุลด้วยพรหมจรรย์อย่างต่ำนั้น การได้อุปจารฌาน ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างกลางผู้บำเพ็ญย่อมเกิดเป็นเทวดา ด้วยพรหมจรรย์อย่างกลางนั้น ก็การให้สมาบัติแปดเกิด ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างสูงสุด ผู้บำเพ็ญย่อมบังเกิดในพรหมโลกด้วยพรหมจรรย์อย่างสูงสุดนั้น ชนภายนอกพระพุทธศาสนากล่าวพรหมจรรย์อย่างสูงสุดนั้นว่านิพพาน ผู้บำเพ็ญย่อมบริสุทธิ์ด้วยนิพพานนั้น
แต่ในพระพุทธศาสนานี้ ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ ปรารถนาเทพนิกายอย่างใดอย่างหนึ่ง พรหมจรรย์ของเธอชื่อว่าต่ำ เพราะเจตนาต่ำ เธอย่อมบังเกิดในเทวโลกตามผลที่เธอปรารถนานั้น ก็การที่ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ ยังสมาบัติแปดให้บังเกิด ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างกลาง เธอย่อมบังเกิดในพรหมโลกด้วยพรหมจรรย์อย่างกลางนั้น การที่ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์เจริญวิปัสสนายังอรหัตมรรคให้บังเกิด ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างสูงสุด เธอย่อมบริสุทธิ์ด้วยพรหมจรรย์อย่างสูงสุดนั้น
หมู่พรหมเหล่านี้อันใครๆ จะพึงได้ง่ายๆ ด้วยประกอบการวิงวอนก็หาไม่ บุคคลต้องเป็นผู้ไม่มีเรือนบำเพ็ญตบธรรม จึงจะบังเกิดในหมู่พรหม
ท้าวสักกเทวราชตรัสสรรเสริญว่า ดูก่อนพระมหาราช การประพฤติพรหมจรรย์เป็นคุณมีผลมากกว่าทาน ร้อยเท่าพันเท่าแสนเท่า ด้วยประการฉะนี้ ครั้นทรงแสดงความที่การอยู่พรหมจรรย์เป็นคุณมีผลมากด้วยคาถานี้แล้ว บัดนี้จะทรงแสดงถึงพระราชาทั้งหลายในอดีต ผู้ที่บริจาคมหาทานแล้วแต่ไม่สามารถจะก้าวล่วงกามาพจรไปได้ จึงตรัสว่า
พระราชาเหล่านี้ คือ พระเจ้าทุทีปราช พระเจ้าสาครราช พระเจ้าเสลราช พระเจ้ามุจลินทราช พระเจ้าภคีรสราช พระเจ้าอุสินนรราช พระเจ้าอัตถกราช พระเจ้าอัสสกราช พระเจ้าปุถุทธนราช และกษัตริย์เหล่าอื่นทั้งพราหมณ์เป็นอันมาก บูชายัญมากมายแล้ว ไม่ล่วงพ้นความละโลกนี้ไป
ดูก่อนมหาราช พระราชาพระนามว่า ทุทีปราช ณ กรุงพาราณสีในกาลก่อน ทรงบริจาคทานเป็นอันมาก สวรรคตแล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นกามาพจรนั่นแล พระราชาแปดองค์มีพระเจ้าสาครราชเป็นต้นก็เหมือนกัน ก็พระราชามหากษัตริย์และพราหมณ์อื่น ๆ เหล่านี้มากมาย ได้บูชายัญเป็นอันมาก บริจาคทานมีประการไม่น้อย ก็ไม่ล่วงพ้นความละโลกนี้ กล่าวคือกามาวจรภูมิไปได้ จริงอยู่เหล่าเทพชั้นกามาพจร เรียกกันว่า เปตะเพราะสำเร็จได้โดยอาศัยผู้อื่น เพราะเหตุกิเลสวัตถุมีรูปเป็นต้น สมด้วยพระพุทธภาษิตว่า
ชนเหล่าใดไม่มีเพื่อนสอง อยู่คนเดียว ย่อมไม่รื่นรมย์ ย่อมไม่ได้ปีติอันเกิดแต่วิเวก ชนเหล่านั้นถึงจะมีโภคสมบัติเสมอด้วยทิพสมบัติของพระอินทร์ ถึงกระนั้นก็ชื่อว่าเป็นคนเข็ญใจเพราะความสุขที่ต้องอาศัยผู้อื่น
ท้าวสักกเทวราชทรงแสดงความที่ผลแห่งพรหมจรรย์นั่นแล เป็นของมากกว่าผลแห่งทาน แม้อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงดาบสผู้ก้าวล่วงเปตภพด้วยการอยู่พรหมจรรย์ บังเกิดในพรหมโลก จึงตรัสว่า
ฤๅษี ๗ ตนเหล่านั้น คือ ยามหนุฤๅษี โสมยาคฤๅษี มโนชฤๅษี สมุททฤๅษี มาฆฤๅษี ภรตฤๅษี และกาลปุรักขิตฤๅษี และฤๅษีอีก ๔ ตนคือ อังคีรสฤๅษี กัสสปฤๅษี กีสวัจฉฤๅษี อกันติฤๅษี ผู้ไม่มีเรือนบำเพ็ญตบะ ล่วงพ้นกามาวจรภพได้แล้ว
ท้าวสักกเทวราชตรัสสรรเสริญพรหมจริยวาสว่ามีผลมาก ตามที่ได้สดับมาอย่างนี้ก่อน บัดนี้ เมื่อทรงนำเรื่องที่เคยทรงเห็นด้วยพระองค์เองมาจึงตรัสว่า
ดูก่อนมหาราชในอดีตกาล มีแม่น้ำชื่อว่าสีทาไหลมาระหว่างสุวรรณบรรพตทั้งสอง ในหิมวันตประเทศด้านทิศอุดร เป็นแม่น้ำลึก ยานมีเรือเป็นต้นข้ามยาก เพราะเหตุไร เพราะแม่น้ำนั้นมีน้ำใสยิ่ง แม้เพียงแต่แววหางนกยูงตกในแม่น้ำนั้นก็ไม่ลอยอยู่ จมลงถึงพื้นทีเดียวเพราะน้ำใส ด้วยเหตุนั้นแหละ แม่น้ำนี้จึงมีชื่อว่า สีทา ก็กาญจนบรรพตเหล่านั้นใกล้ฝั่งแห่งแม่น้ำนั้นมีพรรณดุจไฟไหม้ไม้อ้อโชติช่วงอยู่ทุกเมื่อ
