พระสูตรที่ว่าด้วยสุญญตา (๕)
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
ปัญญาในธรรมนั้นย่อมทำให้ได้สุญญตาคือความว่าง หรือว่าจิตว่างใจว่างจากกิเลสทั้งหลายได้ดียิ่งๆ ขึ้นไปกว่าสมาธิเท่านั้น แต่แม้สมาธิในพุทธศาสนาก็เป็นสมาธิเพื่อสุญญตาคือความว่างดังกล่าวเช่นเดียวกัน นับตั้งแต่ว่างนิวรณ์ คือกิเลสที่บังเกิดขึ้น กลุ้มกลัดจิตใจ จึงทำให้จิตใจฟุ้งซ่านไป ในอารมณ์คือเรื่องทั้งหลาย ปรากฏเป็นความทุรนทุรายไม่สงบ
ก็ต้องอาศัยสมาธิทำจิตใจให้สงบจากอารมณ์ทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งของกิเลสทั้งหลาย ตามวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ เมื่อเป็นดั่งนี้จิตจึงสงบสงัดจากกาม และอกุศลธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นส่วนอารมณ์ และทั้งที่เป็นส่วนกิเลส
สมถกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ทุกข้อ ก็เป็นไปเพื่อความสงบสงัดจากกาม และอกุศลธรรมทั้งหลายดังกล่าว ทั้งนี้ก็ได้ทรงสั่งสอนให้ตั้งจิตไว้ใน สมาธินิมิต นิมิตของสมาธิ หรือว่าที่ซึ่งเป็นที่กำหนดหมายแห่งสมาธิ เป็นนิมิตที่กำหนดหมายในจิตใจ ความที่ทำจิตใจให้กำหนดหมายอยู่ในที่กำหนดหมายนั้น ก็ชื่อว่าทำสมาธิในพุทธศาสนา
สมาธินิมิต กิเลสนิมิต
สมาธินิมิต ในพุทธศาสนาดังกล่าวนั้น ย่อมตรงกันข้ามกับ กิเลสนิมิต ที่กำหนดหมาย หรือความกำหนดหมายแห่งจิต ซึ่งเป็นฝ่ายกิเลส ดังเช่น สุภะนิมิต กำหนดหมายว่างดงาม ก็เป็นที่ตั้งของกามฉันท์ คือกิเลสกองราคะ กองกาม หรือกองโลภ ปฏิฆะนิมิต กำหนดหมายแห่งความกระทบกระทั่ง ก็ก่อให้เกิดกิเลสกองโทสะ และนอกจากนี้ก็เป็น โมหะนิมิต กำหนดหมายให้เกิดโมหะคือความหลง เหล่านี้เป็นกิเลสนิมิต ซึ่งบุคคลสามัญทั่วไปก็ย่อมมีกิเลสนิมิตนี้เป็นที่ตั้งของจิต เป็นที่อาศัยของจิต ดั่งนี้เรียกว่า กิเลสวิหาร วิหารคือที่อยู่ของกิเลส หรือ อสุญญตาวิหาร วิหารคือที่อยู่ของอสุญญตาความไม่ว่าง เพราะว่าเต็มยั้วเยี้ยไปด้วยอารมณ์และกิเลสทั้งหลาย
แต่ว่าเมื่อมาปฏิบัติในสมาธินิมิตของพระพุทธเจ้า โดยการปฏิบัติในกรรมฐานที่พระองค์ได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ จะเป็นสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ก็ดี จะเป็นกรรมฐานที่ทรงสั่งสอนไว้โดยประการอื่นก็ดี ดังที่พระอาจารย์ได้ประมวลไว้ว่ากรรมฐาน ๔๐ ประการ เป็นต้น หรือว่าที่พระอาจารย์ได้แสดงไว้อีกเท่ากับธรรมขันธ์ กรรมฐาน ๘๔๐๐๐ ก็ตาม ซึ่งเป็นกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ ก็ล้วนเป็นสุญญตาวิหารคือที่อยู่แห่งสุญญตาคือความว่างทั้งนั้น ก็คือว่างตั้งต้นแต่จากกามจากอกุศลธรรมทั้งหลาย
