วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไม่สวยแล้วไง (ตอนจบ)

เฮ้อ!!!  วันหยุดที่ไม่ได้หยุด...ใครเจอแบบนี้บ้าง...
เราก็คิดว่าทำงานตลอด 5 วัน จันทร์ ศุกร์  พอวันเสาร์ - อาทิตย์ว่าจะว่าง พักผ่อนเต็มที่.. ที่ไหนได้..มีบางคนรอมา 5 วันที่จะคุยด้วยและทำกิจกรรมสารพัดร่วมกัน ..ทำกับข้าวใส่ปิ่นโตไปวัดเอย..กลับมารื้อกระถางต้นไม้ เอาลงดินเอย..กลางวันไปกินก๊วยเตี๋ยวหมูร้านอร่อย...เลยไปซื้อต้นไม้..(อิกและ..) ไปช้อปปิ้ง เปลี่ยนผ้าปูที่นอนและเปลี่ยนผ้าม่าน 3 ห้อง ขับรถเอาของเก่าไปส่งร้านซัก..กลับมาแวะตลาดสดซื้อกับข้าว ทำกับข้าว..คุยๆๆๆๆ  ฟังเทศน์-สนทนาธรรม..นวดให้คุณยาย...ล้างรถ..ไปอาบน้ำหมา ...รื้อตู้หนังสือ ปัดฝุ่นจัดใหม่ โห...วันหยุดนะเนี่ย....เหนื๊อยเหนื่อย....

วันศุกร์นี้ก็จะเปิดเทอมละ ดีไปอย่างมีหนังสือต้องอ่าน ต้องไปเรียนวันเสาร์ทั้งวันไม่ต้องฟุ้งซ่าน..
วันนี้จะเล่าเรื่องเจ้าแพทให้จบ จะได้คุยกันเรื่องอื่นๆ เปลี่ยนบรรยากาศจากการหมกมุ่นกับเรื่องหมาๆ มาหลายตอนนะคะ อิอิ..
เจ้าแพทตอนนี้อายุ
7 ปีแล้วเป็นสาวเต็มตัวคุณยายเลี้ยงซะอ้วน กำลังบังคับให้ลดความอ้วน แล้วก็บังคับให้คุณยายลดความเอ็นดูให้มันกินข้าววันละสามสี่มื้อลง ที่เรียก “คุณยาย” นี้ ไม่ได้หมายถึงคุณยายที่รักที่สุดในสามโลกของจิ๊บนะคะ แต่เป็นคุณแม่ที่รักที่สุดในสามโลกของจิ๊บเองซึ่งเจ้าแพทมันเรียกว่า “คุณยาย” ความจริงแพทมันไม่ได้เรียกหรอกเพราะมันพูดไม่ได้นิ แต่แม่จิ๊บเรียกตัวเองเวลาพูดกับมันว่า “ยายยังงั้น..ยายยังงี้” เวลาคนจดมิเตอร์น้ำ คนส่งแก๊ส หรือใครมาที่บ้านก็จะบอกแพทว่า “ไปบอกคุณยายไป” เจ้านี่ก็วิ่งหน้าเริ่ดไปหาแม่ แหงนหน้าเรียก วู้ว....เป็นอันเข้าใจกัน

ต้นเรื่องที่แม่กลายเป็น “ยาย” ของแพทก็คือ ตอนที่จิ๊บต้องไปช่วยราชการที่ กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า  ค่ายสิรินธร จ.ปัตตานี  ก็เลยต้องเอาแพทไปไว้ที่บ้านคุณยาย เพราะแม่ไปอยู่กับคุณยายเพื่อดูแลคุณยายตั้งแต่คุณยายป่วยคราวโน้นน ช่วงก่อนเข้าพรรษาปีก่อนหน้านั้น แล้วแม่ไม่กลับมาอยู่ที่บ้านกรุงเทพฯ  อีกให้จิ๊บ อยู่กับพี่เจ้ยและพี่สะใภ้กับหลานๆ แต่พี่เจ้ยก็ได้เลื่อนตำแน่งแล้วย้ายออกไปอยู่ต่างจังหวัดก็ยกครอบครัวตามไป (ประมาณว่าไปไหนต้องไปด้วยกัน เด๋วพี่เจ้ยจะแอบมีบ้านเล็กบ้านน้อย..เป็นซะงั้นแหละ) ทีนี้จิ๊บต้องอยู่คนเดียว แม่เลยบัญชาให้จิ๊บมาอยู่ที่บ้านคุณย่าจะได้ดูแลคุณย่าด้วย และไม่ต้องอยู่บ้านคนเดียวให้แม่เป็นห่วง....แล้วแม่ก็เลี้ยงดูเจ้าแพท ฉันท์ยาย - หลานมานับแต่บัดนั้น.....