ที่ฝั่งแม่น้ำนั้นมีต้นกฤษณางอกงาม เป็นกฤษณาที่มีกลิ่นหอม มีภูเขาอื่นอีกซึ่งมีป่าไม้งอกงาม มีฤๅษีนับด้วยหมื่นอาศัยอยู่ในภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์นั้น ท่านเหล่านั้นทั้งหมดล้วนได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ บรรดาฤๅษีเหล่านั้น ถึงเวลาภิกษาจารบางพวกไปถึงอุตตรกุรุทวีป บางพวกนำผลชมพู่ใหญ่มา บางพวกนำผลไม้น้อยใหญ่ที่มีรสหวานในหิมวันตประเทศมาฉัน บางพวกไปสู่นครนั้น ๆ ในพื้นชมพูทวีป แม้ตนหนึ่งที่ถูกตัณหาในรสครอบงำ ก็ไม่มี ท่านเหล่านั้นยังกาลเวลาให้ล่วงไปด้วยความสุขในฌานเท่านั้น
ครั้งนั้น มีดาบสรูปหนึ่งมาสู่กรุงพาราณสีทางอากาศ นุ่งห่มเรียบร้อยเที่ยวบิณฑบาตถึงประตูเรือนแห่งปุโรหิต ปุโรหิตนั้นเลื่อมใสในความสงบของท่าน นำท่านมาสู่ที่อยู่ของตนให้ฉันแล้ว ปฏิบัติอยู่สองสามวัน เมื่อเกิดความคุ้นเคยกันจึงถามว่า ผู้เป็นเจ้าอยู่ที่ไหน
ท่านตอบว่าอยู่ในที่โน้น
ปุโรหิตจึงถามต่อไปว่า ผู้เป็นเจ้าอยู่ในที่นั้นรูปเดียว หรือรูปอื่น ๆ ก็มีอยู่
ท่านตอบว่า พูดอะไร ฤๅษีนับด้วยหมื่นอยู่ในที่นั้น ล้วนแต่ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ กันทั้งนั้น
ปุโรหิตได้ฟังคุณสมบัติของฤๅษีเหล่านั้นจากดาบสรูปนั้น จิตก็น้อมไปในบรรพชา จึงกล่าวกะดาบสนั้นว่า ขอผู้เป็นเจ้าโปรดพาข้าพเจ้าไปบวชในที่นั้นเถิด
ท่านกล่าวว่า เธอเป็นราชบุรุษ อาตมาไม่อาจให้บวชได้
ปุโรหิตจึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น วันนี้ข้าพเจ้าจะทูลลาพระราชา พรุ่งนี้ผู้เป็นเจ้าโปรดมาที่นี้
ดาบสนั้นรับคำ
ฝ่ายปุโรหิตบริโภคอาหารเช้าแล้วเข้าเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าพระบาทปรารถนาจะบวช
พระราชาตรัสถามว่า ท่านอาจารย์จะบวชด้วยเหตุไร
ปุโรหิตกราบทูลว่า ด้วยเห็นโทษในกามทั้งหลาย เห็นอานิสงส์ในเนกขัมม์
พระราชาทรงอนุญาตว่า ถ้าเช่นนั้น จงบวชเถิด แม้บวชแล้วจงมาเยี่ยมเราบ้าง
ปุโรหิตรับพระโองการแล้วถวายบังคมพระราชากลับไปสู่เรือนของตน พร่ำสอนบุตรภรรยา มอบสมบัติทั้งปวง ถือบรรพชิตบริขารเพื่อตน นั่งคอยดาบสมา ฝ่ายดาบสมาทางอากาศเข้าภายในพระนครเข้าสู่เรือนของปุโรหิต ปุโรหิตนั้นอังคาสดาบสนั้นโดยเคารพแล้วแจ้งว่า ข้าพเจ้าจะพึงปฏิบัติอย่างไร ดาบสนั้นนำปุโรหิตไปนอกเมือง ใช้มือจับนำไปที่อยู่ของตนด้วยอานุภาพของตนให้บวชแล้ว วันรุ่งขึ้นให้พราหมณ์ผู้บวชแล้วยับยั้งอยู่ในที่นั้น นำภัตตาหารมาให้บริโภค แล้วบอกกสิณบริกรรม ดาบสที่บวชใหม่นั้นทำอภิญญาและสมาบัติ ๘ ให้เกิดโดยวันล่วงไปเล็กน้อย ก็เที่ยวบิณฑบาตมาฉันได้เอง
กาลต่อมา ดาบสนั้นคิดว่า เราได้ถวายปฏิญญาเพื่อไปเฝ้าพระราชา เราจะไปเฝ้าตามปฏิญญาไว้ จึงไหว้ดาบสทั้งหลายไปสู่กรุงพาราณสีทางอากาศเที่ยวบิณฑบาต ลุถึงพระราชทวาร พระเจ้าพาราณสีทอดพระเนตรเห็นฤๅษีนั้นทรงจำได้ นิมนต์ให้เข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ ทรงทำสักการะแล้วตรัสถามว่าผู้เป็นเจ้าอยู่ที่ไหน
ฤๅษีนั้นทูลตอบว่า อาตมาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำสีทาอันอยู่ในระหว่างกาญจนบรรพตในหิมวันตประเทศ ด้านทิศอุดร
พระราชาตรัสถามว่าท่านอยู่ในที่นั้นรูปเดียว หรือมีดาบสอื่น ๆ ในที่นั้นด้วย
ฤๅษีนั้นทูลตอบว่าพระองค์ตรัสอะไร ดาบสนับด้วยหมื่นรูปอยู่ในที่นั้น และท่านเหล่านั้นทั้งหมดล้วนได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ทั้งนั้น
พระราชาทรงสดับคุณสมบัติแห่งดาบสเหล่านั้น ทรงประสงค์จะถวายภิกษาหารแก่ดาบสทั้งหมด จึงตรัสกะดาบสนั้นว่า ข้าพเจ้าใคร่จะถวายภิกษาหารแก่ฤๅษีเหล่านั้น ผู้เป็นเจ้าจงนำท่านเหล่านั้นมาในที่นี้
ดาบสนั้นทูลว่า ฤๅษีเหล่านั้นไม่ยินดีในรสที่พึงรู้แจ้งด้วยลิ้น อาตมาไม่อาจจะนำมาในที่นี้ได้
พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า ข้าพเจ้าจักอาศัยผู้เป็นเจ้าให้ฤๅษีเหล่านั้นบริโภค ขอผู้เป็นเจ้าจงบอกอุบายแก่ข้าพเจ้า
ดาบสทูลว่า ถ้าพระองค์ประสงค์จะถวายทานแก่ฤๅษีเหล่านั้น จงเสด็จออกจากเมืองนี้ไปประทับแรมอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำสีทา แล้วทรงถวายทานแก่ท่านเหล่านั้น