เพราะว่ากรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนทั้งปวงนั้น ล้วนให้ตั้งจิตกำหนดเป็นนิมิตคือที่กำหนดหมายของจิต เพื่อสุญญตาคือความว่างทั้งนั้น และโดยตรงก็กำหนดให้ตั้งเข้ามาในภายใน ให้จิตนั่งอยู่ในภายใน ให้กำหนดอยู่ในสมาธินิมิตเพียงข้อเดียว เพียงอย่างเดียว ดังที่เรียกเป็นภาษาธรรมะว่ามีข้อเดียวประการเดียวผุดขึ้นปรากฏขึ้น นี่แหละคือสมาธินิมิตของพระพุทธเจ้า
กำหนดอารมณ์ภายใน ภายนอก
และแม้ว่าจะกำหนดไปในอารมณ์ของกรรมฐานที่เป็นภายนอกก็ได้ เพราะอารมณ์ของกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้นั้นกำหนดในภายใน เช่นกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออก กำหนดอิริยาบถเดินยืนนั่งนอน กำหนดอาการผมขนเล็บฟันหนังเป็นต้น กำหนดธาตุ ๔ เหล่านี้ กำหนดภายในกายนี้ทั้งนั้น
อีกอย่างหนึ่งกำหนดในภายนอกเช่นกำหนดใน กสิณ กำหนดดิน กำหนดน้ำ กำหนดไฟ กำหนดลม กำหนดสีต่างๆ ซึ่งเป็นทางกสิณในภายนอก เหล่านี้เรียกว่าภายนอก แต่ก็ต้องเข้าใจว่าทั้งภายนอก ทั้งภายในนั้น .. ( จบ ๓/๒ ) ( ข้อความขาดนิดหน่อย ) ( เริ่ม ๔/๑ ) ...อยู่ ก็ต้องรวมเข้ามาตั้งไว้ในจิตทั้งนั้น เป็นแต่เพียงว่าส่วนที่ตั้งจิตกำหนดทีแรก เป็นภายในบ้างเป็นภายนอกบ้าง แต่เมื่อได้เริ่มกำหนดจากภายในก็ตาม จากภายนอกก็ตาม ก็ต้องให้มาตั้งอยู่ในจิตทั้งนั้น ให้จิตกำหนดอยู่เป็นสมาธินิมิตขึ้นในจิต ให้เป็นข้อเดียวตั้งขึ้นในจิต ดั่งนี้ จึงจะได้พบกับสุญญตาคือความว่าง
แต่ว่าในการปฏิบัตินั้น เมื่อปฏิบัติไปในบางคราวจิตก็ไม่ตั้งแนบแน่น อยู่ในสมาธินิมิตที่กำหนดนั้น
ในบางคราวจิตก็ตั้ง ก็เป็นธรรมดา จึงต้องไม่เว้นความเพียร ไม่ละความเพียร ไม่ทิ้งความเพียร ต้องมีความเพียรปฏิบัติต่อไป ทำความรู้ตัว ทำสติให้มากขึ้น และคอยกำจัดความยินดีความยินร้ายที่บังเกิดขึ้น
ความยินดียินร้ายในการปฏิบัติ
อันความยินร้ายนั้นคือยินร้ายในการปฏิบัติ เพราะเหตุที่ทำจิตให้ตั้งเป็นสมาธิไม่ได้ จิตไม่น้อมไปตั้งอยู่ในสมาธินิมิต ก็ต้องละความยินร้ายนี้เสีย กำหนดพิจารณาว่า เมื่อยังอ่อนเพียร อ่อนสติ อ่อนสัมปชัญญะ ก็จะต้องเป็นเช่นนั้น จึงต้องทำความเพียร ทำสติ ทำสัมปชัญญะ สืบต่อไป บางทีก็ได้ความยินดีในสมาธิ เช่นเมื่อได้ผลของสมาธิ เป็นปีติ เป็นสุข ก็มีความยินดีในผลของสมาธินั้น ก็จะเป็นเหตุให้ติดอยู่ในปีติสุขของสมาธิ ดั่งนี้ก็ต้องละความยินดีนั้นเสีย ไม่พะวงอาลัยอยู่กับปีติสุข แต่ทำความเพียรทำสติ ทำสัมปชัญญะ ในการปฏิบัติสมาธิให้ยิ่งขึ้นไป บางทีก็เป็นนิวรณ์ภายนอกโผล่เข้ามา แทรกแซงเข้ามา ดึงจิตให้ยินดีให้ยินร้ายไป ดั่งนี้ก็ต้องคอยละเสีย
ต้องไม่ละความเพียร