หลังจากนั้นไม่นาน จิ๊บก็ไปเสนอหน้าอาสาจะไป “ใต้” โดยไม่ได้ปรึกษาใครเลย ตอนแรกไม่กล้าบอก ก็เลยเลี่ยงคัมภีร์บอกทุกคนว่า ไปๆ กลับๆ ซึ่งก็ไม่ได้โกหกน๊า เพียงแต่ไม่ระบุเวลา อันนี้ก็เป็นนิสัยขี้โกง ไม่ดี อย่าทำอย่างจิ๊บนะคะ ความจริงต้องไปอยู่ที่ค่ายสิรินธร 1 ปี ทำงาน 30 วัน พัก 10 วัน  แล้วก็ถูกเสียงส่วนใหญ่โหวตให้ขายบ้านบางบัวทอง ห้ามไปอยู่คนเดียวอีก แม่จะเลี้ยงเจ้าแพทให้ จะได้ไม่ต้องเป็นภาระให้คุณย่ากะว่ากลับจากใต้ค่อยเอากลับมากรุงเทพฯ แต่ในที่สุดก็ไม่เอามาแล้วเพราะแม่ไม่ยอมพรากจากมันซะอีก
แต่ว่ามีบททดสอบแม่กับจิ๊บว่ารักและผูกพันกับเจ้าหมาตัวนี้อย่างที่เราเองก็คาดไม่ถึงทีเดียว เป็นเรื่องที่เราแม่ลูกทำใจไม่ได้เลย.. และไม่รู้ว่าในอนาคตต่อไปเมื่อถึงวันที่แพทมันแก่และอาจต้องจากกันเราจะทำใจได้โดยใช้เวลานานซักเท่าใด...




เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 54 เกือบครบรอบ 1 ปี วันนั้นครอบครัวเรามีโปรแกรมจะต้องไปอยู่ที่บ้านตากอากาศที่เขาใหญ่ ปากช่อง  และแม่มีความประสงค์จะทำบุญเลี้ยงพระและทำบุญบ้านกันที่นั่นด้วย จิ๊บเลยจับแพทอาบน้ำระดมชะโลมของหอมให้มัน แต่งตัวใส่เสื้อลายจุดสีฟ้าขาวให้มันเพราะที่ปากช่องหนาวมากแล้วก็พามันไปบ้านปากช่อง ปรากฏว่าระหว่างที่พักผ่อนกันอยู่บนบ้าน ร้องคาราโอเกะกันเพลิน จนลืมสนใจเจ้าหมาอ้วนที่ปล่อยมันเดินสำรวจภูมิประเทศอยู่ข้างล่าง และบ้านเราก็ไม่ได้มีรั้วกั้นเลย เปิดโล่งเอาชาดัดลงตลอดแนวรอให้มันโตเป็นรั้ว