พระราชาทรงรับคำ โปรดให้ถืออุปกรณ์ทั้งปวงเสด็จออกจากพระนครกับด้วยจตุรงคินีเสนา เสด็จลุถึงสุดแดนราชอาณาเขตของพระองค์ ลำดับนั้น ดาบสจึงนำพระราชาไปที่ฝั่งสีทานทีพร้อมด้วยเสนาด้วยอานุภาพของตน ให้ตั้งค่ายริมฝั่งแม่น้ำ ทูลเตือนพระราชามิให้ทรงประมาท แล้วเหาะไปยังที่อยู่ของตน กลับมาในวันรุ่งขึ้น
ลำดับนั้น พระราชาให้ดาบสนั้นฉันโดยเคารพแล้วตรัสว่า พรุ่งนี้ ผู้เป็นเจ้าจงพาฤๅษีหมื่นรูปมาในที่นี้
ดาบสนั้นรับพระราชดำรัสแล้วกลับไป วันรุ่งขึ้นในเวลาภิกษาจาร แจ้งแก่ฤๅษีทั้งหลายว่า พระเจ้าพาราณสีมีพระราชประสงค์จะถวายภิกษาหารแก่ท่านทั้งหลาย เสด็จมาประทับอยู่แถบฝั่งสีทานที พระองค์อาราธนาท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงไปยังค่ายหลวงรับภิกษาเพื่ออนุเคราะห์พระองค์
ฤๅษีเหล่านั้นรับคำ จึงเหาะลงมาที่ใกล้ค่ายหลวง
ลำดับนั้น พระราชาเสด็จต้อนรับฤๅษีเหล่านั้น แล้วอาราธนาให้เข้าในค่ายหลวง ให้นั่ง ณ อาสนะที่แต่งไว้ เลี้ยงดูหมู่ฤๅษีให้อิ่มหนำด้วยอาหารประณีต ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถของฤๅษีเหล่านั้น จึงนิมนต์ให้ฉันในวันพรุ่งนี้อีก ได้ทรงถวายทานแก่ดาบสหมื่นรูป โดยอุบายนี้ ตลอดหมื่นปี ก็แลเมื่อทรงถวายโปรดให้สร้างนครในประเทศนั้นทีเดียว ให้ทำกสิกรรม
ดูก่อนมหาราช ก็พระเจ้าพาราณสีในกาลนั้น มิใช่ผู้อื่น คือหม่อมฉันนี่เอง หม่อมฉันเป็นผู้ประเสริฐด้วยทานในครั้งนั้นโดยแท้ เพราะว่าครั้งนั้นหม่อมฉันนี่แหละเป็นผู้ประเสริฐด้วยทาน ได้บริจาคมหาทานนั้น ก็หาสามารถจะก้าวล่วงเปตโลกนี้บังเกิดในพรหมโลกไม่ แต่ฤๅษีเหล่านั้นทั้งหมดนั่นแลบริโภคทานที่หม่อมฉันบริจาค ก้าวล่วงกามาวจรภพบังเกิดในพรหมโลก ก็พรหมจริยวาสเป็นคุณธรรม มีผลานิสงส์มากอย่างใด ขอพระองค์ทรงทราบอย่างนั้น
หม่อมฉันเป็นผู้ประเสริฐสุดด้วยทาน ด้วยสัญญมะและทมะ หม่อมฉันอุปัฏฐากดาบสเหล่านั้นผู้บำเพ็ญวัตรอันไม่มีวัตรอื่นยิ่งกว่า ละหมู่คณะไปอยู่ผู้เดียว มีจิตมั่นคง หม่อมฉันจักนมัสการนรชนผู้ปฏิบัติตรง จะมีชาติก็ตาม ไม่มีชาติก็ตาม ตลอดกาลเป็นนิตย์ เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ฉะนั้นวรรณะทั้งปวงผู้ตั้งอยู่ในอธรรม ย่อมตกนรกเบื้องต่ำ วรรณะทั้งปวงย่อมหมดจด เพราะประพฤติธรรมอันสูงสุด
ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกเทวราช ทรงโอวาทพระเจ้าเนมิราชนั้นว่า ดูก่อนมหาราช พรหมจริยวาสเป็นธรรมมีผลมากกว่าทานโดยแท้ถึงอย่างนั้น ธรรมทั้งสองนั้นก็เป็นมหาปุริสวิตก เพราะฉะนั้น พระองค์จงอย่าประมาทในธรรมทั้งสอง จงทรงบริจาคทานด้วย จงทรงรักษาศีลด้วย ตรัสฉะนี้แล้ว เสด็จไปสู่ทิพยสถานวิมานของพระองค์นั่นแล
ลำดับนั้น หมู่เทพยดาได้ทูลถามท้าวสักกะว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์หายไปไม่ปรากฏ เสด็จไปไหนหนอ ท้าวสักกะตรัสตอบว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ความกังขาอันหนึ่งเกิดขึ้นแก่พระเจ้าเนมิราช กรุงมิถิลา ข้าจึงไปกล่าวปัญหาทำให้เธอหายกังขาแล้วกลับมา
ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกเทวราชก็ได้ตรัสคุณที่ควรพรรณนาของพระเจ้าเนมิราชอย่างไม่บกพร่องว่า
ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายบรรดาที่มาประชุมกัน ณ ที่นี้ประมาณเท่าใด จงตั้งใจฟังคุณทั้งสูงทั้งต่ำเป็นอันมากนี้ ขอมนุษย์ทั้งหลายผู้ตั้งอยู่ในธรรม เกิดความดำริเหมือนอย่างพระเจ้าเนมิราชผู้เป็นบัณฑิต มีพระประสงค์ด้วยกุศล ทรงให้ทานแก่ชาววิเทหรัฐทั้งปวง เมื่อพระเจ้าเนมิราชทรงให้ทานนั้นอยู่เกิดพระดำริขึ้นว่า ทานหรือพรหมจรรย์อย่างไหน มีผลมากหนอ ฉะนั้นเถิด
หมู่เทวดาได้ฟังท้าวเธอตรัสดังนี้ ก็ใคร่จะเห็นพระเจ้าเนมิราช จึงทูลว่า ข้าแต่มหาเทวราช พระเจ้าเนมิราช เป็นพระอาจารย์ของพวกข้าพระเจ้า พวกข้าพระเจ้าตั้งอยู่ในโอวาทของพระองค์ อาศัยพระองค์จึงได้ทิพยสมบัตินี้ ข้าพระเจ้าทั้งหลายใคร่จะเห็นพระองค์ ขอองค์มหาเทวราชเชิญเสด็จพระองค์มา
ท้าวสักกเทวราชทรงรับคำ จึงมีเทวบัญชามาตลีเทพสารถีว่า ท่านจงเทียมเวชยันตรถไปกรุงมิถิลา เชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชขึ้นทิพยานนำเสด็จมาเทวสถานนี้ มาตลีเทพบุตรรับเทพโองการแล้วเทียมเทพรถขับไป