เพราะฉะนั้น แม้ว่าในการปฏิบัติหลายครั้งหลายคราว จิตไม่น้อมไป ไม่ตั้งอยู่ในสมาธินิมิต ก็ต้องไม่ละความเพียรดังกล่าว ต้องทำความเพียรเรื่อยไป ทำสติสัมปชัญญะให้ยิ่งขึ้น คอยละความยินดีความยินร้ายอยู่เสมอ ทำใจให้เป็นอุเบกขา อันหมายความว่าวางเฉยจากความยินดีความยินร้าย เมื่อยินดียินร้ายเกิดขึ้น ก็วางเสียไม่รักษาเอาไว้ และไม่วุ่นวายไปเพราะความยินดีความยินร้าย เฉยเสียได้ วางเสียได้ จากความยินดีความยินร้าย ดั่งนี้คืออุเบกขา
และเมื่อเป็นดั่งนี้แล้วจิตก็จะน้อมไปตั้งอยู่ในสมาธินิมิตได้ จะได้สุญญตาคือความว่างที่เป็นภายใน อันหมายความว่าจากอารมณ์ที่เป็นภายใน จะได้สุญญตาในภายนอก อันหมายความว่าจากอารมณ์ที่เป็นภายนอก ในเบื้องต้นเป็นกสิณดังกล่าวนั้น จะได้สุญญตาทั้งภายในทั้งภายนอก จะได้สุญญตาที่ไม่หวั่นไหวยิ่งขึ้นไปโดยลำดับ ดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าได้สร้างสุญญตาวิหารขึ้นในจิตใจ
สุญญตาวิหารภายใน
สุญญตาวิหารในจิตใจนี่แหละคือวัดใจวิหารใจ อันควบคู่กันไปกับวัดกายวิหารกาย วัดกายวิหารกายนั้นเป็นภายนอก ดั่งวัดวาอารามทั้งหลายที่เข้าใจกัน แต่ว่าวัดใจวิหารใจนี้ก็คือว่าสุญญตาวิหารซึ่งเป็นภายในนี้
วิธีปฏิบัติเดินจงกรม
เพราะฉะนั้นพระบรมศาสดาจึงได้ตรัสสอนต่อไป ให้เดินยืนนั่งนอนอยู่ด้วยสุญญตาวิหารนี้ เดินนั้นก็เรียกว่าจงกรม จะเป็นจงกรมคือเดินโดยปรกติก็ตาม จะจงกรมที่เป็นการปฏิบัติ ดั่งเรียกว่าเดินจงกรมก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้เองว่าให้ตั้งจิตกำหนด ว่าเราจะจงกรมคือเดิน โดยที่มิให้ความยินดีความยินร้ายบังเกิดขึ้นครอบงำจิตใจ เราจะยืนโดยที่ไม่ให้ความยินดีความยินร้ายบังเกิดขึ้นครอบงำจิตใจ เราจะนั่งโดยที่มิให้ความยินดีความยินร้ายบังเกิดขึ้นครอบงำใจ เราจะนอนโดยที่มิให้ความยินดีความยินร้ายบังเกิดขึ้นครอบงำใจ เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ชื่อว่าได้เดินอยู่ในสุญญตาวิหาร ได้ยืน ได้นั่ง ได้นอน อยู่ในสุญญตาวิหาร อันเป็นวิหารใจอันเป็นวัดใจ
อันนี้แหละเป็นเงื่อนสำคัญของผู้ปฏิบัติธรรมะ ซึ่งมักจะมีปัญหาถามกันอยู่เสมอๆ ว่า เดินจงกรมจะให้ทำใจยังไง ในที่นี้จึงนำเอาพระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้เองในพระสูตรนี้ มาเล่าให้ฟังว่าท่านสอนไว้ยังงี้ ว่าให้ทำจิตใจอย่างนี้ ในอิริยาบถเดินก็ตาม ยืนก็ตาม นั่งก็ตาม นอนก็ตาม ด้วยตั้งใจว่าเราจะมิให้ความยินดีความยินร้ายบังเกิดขึ้นครอบงำจิตใจ จึงเป็นอันว่าได้เดินยืนนั่งนอนอยู่ในสุญญตาวิหาร ในวัดสุญญตา ในวิหารสุญญตา ซึ่งตั้งอยู่ในจิตใจ เมื่อปฏิบัติดั่งนี้ก็เป็นอันว่าได้จงกรมคือเดินยืนนั่งนอนตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
ติรัจฉานกถา กถาวัตถุ