พอตกเย็นประมาณซักสี่โมง รีสอร์ทใกล้เคียงก็เริ่มจุดพลุประปราย เป็นเรื่องละสิ เจ้าแพทนี่มันยิ่งขี้ตกใจไม่ชอบเสียงพลุ แม้แต่เวลาแม่หรือใครดุมันจะกลัวมาก ไม่ต้องถึงลงมือลงไม้หรอก แค่ทำเสียงเข้ม มันก็กลัวแล้ว สงสัยว่าได้ยินเสียงพลุแล้วตื่นตกใจ ขวัญกระเจิงหนีไปไหนไม่รู้ พอพวกเราหยุดร้องเพลง พี่ๆ เตรียมเตาบาร์บิคิว จะจัดปาร์ตี้กันที่สนามหญ้า จิ๊บลงมาเรียกหาเจ้าแพทก็ไม่เห็นมันวิ่งมาหา เอาละสิ แพทไปไหน?...ใจจิ๊บหายวาบ..ไม่นะ แพทอยู่ไหน..แพท.. จิ๊บเดินตามหาร้องเรียกไปด้วยตั้งแต่บ้านเราเข้าไปถึงบ้านหลังสุดท้ายในซอย เดินย้อนกลับไปปากซอย..ไม่มีวี่แววแพทเลย..เดินหาทุกซอกทุกมุม ทุกบ้านทุกซอย เดินข้ามรั้วไปสวนมะม่วงนอกรั้วรีสอร์ท หาจนทั่วก็ไม่เห็น..จิ๊บเดินกลับมา ทุกคนในบ้านแม่ พี่เจ้ย พี่สะใภ้ ลุงใหญ่พี่ชายแม่ คุณป้าเมียลุงใหญ่ หนูแพร หนูเพลิน น้องยอด ลูกลุงใหญ่ ทุกคนเดินร้องเรียกหาแพท รอบบ้าน แม้แต่คุณยายกับคุณย่าก็ก้ม ๆ เงย ๆ มองลงไปที่ใต้ถุนเรียกหาแพท จิ๊บเดินกลับเข้าบ้านอย่างใจเสีย หน้าตาเริ่มเหยเก วิ่งขึ้นไปเอากุญแจรถน้ำตาเอ่อท่วมตาขึ้นมา พุดอะไรไม่ออก ลงไปที่รถจะขับออกไปตระเวนตามหาแพท น้องเพลิน ไข่มุกกับน้องมัดตัวเล็ก วิ่งมาหาขอไปด้วย..แล้วสี่คนอาหลานก็ขับรถตระเวนหาเจ้าแพททั่วละแวกรีสอร์ทแถวนั้น ทั้งฮอลิเดย์ปาร์คอันกว้างใหญ่ ภูพิมาน แลนด์บรีซ ออกไปจนเกือบถึงปากทางไปตลาดปากช่องย้อนกลับเข้ามาถามยามรีสอร์ท ไปถามและฝากเรื่องไว้ที่สำนักงานโครงการ

ที่สุดก็ไม่พบ และไม่มีใครเห็นแพทเลย จิ๊บขับรถกลับเข้าบ้านอย่างหมดเรี่ยวแรงและแทบหมดหวังแล้ว พอจอดรถแม่เดินเข้ามาหาจิ๊บกอดแม่แล้วก็ร้องไห้ แม่ก็ร้อง หลานๆก็เข้ามากอดจิ๊บน้ำตาซึมกันอีก โอ๊ยย..โศกสุดๆๆ คุณยายปลอบว่ามันคงตกใจเสียงพลุแล้วไปหลบอยู่ไม่ไกล หรืออาจจะซ่อนตัวอยุ่แถวๆนี้แหละ เดี๋ยวหายตกใจแล้วมันก็ออกมา... จิ๊บอาการหนักกว่าเพื่อน ร้องไห้เหมือนลูกตายก็ไม่ปาน ทุกคนปลอบใจจิ๊บ ป้าออมจัดการขอยืมโทรศัพท์แม่ไปหาหมอดูเพื่อนแกที่บ้านนอก ป้าหรั่งป้าของไข่มุกจะมาช่วยทำกับข้าวเลี้ยงพระ มาถึงเจอเหตุสลดนี้เข้าโทรไปหาหมอดูยิปซีขาประจำ นัดวันไปดูหมอหาเจ้าแพท ทุกคนหน้าเคร่งเครียด ไม่มีใครมีแก่จิตแก่ใจจะรื่นเริงในวันส่งท้ายปีเก่าเลยแม้แต่น้อย คุณย่ากอดจิ๊บแล้วก็ปลอบใจ และคุณย่ากลายเป็นคนที่เข้มแข็งมีสติที่สุดก็บัญชาการการทำอาหารทั้งมื้อเย็นและเตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงพระในตอนเช้าวันขึ้นปีใหม่ คุณย่าเรียกให้จิ๊บทำนู่นนี่ข้างๆ ตัวตลอดเพื่อให้จิ๊บมีอะไรทำจนไม่ต้องว่าง จิ๊บเด็ดใบโหระพาไปน้ำตาก็ร่วงแหมะๆ  ยิ่งได้ยินเสียงแม่คร่ำครวญว่า     “แพทลูกเอ๊ย จะไปหลบภัยอยุ่ตรงไหนลูก กลับมาบ้านเรานะ ยายเป็นห่วง” จิ๊บเลยปล่อยโฮเลยกลั้นไม่ไหวแล้ว...ช่วงระยะเวลา 4วันซึ่งเป็นวันหยุดนั้น จิ๊บจะตื่นแต่เช้า ออกเดินตามหาแพทจนสาย พอแดดเริ่มร้อนก้กลับมาขับรถออกไปตะเวนหาทั้งวัน ข้าวน้ำแทบไม่กิน จนมืดตะวันตกดินจึงเลิกหาเป็นอย่างนี้ทุกวัน