ก็เมื่อท้าวสักกะมีเทพดำรัสอยู่กับเทวดาทั้งหลาย ตรัสเรียกมาตลีเทพสารถีมาตรัสสั่ง และเมื่อมาตลีเทพสารถีเทียมเวชยันตราชรถ ล่วงไปหนึ่งเดือน โดยกำหนดนับวันในมนุษย์. เมื่อพระเจ้าเนมิราชทรงรักษาอุโบสถศีลในวันเพ็ญ เปิดสีหบัญชรด้านทิศตะวันออกประทับนั่งอยู่ในพระตำหนัก คณะอำมาตย์แวดล้อมทรงพิจารณาศีลอยู่ เวชยันตราชรถนั้นปรากฏพร้อมกับจันทรมณฑลอันขึ้นแต่ปราจีนโลกธาตุ ชนทั้งหลายกินอาหารเย็นแล้ว นั่งที่ประตูเรือนของตน ๆ พูดกันถึงถ้อยคำอันให้เกิดความสุข ก็พูดกันว่า วันนี้พระจันทร์ขึ้นสองดวงลำดับนั้น เทพรถนั้นก็ได้ปรากฏแก่ประชุมชนผู้สังสนทนากันอยู่ มหาชนกล่าวว่า นั่นไม่ใช่พระจันทร์ รถนะ ในเมื่อเวชยันตรถเทียมสินธพนับด้วยพันมีมาตลีเทพบุตรขับ ปรากฏแล้วในขณะนั้น จึงคิดกันว่า ทิพยานนี้มาเพื่อใครหนอ ลงความเห็นว่า ไม่ใช่มาเพื่อใครอื่น พระราชาของพวกเราเป็นธรรมิกราช องค์สักกเทวราชจะส่งมาเพื่อพระราชานั้นนั่นเอง เทพรถนี้สมควรแก่พระราชาของพวกเราแท้ เห็นฉะนี้แล้วก็ร่าเริงยินดี กล่าวว่า
เกิดพิศวงขนพองซึ่งไม่เคยมีมามีขึ้นในโลกแล้วหนอ รถทิพย์ปรากฏแล้วแก่พระเจ้าวิเทหรัฐผู้เรืองพระยศ
ก็เมื่อประชาชนกล่าวกันอย่างนี้ มาตลีเทพบุตรมาโดยเร็ว กลับรถจอดท้ายรถที่พระสีหบัญชร ทำการจัดแจงให้เสด็จขึ้นแล้ว ได้เชิญพระเจ้าเนมิราชเสด็จขึ้นทรงราชรถว่า
ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ขอเชิญเสด็จมาขึ้นรถนี้ เทพเจ้าชาวดาวดึงส์พร้อมด้วยพระอินทร์ใคร่จะเห็นพระองค์ ก็เทพเจ้าเหล่านั้นระลึกถึงพระองค์ ประชุมกันอยู่ ณ สุธรรมสภา
พระเจ้าเนมิราชได้ทรงสดับคำนั้น มีพระดำริว่า เราจักได้เห็นเทวโลกซึ่งยังไม่เคยเห็น มาตลีเทพบุตรจักสงเคราะห์เรา เราจักไป ตรัสเรียกนางในและมหาชนมาตรัสว่า เราจักไปไม่นานนัก ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท จงกระทำบุญทั้งหลายมีการให้ทานเป็นต้น ตรัสฉะนี้แล้ว เสด็จขึ้นทิพยรถ
มาตลีเทพสารถีได้ทูลถามพระเจ้าเนมิราชผู้เสด็จขึ้นรถทิพย์แล้วว่า ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ข้าพระองค์จะนำเสด็จพระองค์ไปโดยทางไหน คือ โดยทางที่จะสามารถเห็นที่อยู่ของชนผู้มีกรรมอันเป็นบาป หรือโดยทางที่จะสามารถเห็นที่อยู่ของชนผู้มีกรรมเป็นบุญ พระเจ้าข้า
ลำดับนั้น พระราชามีพระดำริว่า สถานที่ทั้งสองเรายังไม่เคยเห็นเราจักดูทั้งสองแห่ง จึงตรัสขอให้นำรถเราไปโดยทางทั้งสอง
ลำดับนั้น มาตลีเทพบุตรทูลว่า ข้าพระองค์ไม่อาจจะแสดงสถานที่ทั้งสองในขณะเดียวกัน จะโปรดให้ข้าพระองค์นำเสด็จไปทางไหนก่อน
ลำดับนั้น พระราชามีพระดำริว่า เราจักไปเทวโลกแน่ แต่จักดูนรกก่อน จึงตรัสว่า
เราจะดูนรกอันเป็นที่อยู่ของเหล่านรชนผู้มีกรรมอันเป็นบาป และสถานที่อยู่ของเหล่านรชนผู้มีกรรมอันหยาบช้า ทั้งคติของเหล่านรชนผู้ทุศีลได้แก่ ของคฤหัสถ์ทุศีลของสมณะทุศีล ผู้ทำบาปด้วยอำนาจอกุศลกรรมบถสิบก่อน
มาตลีเทพสารถีได้ฟังพระราชดำรัสแห่งพระเจ้าเนมิราช จึงขับรถตรงไปนรก ได้แสดงแม่น้ำเวตรณีที่ตั้งขึ้นด้วยฤดูโดยกรรมปัจจัยก่อน นายนิรยบาลทั้งหลายในนรกนั้นถือศัสตราวุธ มีดาบ มีด โตมร หอก และไม้ค้อนเป็นต้นอันลุกโพลง ประหารแทงโบยตีสัตว์นรกทั้งหลาย สัตว์นรกเหล่านั้นทนต่อทุกข์นั้นไม่ได้ ก็ตกลงในเวตรณีนที
เวตรณีนทีนั้นดารดาษไปด้วยเครือเลื้อยอันมีหนามประมาณเท่าหอกมีเพลิงลุกโพลงข้างบน สัตว์นรกเหล่านั้นต้องอยู่ในเวตรณีนทีนั้นหลายพันปี เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ในเพราะเถาวัลย์มีหนามแหลมมีคมอันคมกริบ มีเพลิงลุกโชติช่วง มีหลาวเหล็กลุกโพลงประมาณเท่าลำตาล ตั้งขึ้นภายใต้เถาวัลย์เหล่านั้น
สัตว์นรกทั้งหลายยังกาลให้ล่วงไปนานมาก พลาดจากเถาวัลย์ตกลงที่ปลายหลาว มีร่างกายถูกหลาวแทงไหม้อยู่ในหลาวนาน ดุจปลาที่เสียบไว้ในไม้แหลมย่างไฟ หลาวทั้งหลายลุกเป็นไฟ สัตว์นรกทั้งหลายก็ลุกเป็นไฟ