และแม้ว่าจะพูดก็ตาม ก็ให้ตั้งใจว่า จะเว้นจากวาจาที่ไม่เป็นประโยชน์ทั้งหลาย ดังเช่นที่เรียกว่า ติรัจฉานกถา ถ้อยคำที่เป็นดิรัจฉาน คือที่ขัดขวางต่อธรรมะปฏิบัติ เพื่อสุญญตาดังกล่าว เป็นถ้อยคำที่พูดจากันก่อให้บังเกิดกิเลสทั้งหลาย กองราคะบ้าง กองโทสะบ้าง กองโมหะบ้าง ดั่งนี้เป็นวาจาที่ควรเว้น เพราะว่าส่อถึงใจที่ไม่มีสุญญตาคือความว่าง จากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย เมื่อใจเป็นอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น
จึงให้พูดแต่ถ้อยคำที่เรียกว่า กถาวัตถุ คือถ้อยคำที่ควรพูด อันจะนำให้จิตใจได้สุญญตาคือความว่างจากกิเลสทั้งหลาย เช่นพูดจากันปรารภธรรมะที่ทำให้ปรารถนาน้อย ให้เกิดความสันโดษเป็นต้น ที่จะชักนำให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ดั่งนี้ก็ชื่อว่าได้พูดจาอยู่ในสุญญตาวิหารเหมือนกัน ถ้าไปพูดที่เป็นติรัจฉานกถาทั้งหลาย ก็เป็นอันว่าไปพูดกันนอกสุญญตาวิหาร นอกวัดสุญญตา ไม่ได้อยู่ในวัดสุญญตา
วิตก ความตรึกนึกคิด
และแม้ว่าจะมีความตรึกนึกคิดในจิตใจ ก็ให้ตรวจตราพิจารณาระมัดระวัง ห้ามจิตใจไม่ให้คิดนึกไปในทางที่เรียกว่ากามวิตก ตรึกนึกคิดไปในกาม พยาบาทวิตก ตรึกนึกคิดไปในทางพยาบาทปองร้าย วิหิงสาวิตกตรึกนึกคิดไปในทางเบียดเบียน
แต่ว่าสนับสนุนจิตใจให้คิดนึกไปในทางเนกขัมมะ การออกจากเครื่องผูกพันทั้งหลาย ไม่ให้เข้ามารึงรัดผูกมัดจิตใจ อันเรียกว่าเนกขัมมะวิตก ให้ตรึกนึกคิดไปในทางไม่พยาบาท ประกอบด้วยเมตตา ตรึกนึกคิดไปในทางไม่เบียดเบียน ประกอบด้วยกรุณา เป็นต้น ดั่งนี้ ก็เป็นเนกขัมมะวิตก อัพพยาบาทวิตก อวิหิงสาวิตก ระวังจิตใจมิให้นึกคิดไปในทางอกุศลวิตก ที่เป็นกามวิตกเป็นต้น แต่ให้ตรึกนึกคิดไปในทางที่เป็นกุศลอันเรียกว่ากุศลวิตก มีเนกขัมมะวิตกเป็นต้นดังกล่าวนั้น เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ชื่อว่าได้ตรึกนึกคิดอยู่ในวัดสุญญตา ในวิหารสุญญตา เช่นเดียวกัน
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงสั่งสอนให้คอยตรวจพิจารณาจิตใจของตนอยู่เสมอ ว่ามีนิวรณ์ข้อใดข้อหนึ่งอยู่หรือไม่ เมื่อมีอยู่ก็ให้รู้ว่ามี และก็ให้รู้ว่ายังละไม่ได้ และเมื่อตรวจพิจารณาดูว่าไม่มี ก็ให้รู้ว่าไม่มี ตามความเป็นจริง ถ้ายังมีอยู่ ปล่อยให้นิวรณ์ครอบงำจิตใจอยู่แล้ว ก็เป็นอันว่าออกไปจากวัดสุญญตา ออกไปจากวิหารสุญญตาเช่นเดียวกัน แต่ว่าเมื่อนิวรณ์สงบลงได้ก็เป็นอันว่าได้เข้าวัดสุญญตา เข้าวิหารสุญญตา
กำหนดพิจารณาขันธ์ ๕
และได้ตรัสสั่งสอนไว้ให้ปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น
โดยที่กำหนดพิจารขันธ์ ๕ ให้เห็นความเกิดความดับของขันธ์ ๕ ว่ารูปเป็นอย่างนี้ ความดับความเกิดของรูปเป็นอย่างนี้ ความดับของรูปเป็นอย่างนี้ เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเป็นอย่างนี้ ความเกิดของเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเป็นอย่างนี้ ความดับของเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเป็นอย่างนี้ เมื่อมาปฏิบัติพิจารณาให้เห็นความเกิดความดับของขันธ์ ๕ อยู่ อัสมิมานะคือความสำคัญหมายว่าเรามีเราเป็น หรือว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็ย่อมจะไม่บังเกิดขึ้นในขันธ์ทั้ง ๕