คุณยายกับคุณย่าสวดมนต์แผ่เมตตาให้แพททุกวัน จิ๊บหมดหนทางจนสุดท้ายแม่เอาธูปมาจุด พาจิ๊บนั่งที่พื้นสนามหญ้าหน้าบ้านเรา ไหว้เจ้าที่ เจ้าป่าเจ้าเขาให้คุ้มครองให้แพทปลอดภัย ตอนจิ๊บขับรถออกไปตามหามันเจอศาลพระภูมิ หรือศาลเจ้าพ่อเจ้าปู่ตรงไหนก็ไหว้เรื่อยไป  หมดเวลาวันหยุดแล้ว ทุกคนกลับบ้านและต้องกลับไปทำงาน จิ๊บก็ตัดสินใจลาต่ออีกสองวันรอ เผื่อเจ้าแพทจะกลับมา แต่การรอคอยก็สิ้นสุดลงด้วยความผิดหวัง เพื่อนป้าออมสินที่เป็นหมอดูโทรกลับมาบอกว่าดูดวงชะตาแล้ว ว่าอย่ารออีกเลย แพทตายเสียแล้ว ตายในน้ำ จิ๊บรีบขับรถไปที่ทะเลสาบในทุกรีสอร์ท และทุกที่ที่มีสระน้ำ แต่ไม่พบศพหรือร่องรอยของแพทเลย...ใจหนึ่งก็ยังหวังว่ามันยังไม่ตาย ขอให้แพทเจอคนใจดีเลี้ยงมันไว้ อีกใจหนึ่งก็หมดหวังและจะทำใจว่าคงต้องจากกันในชาตินี้แล้ว

จิ๊บพาแม่ คุณยายและคุณย่ากลับบ้านมาอย่างเศร้าสร้อย  จิ๊บคิดในใจว่า ปีใหม่2555 เป็นปีใหม่ที่เศร้าที่สุด ไม่สนุกที่สุด และจิ๊บไม่อยากจดจำเลย... จิ๊บกะคุณย่ากลับบ้านที่กรุงเทพฯ หลังจากนั้นแม่โทรมาทุกวัน สองแม่ลูกร้องไห้กันทางโทรศัพท์ แม่บอกว่าแม้แต่สวดมนต์ก็ไม่มีสมาธิ เห็นแต่หน้าแพทลอยมา นึกถึงเวลามันไล่แมว เวลามันไล่หนู เวลาที่มันกัดงู ปกป้องเป็น รปภ.ชั้นยอดของแม่ เวลาที่มันนั่งฟังแม่คุยโทรศัพท์ เวลาที่มันวิ่งมาเรียกแม่เมื่อมีแขกมาหา เวลาที่มันวิ่งรับทุกคนเวลามากินข้าวด้วยกันที่บ้านคุณยายทุกวันเสาร์...สารพัดภาพของมันในความทรงจำของแม่... 

กลางดึก พอได้ยินเสียงหมาเห่าหรือหอนไกลๆ แม่ก็สะดุ้งแล้วต้องลุกมาเปิดประตูดูคิดว่าแพทกลับมา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ บ้านปากช่องกับบ้านคุณยายอยู่ห่างไกลกันเกือบ 100 กิโลเมตร ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น  แต่แม่ก็เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่น่าเชื่อนะ ไม่น่าเชื่อจริงๆ..ว่าเราเป็นกันได้ขนาดนี้ แต่มันคือเรื่องจริง จิ๊บไม่ได้แต่งเรื่อง หรือต่อเติมใส่ไข่แม้แต่น้อย ทุกคำพุดที่เล่าให้ฟังนี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมดทั้งสิ้นค่ะ...
เมื่อจิ๊บกลับมาทำงานแล้วได้คุยโทรศัพท์กับคนใกล้ตัว (ซึ่งตอนนี้ห่างกันแสนไกล ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว) พี่เค้าบอกให้ทำสัตยาธิษฐานต่อพระพุทธเจ้า ขออานุภาพและพระคุณของพระพุทธองค์ช่วยปกปักษ์รักษา และขอให้แพทได้กลับบ้านมาอยู่กับพวกเรา โดยให้จิ๊บเลือกศีลข้อใดข้อหนึ่งที่จะรักษาอย่างบริสุทธิ์ตลอดชีวิต จิ๊บก็เลยเลือกที่จะใช้ศีลข้อ 5 เป็นคำมั่นต่อพระพุทธองค์ ชั่วชีวิตตั้งแต่นี้ต่อไปจิ๊บจะไม่ดื่มสุรา ของมึนเมา วง - ไวน์  ทุกชนิด แม้ว่าจะเป็นงานเลี้ยงที่เป็นงานในหน้าที่ หรือต้องดูแลและต้อนรับ ขว.หรือแขกต่างประเทศในงานของจิ๊บก็ตาม จิ๊บจะปฏิเสธไม่ดื่มแม้สักหยดเดียว...