ก็ภายใต้หลาวทั้งหลาย มีใบบัวเหล็กแหลมคมดุจมีดโกนลุกเป็นไฟอยู่หลังน้ำ สัตว์นรกเหล่านั้นพลาดจากหลาวทั้งหลายตกลงในใบบัวเหล็ก เสวยทุกขเวทนานาน แต่นั้นสัตว์นรกเหล่านั้นก็ตกในน้ำแสบ แม้น้ำก็ลุกเป็นไฟ แม้สัตว์นรกทั้งหลายก็ลุกเป็นไฟ แม้ควันก็ตั้งขึ้น
ก็พื้นแม่น้ำภายใต้น้ำดาดาษไปด้วยเครื่องประหารอันคมกริบ สัตว์นรกเหล่านั้นจมลงในน้ำ ด้วยคิดว่าใต้น้ำจะเป็นเช่นไรหนอ ก็เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เพราะเครื่องประหารอันคมกริบ สัตว์นรกเหล่านั้นไม่สามารถจะอดกลั้นทุกข์ใหญ่นั้น ก็ร่ำร้องน่ากลัวมาก กระแสน้ำบางครั้งก็ไหลลอยไปตามกระแส บางครั้งก็ทวนกระแส
ลำดับนั้น นายนิรยบาลผู้อยู่ที่ฝั่ง ก็ซัดลูกศร มีด โตมร หอก แทงสัตว์นรกเหล่านั้นดุจปลา สัตว์นรกเหล่านั้นถึงทุกขเวทนาก็ร้องกันลั่น ลำดับนั้น นายนิรยบาลก็เอาเบ็ดเหล็กที่ลุกเป็นไฟเกี่ยวสัตว์นรกเหล่านั้นขึ้น คร่ามาให้นอนบนแผ่นดินเหล็กที่ลุกเป็นไฟโชติช่วง ยัดก้อนเหล็กที่ลุกแดงเข้าปาก
พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นเหล่าสัตว์ถูกทุกข์ใหญ่เบียดเบียนในเวตรณีนที ก็สะดุ้งกลัว ตรัสถามมาตลีเทพสารถีว่า สัตว์เหล่านี้ได้ทำบาปกรรมอะไรไว้ มาตลีเทพสารถีได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบ
ชนเหล่าใด เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้มีกำลัง ได้แก่ กำลังร่างกาย กำลังโภคะ และกำลังอำนาจ มีกรรมอันเป็นบาป เบียดเบียนด่าว่าผู้อื่นซึ่งมีกำลังด้อยกว่า ชนเหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรม จึงตกลงในแม่น้ำเวตรณี พระเจ้าข้า
มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์ปัญหาแด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้แล้ว ก็ทำนรกนั้นให้อันตรธานไปแล้วขับรถไปข้างหน้า แสดงสถานที่อันเป็นที่สัตว์ มีสุนัขเป็นต้นเคี้ยวกินสัตว์นรกอยู่ สุนัขเหล่านั้นตัวโตเท่าช้าง ไล่ติดตามสัตว์นรกที่แผ่นดินเหล็กอันลุกโพลง ดุจไล่เนื้อ กัดเนื้อเป็นชิ้นแล้วยังสรีระ๓ คาวุตแห่งสัตว์นรกให้ล้มลงบนแผ่นดินเหล็กอันลุกโพลง เอาขาหน้าทั้งสองเหยียบอกของสัตว์นรกผู้ร้องลั่นอยู่ ทิ้งเนื้อกินให้เหลือแต่เยื่อในกระดูก แห่งสัตว์ผู้มีบาปธรรม.ฝูงแร้งมีจะงอยปากเป็นโลหะตัวใหญ่เท่าเกวียนสินค้า แร้งเหล่านั้นทำลายกระดูกด้วยจะงอยปากเช่นกับปลายทวน เคี้ยวกินเยื่อในกระดูก.ฝูงกามีจะงอยปากเป็นโลหะ น่ากลัวยิ่ง เคี้ยวกินสัตว์นรกที่มันเห็นแล้ว ๆ เมื่อพระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสถานที่นั้นแล้วก็ทรงกลัว ตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ห้ามผู้อื่นแม้กำลังบริจาคทาน มีธรรมอันลามก มักบริภาษเบียดเบียนด่าว่าสมณพราหมณ์ ชนเหล่านั้นผู้มีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้วจึงถูกฝูงการุมจิกกิน พระเจ้าข้า
แต่นั้นมาตลีเทพสารถี ก็ทำถิ่นนั้นให้อันตรธานหายไป แล้วขับรถไปข้างหน้า ถึงถิ่นที่สัตว์นรกทั้งหลายมีสรีระลุกโพลงไปด้วยไฟ เหยียบแผ่นดินเหล็ก ๙ โยชน์ที่ลุกโชติช่วง นายนิรยบาลติดตามไป ประหารแข้งด้วยท่อนเหล็กอันลุกโพลง ประมาณเท่าลำตาลล้มลงโบยด้วยท่อนเหล็กนั้นให้เรี่ยรายเป็นจุรณวิจุรณ เหมือนต้อนตีโคไม่เข้าคอกฉะนั้นพระราชาเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงสะดุ้งกลัวจึงตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
ชนเหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก มีธรรมอันลามก เบียดเบียนด่าว่าชายหญิงผู้มีธรรมเป็นกุศล สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลและอาจาระเป็นต้น ชนเหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้ว จึงถูกเบียดเบียนด้วยท่อนเหล็กนอนอยู่ พระเจ้าข้า
มาตลีเทพสารถีขับรถไปข้างหน้าต่อไป จนถึงถิ่นที่นายนิรยบาลทั้งหลายทิ่มแทงสัตว์นรกด้วยอาวุธอันลุกโพลง สัตว์นรกเหล่านั้นก็ตกลงในหลุมถ่านเพลิง เมื่อสัตว์นรกเหล่านั้นจมอยู่ในหลุมถ่านเพลิงเพียงเอว นายนิรยบาลก็เอากระเช้าเหล็กใหญ่ตักถ่านเพลิงโปรยลงบนศีรษะสัตว์นรกเหล่านั้น สัตว์นรกเหล่านั้นไม่อาจรับถ่านเพลิงก็ร้องไห้ มีกายไฟไหม้ทั่วดิ้นรนอยู่ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