แต่ถ้าขาดปัญญาที่มองเห็นเกิดดับในขันธ์ ๕ ก็ย่อมจะต้องมีอัสมิมานะคือความสำคัญหมายว่าเรามีเราเป็น ยึดถือว่าเรามีเราเป็น ยึดถือว่าตัวเราของเราอยู่ในขันธ์ ๕ และเมื่อเป็นดั่งนี้ แม้ว่าจะได้สมาธิมาโดยลำดับสูงเท่าไรก็ตาม เมื่อยังมีอัสมิมานะอยู่ก็เป็นอันว่ายังไม่เข้าถึงวัดสุญญตา หรือวิหารสุญญตาที่เป็นขั้นละเอียดที่สุด หรือที่บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ยังเสื่อมได้ ต่อเมื่อได้มาหัดปฏิบัติให้ได้ปัญญามองเห็นเกิดดับ แห่งรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ละอัสมิมานะดังกล่าวได้ ก็เป็นอันว่าได้พบวัดสุญญตา วิหารสุญญตา อันเป็นวัดที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ สูงสุดในพุทธศาสนา
ฉะนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ดังที่แสดงเล่ามานี้ จึงเป็นข้อที่ผู้ปฏิบัติธรรมะจะพึงทราบ และพึงสนใจ ใฝ่แสวงหาวัดสุญญตา หรือวิหารสุญญตาในจิตใจ ให้พบ แม้ว่าจะเป็นวัดสุญญตาหรือวิหารสุญญตา ที่ยังเป็นชั้นนอกอยู่ก็ตาม หากว่าได้พบวัดสุญญตาวิหารสุญญตาเช่นนี้ในจิตใจของตนเองแล้ว ก็จะทำให้ได้พบกับความสุขดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อันเรียกว่าเนกขัมมะสุข ปวิเวกสุข อุปสมะสุข สัมโพธิสุข วิมุติสุข ตั้งแต่เบื้องต้นได้ แต่หากว่ายังไม่ได้พบวิหารสุญญตา หรือวัดสุญญตาในจิตใจของตนเองบ้างแล้ว
แม้จะเข้ามาสู่วัดสู่วิหารที่เป็นของภายในภายนอก จะตั้งอยู่ในบ้านก็ตาม ตั้งอยู่ในป่าก็ตาม ที่ไหนก็ตาม เป็นอันว่ายังไม่ได้พบกับวัดสุญญตา วิหารสุญญตา อันเป็นพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นที่สถิตย์ของพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ ยังไม่ได้พบพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติให้ได้พบวัดสุญญตาวิหารสุญญตา แม้จะเป็นชั้นนอกชั้นต่ำก็ตามที ก็เป็นอันว่าได้เริ่มพบกับความสุข ได้เริ่มพบกับพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ ได้เริ่มพบกับพระพุทธศาสนา
เพราะฉะนั้น สุญญตาวิหาร หรือวัดสุญญตาวิหารสุญญตานี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ สติปัฏฐานก็อยู่ในวัดนี้ ธรรมะอื่นๆ เป็นต้นว่า สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ อันเป็นโพธิปักขิยธรรมทั้งสิ้น พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งหมดก็อยู่ในวัดสุญญตาวิหารสุญญตานี้ทั้งหมด เข้าไปได้แล้วจะได้พบท่านทั้งนั้น
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น