....และชีวิตต้องดำเนินต่อไป เวลาผ่านไป แพทได้จากพวกเราไปเป็นเวลา 80 วัน จนถึงวันที่ 21 มีนาคม 2555 จิ๊บขับรถมาทำงานตามปรกติ กำลังจะหย่อนก้นลงเก้าอี้นั่งก็มีโทรศัพท์เข้ามา.....พี่เจ้ยกับพี่สะใภ้โทรมาเสียงละล่ำละลัก.... “จิ๊บๆๆๆๆ ฟังพี่นะ...แพทมา แพทกลับมาที่บ้านปากช่อง พี่เรียกหา มันกลัวแต่ไปหลบอยู่ใต้ถุนไม่ยอมออกมาหาพี่ แต่เจ้าแพทๆ เจ้าแพทแน่ๆๆ ล้านเปอร์เซนต์ พี่เจ้ยเค้าก็ยืนยัน จิ๊บๆ จิ๊บฟังพี่อยู่มั้ยจ๊ะ?  เสียงพี่สะใภ้เรียกอยู่ในโทรศัพท์ จิ๊บตั้งสติครึ่งนาทีแล้วบอกว่า “พี่คะพี่เฝ้าแพทไว้ให้จิ๊บด้วยจิ๊บจะขออนุญาต ผอ.แปป แล้วจะไปหาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” ผอ.ทำหน้าเหวอมาก เมื่อจิ๊บบอกว่า
“ผอ.ขา จิ๊บจะขออนุญาตลาวันนี้ จิ๊บจะรีบไปรับหมากลับบ้านเดวนี้เลยค่ะ”
“หา ไปไหน ทำอะไรนะ?
“จิ๊บขออนุญาตไปรับหมากลับบ้านค่ะ”
“รับหมา????
“ค่ะรับหมา”
“ที่ไหนลูก?
“ปากช่องค่ะ จิ๊บขออนุญาตนะคะ จิ๊บต้องรีบไปเดวนี้เลยค่ะ ขอบพระคุณ ผอ.ค่ะ”
“ปากช่อง!!!! ผอ. อุทานเสียงแหลมปรี๊ด...หน้าตามึนงงไม่หาย แต่จิ๊บอาศัยช่วงชุลมุนรีบวิ่งลงไปที่รถทันที
ใจก็ภาวนา แพทจ๋า รอแม่จิ๊บนะลูก...เดวเราจะกลับบ้านไปหาคุณยายกัน แพทอย่าไปไหนนะ รอแม่จิ๊บ...
จิ๊บจำได้ว่าเหยียบซะ 140 บางช่วงก็ 160 จนได้ยินเสียงดังอิ๊ดๆๆๆ แต่จิ๊บไม่สนว่ามันเป็นเสียงอะไร..มารู้ตอนหลังว่าเสียงลมมันพัดกระจกเวลารถวิ่งเร็วๆ คิดในใจว่าถ้าโดนตำรวจเรียกก็จะใช้บัตรเบ่งดูซักทีน่ะ แต่ก็ไม่โดนเรียกหรอก

ในที่สุดจิ๊บก็ไปถึงหน้าบ้านพอรถจอดปุ๊บ เจ้าแพทวิ่งออกมาจากใต้ถุนบ้านยืนหูตั้ง เสื้อลายจุดสีฟ้าที่สวมให้หายไปแล้ว..มันทำตาโต หน้าตื่นมองอย่างเพ่งพิเคราะห์ พอจิ๊บเปิดประตูรถ..เท่านั้นแหละ.. มันวิ่งๆๆๆหน้าเริ่ดโถมตัวมาเข้าอ้อมแขนจิ๊บเลียหน้าเลียแขน เลียขา เลียไปทั่ว จิ๊บก็ยอมให้มันเลียตามสบายเลย น้ำตาไหลพรากๆๆ แปปนึงมันก็วิ่งวนรอบตัวจิ๊บ แล้วก็วิ่งวนรอบรถจิ๊บอย่างร่าเริง หมุนไปหมุนมาอย่างสุดเหวี่ยง พี่เจ้ยออกมาจากห้องน้ำยืนหัวเราะมองเรามาจากบนระเบียง พี่สะใภ้จิ๊บยืนยิ้มด้วยร้องไห้ด้วย เช็ดน้ำตาหมุบหมับที่บันไดบ้าน จิ๊บกอดมันหลายรอบแล้วก็ปล่อยมันวิ่งไปหาพี่เจ้ย วิ่งไปหาพี่สะใภ้ ดมๆๆ แล้วก็มาวิ่งวนรอบตัวจิ๊บอีก โอยยยย.....ดีใจสุดๆๆ หัวเราะทั้งน้ำตา