ชนเหล่านั้นครั้นก่อให้เกิดหนี้แก่ประชาชนแล้ว เป็นผู้มีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้ว ต้องร้องครวญครางอยู่ในหลุมถ่านเพลิง พระเจ้าข้า
สัตว์นรกเหล่านี้ยังหนี้ให้เกิด เพราะสร้างพยานโกง นำทรัพย์ของประชุมชนที่ตนเรี่ยไรเมื่อมีโอกาสว่า พวกเราจักถวายทานบ้าง จักทำการบูชาบ้าง จักสร้างวิหารบ้างแล้วใช้จ่ายทรัพย์นั้นตามชอบใจ ยังหนี้ให้เกิดแก่ประชุมชน มีกรรมหยาบช้าทำความชั่ว จึงมาร้องไห้ ดิ้นรนอยู่ในหลุมถ่านเพลิง พระเจ้าข้า
มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไปข้างหน้า จนถึงแดนที่เหล่าสัตว์ถูกนายนิรยบาลที่น่ากลัวจับเอาเท้าขึ้นบนเอาศีรษะลงล่างโยนไปตกในหม้อโลหะใหญ่อันไฟติดทั่ว ลุกรุ่งเรืองโชติช่วงร้อนแรง พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็น จึงตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
ชนเหล่าใดมีธรรมอันลามก เบียดเบียนด่าว่าสมณพราหมณ์ผู้มีศีล ชนเหล่านั้นมีกรรมอันหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้วจึงตกลงในโลหกุมภี พระเจ้าข้า
มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไปข้างหน้า จนถึงนรกที่นายนิรยบาลเอาเชือกเหล็กลุกโพลงผูกคอของสัตว์นรก แล้วโน้มร่างลง ควั่นคอต้อนไปด้วยท่อนเหล็กลุกโพลง ใส่เข้าในน้ำโลหะที่ลุกโพลงแห่งหนึ่ง แล้วยินดีร่าเริง และเมื่อคอนั้นขาดแล้ว มีคออื่นพร้อมกับศีรษะเกิดขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้นอีกทีเดียว พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
ชนเหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก มีธรรมอันลามก จับนกมาตัดปีกผูกคอฆ่ากินบ้าง ขายบ้าง ชนเหล่านั้นมีกรรมอันหยาบช้า ครั้นฆ่านกเลี้ยงชีพ กระทำกรรมแล้ว จึงต้องถูกตัดศีรษะนอนอยู่ พระเจ้าข้า
มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป จนถึงที่ซึ่งมีแม่น้ำมีน้ำเจิ่งน่ารื่นรมย์ไหลอยู่โดยปกติ สัตว์นรกไม่อาจทนความกระหายเพราะเร่าร้อนด้วยเพลิง จึงเดินย่ำแผ่นดินโลหะลุกโพลงลงสู่แม่น้ำนั้น ทันใดนั้นเองฝั่งน้ำทั้งสองก็ลุกโพลงทั่ว น้ำควรดื่มก็กลายเป็นแกลบและใบไม้ลุกโพลง สัตว์นรกไม่อาจจะทนความกระหาย ก็เคี้ยวแกลบ และใบไม้อันลุกโพลงกินแทนดื่มน้ำ แกลบและใบไม้นั้นก็เผาสรีระทั้งสิ้นออกทางส่วนเบื้องต่ำ สัตว์นรกไม่สามารถจะอดกลั้นทุกข์นั้นก็ประคองแขนทั้งสองร้องไห้ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
สัตว์นรกเหล่าใด มีการงานอันไม่บริสุทธิ์ เอาข้าวลีบแกลบ หรือทรายเป็นต้น ปนข้าวเปลือกขายให้แก่ผู้ซื้อ เมื่อสัตว์นรกเหล่านั้น มีความร้อนเพราะความร้อนแห่งไฟ กระหายน้ำ จะดื่มน้ำ น้ำจึงกลายเป็นแกลบไป พระเจ้าข้า
มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป ถึงนรกที่นายนิรยบาลทั้งหลายล้อมเหล่าสัตว์นรกในนิรยาบายนั้น เหมือนนายพรานล้อมฝูงมฤคในป่าไว้ แล้วทิ่มแทงสัตว์นรกเหล่านั้นด้วยอาวุธต่าง ๆ ร่างกายของสัตว์นรกเหล่านั้นปรากฏเป็นช่องปรุไปหมดเหมือนใบไม้แก่ฉะนั้น พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
ชนเหล่าใด เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกเป็นผู้มีกรรมไม่ดี ลักทรัพย์ของผู้อื่น คือ ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงิน ทองแพะ แกะ ปศุสัตว์ และกระบือ มาเลี้ยงชีวิต ชนเหล่านั้นผู้มีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้ว ต้องถูกแทงด้วยหอกนอนอยู่ พระเจ้าข้า
มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป แสดงนรกอื่นอีก ถึงนรกที่นายนิรยบาลผูกคอสัตว์นรกในนรกนั้นด้วยเชือกเหล็กลุกโพรงใหญ่ คร่าตัวมาให้ล้มลงบนแผ่นดินเหล็กลุกโพลง เที่ยวทุบตีด้วยอาวุธต่าง ๆ อีกพวกหนึ่งเป็นสัตว์นรกที่ถูกนายนิรยบาลวางไว้บนแผ่นเหล็กลุกโพลง เอามีดเชือดเนื้อสับเหมือนสับเนื้อทำเป็นก้อน ๆ นอนอยู่ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
สัตว์นรกเหล่านี้ เคยเป็นคนฆ่าแกะฆ่าสุกร ฆ่าปลา ครั้นฆ่าปศุสัตว์ กระบือ แพะ และแกะแล้ว เอาวางไว้ที่เขียง ขายเลี้ยงชีพเป็นผู้มีกรรมอันหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้วต้องตัดเป็นท่อนๆ นอนอยู่ พระเจ้าข้า
มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป แสดงนิรยาบายอื่นอีก พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นห้วงน้ำเต็มไปด้วยมูตและคูถ ไม่สะอาด เป็นน้ำเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป มีเหล่าสัตว์นรกเหล่านี้มีความหิวครอบงำ ไม่อาจอดกลั้นความหิวได้ จึงทำคูถเก่าซึ่งตั้งอยู่เป็นกัป เดือดพล่าน ควันอบ ลุกโพลง เป็นก้อน ๆ เคี้ยวกิน จึงตรัสถามมาตลีเทพสารถี ถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
สัตว์นรกเหล่าใด เคยก่อทุกข์เบียดเบียนมิตรสหายเป็นต้น ตั้งมั่นอยู่ในความเบียดเบียนผู้อื่นเป็นนิตย์ สัตว์นรกเหล่านั้น มีกรรมอันหยาบช้า เป็นคนพาลประทุษร้ายมิตรกระทำบาปกรรมแล้ว จึงต้องมากินมูตและคูถ พระเจ้าข้า
มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป ในนรกอื่น ๆ จนถึงนรกที่เป็นห้วงน้ำอันสกปรกเต็มไปด้วยเลือดและหนอง เป็นน้ำเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป สัตว์นรกเหล่านี้ถูกความร้อนเผาแล้ว ไม่อาจอดกลั้นความหิวได้ จึงทำเลือดและหนองเป็นก้อน ๆ เคี้ยวกิน พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามมาตลีเทพสารถี ถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
ชนเหล่าใด เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกฆ่ามารดาบิดาหรือพระอรหันต์ ชื่อว่าถึงปาราชิกในเพศคฤหัสถ์ ชนเหล่านั้น ผู้มีกรรมอันหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้ว จึงมีเลือดและหนองเป็นอาหาร พระเจ้าข้า
มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไปที่อุสสุทนรกอื่นอีก จนถึงนรกที่นายนิรยบาลเอาเบ็ดเหล็กลุกโพลงโตเท่าลำตาลเกี่ยวลิ้นสัตว์นรก คร่ามาให้สัตว์นรกเหล่านั้นล้มลงบนแผ่นดินโลหะที่ลุกโพลง ให้นอนแผ่ เอาขอเหล็กสับดุจสับหนังโคฉะนั้น สัตว์นรกเหล่านั้นดิ้นรนเหมือนปลาดิ้นอยู่บนบก ไม่อาจทนทุกข์นั้นร้องไห้น้ำลายไหล พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามมาตลีเทพสารถี ถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
สัตว์นรกเหล่านั้น เคยเป็นมนุษย์อยู่ในตำแหน่งตีราคาสิ่งของ รับราคาสินค้านั้น ๆ เป็นสินบนแล้วลดราคาทรัพย์นั้น ๆ มีช้างม้าเป็นต้น หรือเงินทองเป็นต้น.เมื่อลดราคานั้น ๆ ย่อมลดราคาซื้อจากราคานั้นแก่ผู้ซื้อทั้งหลาย เมื่อควรจะให้ ๑๐๐ ก็ให้แค่ ๕๐ เมื่อควรจะให้ ๕๐ บาทก็ให้แค่ ๒๕ ฝ่ายผู้ซื้อนอกนี้ก็แบ่งกับผู้ตีราคาเหล่านั้น ถือเอาราคานั้น.ทำการโกงด้วยความโลภ ปกปิดความโกงไว้ด้วยวาจาอันอ่อนหวาน เปรียบเหมือนคนตกปลา เอาเหยื่อเกี่ยวเบ็ดเพื่อปิดบังเบ็ดไว้ ฉะนั้น สัตว์นรกเหล่านั้นผู้มีกรรมอันหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้วจึงต้องกลืนเบ็ดนอนอยู่ พระเจ้าข้า
มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป ถึงนรกที่เป็นหลุมใหญ่เต็มด้วยถ่านเพลิงที่ลุกโพลง หญิงนรกเหล่านี้มีร่างกายอันแตกทั่ว น่าเกลียด แมลงวันตอมเป็นกลุ่มเปรอะเปื้อนด้วยเลือดและหนอง มีศีรษะขาด เหมือนฝูงโคศีรษะขาดอยู่บนที่ฆ่า ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ หญิงนรกเหล่านั้นจมอยู่ในภูมิภาคเพียงเอวทุกเมื่อ ภูเขาไฟตั้งขึ้นแต่ ๔ ทิศ ลุกโพลงกลิ้งมาบดหญิงนรกเหล่านั้นให้แหลกละเอียด ได้ยินว่า ในเวลาที่หญิงเหล่านั้นจมเข้าไปแค่เอวอย่างนี้ ภูเขาเหล็กลุกโพลงตั้งขึ้นทางทิศตะวันออกคำรามดุจสายฟ้ามา เป็นราวกะว่าบดสรีระให้แหลกละเอียดไป เมื่อภูเขาลูกนั้นกลิ้งไปตั้งอยู่ทางข้างทิศตะวันตกสรีระของหญิงเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นอีก หญิงเหล่านั้นไม่อาจอดกลั้นทุกข์นั้นได้ จึงประคองแขนทั้งสองร้องไห้ แม้ภูเขาที่ตั้งขึ้นในทิศที่เหลือทั้งหลายก็มีนัยอย่างนี้แล ภูเขาสองลูกตั้งขึ้นบดสรีระของหญิงเหล่านั้นเหมือนหีบอ้อย เลือดหลั่งไหลไป บางครั้งภูเขาสามลูก บางคราว สี่ลูก ตั้งขึ้นบดสรีระของหญิงเหล่านั้น พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามมาตลีเทพสารถี ถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