.....แล้วจิ๊บก็พามันกลับบ้านคุณยาย แม่กอดมันไว้นานมาก จนมันดิ้นกุ๊กกั๊ก อิอิ น่าแปลกที่เนื้อตัวมันยังสะอาดสะอ้าน ไม่เปื้อน ไม่เหม็นเลย แต่จิ๊บก็อาบน้ำให้มันอีกอย่างสะอาด ตัวหอมฟุ้ง โดยมีป้าออมเป็นผุ้ช่วยที่ช่วยอะไรไม่ค่อยได้เพราะแพทมันไม่อยุ่นิ่งเลย เริงร่าผิดปรกติ ป้าออมบ่นว่า ไม่ไหวค่ะหนูจิ๊บป้าเวียนหัว... อิอิ...พอเสร็จคุณยายเรียกมันแล้วมันก็เดินไปให้คุณยายกอด ตอนอาบน้ำจิ๊บสังเกตเห็นหูข้างหนึ่งบวม จับดูเหมือนลูกโป่งที่มีน้ำอยู่ข้างในจิ๊บจับดูมันทำท่าเหมือนจะเจ็บๆ หันหน้าหนี  ก็เลยพาไปหาหมอ หมอบอกว่าเส้นเลือดฝอยแตกอาจเป็นเพราะมันสะบัดหูเวลามีแมลงหรือยุงกัดทำให้เส้นเลือดฝอยแตก แต่หมอว่าถ้าไม่ผ่าออกก็ไม่เป็นไรเดวมันก็แห้งเองเพียงแต่ถ้าหายแล้วหูอาจจะย่นๆ ไม่คลี่ตั้งแหลมเหมือนเดิม แต่ถ้าผ่าก็ไม่แน่ว่าจะสวยเหมือนเดิมหรือเปล่า แล้วก็ต้องรักษาแผลผ่าให้ดี แอดมิทที่โรงพยายบาล 3วัน จิ๊บก็บอกว่ายังไม่อยากให้มันจากบ้านอิก มันเพิ่งกลับมา จิ๊บเล่าเรื่องมันหายไปให้หมอฟัง มันทำหน้าบ้องแบ๊วมองหน้าหมอที มองหน้าจิ๊บที หมอหัวเราะ แล้วก็ก้มลงจูบหัวมันด้วย ที่สุดหมอบอกว่าถ้าไม่คิดเรื่องสวยงามก็ไม่ต้องผ่า เดวมันก็จะแห้งไปเอง แล้วฉีดยาแก้อักเสบให้มันเข็มหนึ่ง จิ๊บไม่แคร์หรอกว่าเจ้าแพทมันจะสวยหรือไม่สวย แม่ก็เหมือนกัน ขอแค่มันได้กลับมาอยู่กับเรา เป็นเหลนคุณยาย เป็นหลานแม่  และเป็นลูกหมาอ้วนของจิ๊บที่ผอมสลิมสเลนเดอร์ หลังจากไปธุดงควัตรที่ป่าเขาใหญ่ซะ 80 วันพอดีๆๆ  ตอนนี้มันก็กลับมาอ้วนปั๊กเหมือนเดิมขี้อ้อนยิ่งกว่าเดิม แต่ทำตัวเป็นองครักษ์ประจำตัวแม่ คือเดินนำหน้าเคลียร์พื้นที่เวลาแม่เดินไปไหนๆ

"เจ้าแพท" ซึ่งหูขวาย่นนิดหน่อย....ไม่สวยแล้วไง.... ถึงไม่สวยแต่จิ๊บกับแม่และทุกคนในบ้านเราก็รักมันหมดใจเลยละค่ะ......


วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไม่สวยแล้วไง...ตอนที่3


เย้ๆๆๆ วันนี้วันศุกร์แล้ววววว...จะได้พัก (ใจ) ซะที...
เหนื่อยอะไรก็ไม่เท่าเหนื่อยใจน่ะน๊า...เวลามีเรื่องกวนใจ หรือไม่สบายใจ คนที่พยายามปลอบใจเราก็มักบอกให้ทำใจ มันก็ถูกละ และถ้าทำได้ก็เป็นผลดีต่อตัวเองแน่นอน แต่เรื่องบางเรื่องซึ่งเป็นเรื่องที่มนุษย์ก่อขึ้นโดยขาดความรับชอบก็ไม่ควรทำแค่เพียงทำใจให้รับได้ แล้วปล่อยปละละเลย ควรคิดการณ์ให้ให้มีการแก้ไขให้ดีขึ้น ไม่ใช่ให้เกิดซ้ำชากอยู่นั่นแล้ว...จริงมั้ยคะ? ...

พูดเรื่องทำใจ..ที่ไม่ใช่ยาแก้ปวดอันที่หน้าซองมีรูปคนกุมขมับนะคะ (พวกเด็กๆยุคหลังไม่รู้จักละซี้..อิอิ)

แต่ก่อนเค้าชื่อยาทันใจ แก้ปวดหัว คือกินเข้าไปหายปวดหัวรวดเร็วทันใจ แต่ตอนหลังกระทรวงสาธารณสุขบอกโฆษณาเกินจริง ถ้าเป็นสมัยนี้เรียกว่า "เว่อร์" ก็เลยให้เปลี่ยนชื่อ บริษัทยากลัวลูกค้าจำไม่ได้ถ้าไปตั้งชื่อใหม่ ก็เลยเปลี่ยนให้มันคล้ายๆเดิม ไม่มีอะไรเกินจริง แต่ชื่อใหม่ว่า "ทัมใจ" ก็ไม่มีความหมายอะไรเลยทีนี้ แค่ดีสำหรับบริษัทคือคนเคยกินแล้วอยากกินก็ไปซื้อมากินเหมือนเดิม... ว่ากันไป

สมัยนี้เรื่องยานี่มันเรื่องใหญ่ อ้อ..เมื่อเช้าก็เห็นข่าวเกี่ยวกับยาที่ไม่เกี่ยวกับยา..เอ๊ะ ยังไง? คือข่าวน่าสลดใจ มีนักธุรกิจไทยบริษัทยาไปประชุมนานาชาติเรื่องยาที่สก็อตแลนด์ ถูกยามที่โน่นฆ่าเสียชีวิตในห้องน้ำ ยังไม่ทราบสาเหตุ แล้วก็ยังไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบของเค้าออกมาแสดงความรับผิดชอบกันอย่างไร จริงๆ ช่วงนี้ นายกฯ ก็เยือนอังกฤษอยู่นะ จะมีการหยิบประเด็นนี้ไปพูดกับ นายกฯอังกฤษบ้างหรือเปล่า??  พูดไปก็เกิดทำใจไม่ได้ขึ้นมาอีก...เวลามีนักท่องเที่ยวฝรั่งแบบซำเหมามาเที่ยวเมืองไทย แล้วทำตัวให้ตกอยู่ในความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายที่ล่อแหลมเปิดเผยมากเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์ ไปเที่ยวตามผับบาร์ข้างถนน ข้างชายหาด หรือไปที่เปลี่ยว แถมเสพยาเสพติดอีก ในที่สุดก็ถุกทำร้าย พวกสื่อฝรั่งเล่นเราซะหนักประเทศชาติเสียชื่อไปแบบแทบจะกู้คืนไม่ได้ ก็ไม่เถียงอ้ะนะคะ ว่าคนทำมันทำชั่ว ทำร้ายชีวิตผู้อื่นสมควรได้รับโทษหนักและถูกประณาม แต่ในกรณีข้างต้นคนของเราดีๆ ไปก็ไปทำงาน ไปประชุม ที่ที่ไปก็ไม่ใช่ที่อโคจร (ที่ที่ไม่ควรไป) ซักหน่อย แต่มาถูกทำร้ายถึงชีวิตแบบนี้ต้องเรียกร้องให้สื่อมวลชนประโคมข่าวกระตุ้นให้ภาครัฐของเราเอาใจใส่ดูแลชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนของเราให้ดี และสื่อเองก็น่าจะอุทิศเวลาและเนื้อที่ข่าวตรงนี้ ทำหน้าที่ของสื่อที่ดีเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมโลกที่เราก็เป็นหนึ่งใน Rational Actors เรียกร้องต่อประเทศเจ้าบ้านสถานที่เกิดเหตุให้แสดงความรับผิดชอบ หยุดลงข่าวความความคืบหน้าของตั๊กบงกชจะแต่งงานกับเสี่ยหมื่นล้านอดีตเจ้าของดีแทคซักพักดีมั้ย?? (อ่า...ไปแขวะเค้าทำไมล่ะเนี่ย.. อิอิ)