หญิงเหล่านั้นเป็นกุลธิดา เมื่ออยู่ในมนุษยโลกมีการงานไม่บริสุทธิ์ ได้ประพฤติไม่น่ายินดี เป็นหญิงนักเลงละสามีของตนเสีย คบหาชายอื่นเพราะเหตุแห่งความยินดีและการเล่นหญิงเหล่านั้นเมื่อยังอยู่ในโลกนี้ ยังจิตของตนให้รื่นรมย์อยู่กับชายอื่นจึงถูกภูเขาไฟอันลุกโพลงตั้งขึ้นแต่ ๔ ทิศ บดให้แหลกละเอียด พระเจ้าข้า
มาตลีเทพสารถีขับรถต่อไป ถึงนรกที่ตั้งอยู่ในบ่อใหญ่เต็มด้วยถ่านเพลิงลุกโพลง ได้ยินว่า สัตว์นรกเหล่านั้นถูกนายนิรยบาลถืออาวุธต่างๆ แทง เหมือนนายโคบาลแทงฝูงโคที่ไม่เข้าคอก เข้าถึงนรกนั้นด้วยประการนั้น ลำดับนั้น นายนิรยบาลจับสัตว์นรกเหล่านั้นที่เท้าเอาหัวลงโยนลงในบ่อใหญ่นั้น พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกตกลงในนรกอย่างนั้น จึงตรัสถามมาตลีเทพสารถี ถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้กรรมไม่ดี ลวงภรรยาของชายอื่น ชื่อว่าเป็นผู้ลักภัณฑะอันสูงสุด จึงถูกนายนิรยบาลจับโยนลงในนรก ต้องเสวยทุกขเวทนา ในนรกนั้นสิ้นปีเป็นอันมาก บุคคลผู้ที่จะช่วยป้องกันบุคคลผู้มักกระทำบาปกรรม ผู้อันกรรมของตนหุ้มห่อไว้ ไม่มีเลย สัตว์นรกเหล่านั้น มีกรรมอันหยาบช้า ทำบาปกรรมแล้ว ต้องถูกนายนิรยบาลจับโยนลงในนรก พระเจ้าข้า
ครั้นทูลอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีก็ได้ทำให้นรกนั้นให้อันตรธานไปแล้วขับรถต่อไปถึงนรกซึ่งเป็นที่หมกไหม้แห่งพวกมิจฉาทิฏฐิ สัตว์นรกต่างๆ ทั้งเล็กทั้งใหญ่เหล่านี้มีรูปร่างพิลึก เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ดร้อนเหลือเกิน.พระเจ้าเนมิราชจึงตรัสถามมาตลีเทพสารถี ถึงบาปกรรมที่สัตว์เหล่านี้ได้ทำไว้ มาตลีเทพสารถีก็ได้ทูลถวายพยากรณ์ให้ทรงทราบว่า
สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ คือ ทานที่ให้ไม่มีผล การบูชาไม่มีผลการเซ่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สมณพราหมณ์ไม่มี สัตว์ผู้ผุดเกิดไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี หลงทำกรรมด้วยความคุ้นเคยกระทำกรรมลามกต่าง ๆ ด้วยมิจฉาทิฏฐินั้น และชักชวนผู้อื่นในทิฏฐิเช่นนั้น ทำบาปกรรมแล้ว จึงต้องได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ดร้อนเหลือเกิน พระเจ้าข้า
มาตลีเทพสารถีทูลบอกนรกเป็นที่หมกไหม้ ของพวกมิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย แด่พระเจ้าเนมิราชด้วยประการฉะนี้
แม้หมู่เทวดาในเทวโลกก็ได้นั่งประชุมกันในเทวสภาชื่อสุธรรมานั่นแลคอยพระเจ้าเนมิราชเสด็จมา
ฝ่ายท้าวสักกเทวราชทรงใคร่ครวญดูว่า ทำไมมาตลีจึงไปช้านัก ก็ทราบเหตุนั้น จึงทรงจินตนาการว่า มาตลีเทพบุตรเที่ยวแสดงนรกทั้งหลายว่า สัตว์เกิดในนรกโน้น เพราะทำกรรมโน้น ดังนี้ เพื่อแสดงความเป็นทูตพิเศษของตน แต่ชนมายุของพระเจ้าเนมิราชซึ่งมีอยู่น้อยจะพึงสิ้นไป ชนมายุนั้นจะไม่พึงถึงที่สุดแห่งการแสดงนรก ทรงดำริฉะนี้แล้วจึงส่งเทพบุตรองค์หนึ่งซึ่งมีความเร็วมาก ด้วยเทพบัญชาว่า ท่านจงไปแจ้งแก่มาตลีว่า จงเชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชมาโดยเร็ว
เทพบุตรนั้นมาแจ้งโดยเร็ว มาตลีเทพสารถีได้สดับคำเทพบุตรนั้นแล้ว จึงทูลพระเจ้าเนมิราชว่า ช้าไม่ได้แล้ว พระเจ้าข้า แล้วแสดงนรกที่เหลือทั้งหมดพร้อมกันทีเดียวแด่พระเจ้าเนมิราช แล้วกล่าวว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ทรงทราบสถานที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้มีกรรมอันหยาบช้า และทรงทราบที่ไปของเหล่าสัตว์ผู้ทุศีล เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นนิรยบาล อันเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์นรกผู้มีบาปกรรมแล้ว ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณอันยิ่ง บัดนี้ ขอเชิญขึ้นไปชมทิพยสมบัติ ในสำนักของท้าวสักกเทวราชเถิดพระเจ้าข้า
จบ กัณฑ์นรก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น