อีกเรื่องหนึ่งที่จิ๊บพยายามทำใจแต่ทำใจไม่ได้ รวมทั้งแม่จิ๊บด้วยคือเรื่องเจ้าแพทสุดเลิฟนี่แหละ...
ทำใจไม่ได้เรื่องอะไรน่ะหรือ? โอยยย...เรื่องมันย้าวยาว แต่จะพยายามเล่าแบบสั้นๆเท่าที่จะทำได้ละกันค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอแนะนำให้รู้จักว่า "เจ้าแพท" คือใคร?
เจ้าแพทก็คือหมาน้อยที่ตอนนี้โตแล้ว อายุ 7 ปีพันธุ์ไทย สีดำขลับสลับกับน้ำตาลมีสีขาวๆที่คอและใต้ท้อง หน้าตาธรรมดา หูตั้ง นิสัยดีเรียบร้อยน่ารัก ขี้อ้อนมากกก
จิ๊บไปเอาเจ้านี่มาเลี้ยงตั้งแต่มันเกิดได้ไม่กี่วัน ตอนแรกก็ไม่ได้จะคิดเลี้ยงหมาอีกหรอก นับตั้งแต่เจ้าโจตายไป แต่มีผล มันก็ต้องมีเหตุสิน่ะ!

เหตุก็คือ เมื่อเจ็ดปีก่อน จิ๊บทะเลาะกับพี่เจ้ยเรื่องขี้ปะติ๋วอะไรมะรู้ จำไม่ได้แล้ว... (อิอิ) ก็เกิดมีทิษฐิมานะขึ้นมาสิ เชอะ.. ชั้นจะไปซื้อบ้านอยู่คนเดียวก็ได้ อย่ามายุ่งกะชั้นเชียว แม่.. คุณย่า..คุณยาย ห้ามก็ไม่ฟัง ของเค้าแรงจริงไรจริง...555+  แล้วก็ไปซื้อบ้านแถวๆ บางบัวทองไว้หลังหนึ่ง ขนซื้อเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งซะมากมายว่าจะไปอยู่ เพราะเห็นว่าอากาศดี ตอนนั้นรถยังไม่ติดเหมือนเดี๋ยวนี้ และตอนนี้เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นก็ไปวางกองทิ้งบ้านคุณยายมั่ง ยกให้ลูกหลานป้าออมไปใช้ที่บ้านนอกบ้างกระจายความรกกันไปคนละนิดละหน่อย...

บ้านที่ว่าอยู่ในโครงการหมู่บ้านหนึ่งที่ยังกำลังมีการก่อสร้างบ้านหลังอื่นๆอยู่ ก็มีคนงานก่อสร้างของโครงการเค้าอยู่กันด้วย มีอยู่พักหนึ่งก็หอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่บ้านนั้น วันดีคืนดีนั่งดูทีวีอยู่ ๆ ก็รู้สึกและได้ยินเสียงว่ามีความเคลื่อนไหวอะไรซักอย่างที่หน้าต่าง เลยรีบปิดไฟ และทีวี มองลอดช่องผ้าม่านเห็นเงาดำๆ เดินย่อง บนกำแพงรั้วด้านข้างของบ้าน แปปเดียวก็ได้ยินเสียงกระโดดลงพื้นดังตุ้บ!  เห้ย! อะไรเนี่ย....ก็เลยรีบวิ่งไปเอาโทรศัพท์โทรไปแจ้ง 191 ทันที ในระหว่างที่รอตำรวจ ทำไงหว่า..อยู่คนเดียวซะด้วย...ถ้าตำรวจมาช้า มันจะงัดบ้านเข้ามาทำร้ายรึเรารึเปล่า ไม่รู้คิดไรไม่ออกเลยคิดว่าจะขู่มันก่อน แล้วก็ตะโกนดังๆ ให้เพื่อนบ้านได้ยินเสียงโวกเหวก เค้าจะได้รับรู้บ้าง.. ก็ไม่รู้คิดถูกคิดผิด แต่ครั้งนี้มันเป็นผลดีอ้ะ โชคดีแท้ๆ.. คิดยังงั้นแล้วก็ทำใจกล้าตะโกนไปว่า.. เฮ้ย ไอ้หัวขโมย ชั้นโทรแจ้งตำรวจเรียบร้อยแล้วนะ ป้อมตำรวจอยู่ถัดจากหมู่บ้านไปเนี่ยเค้าจะมาภายในสองสามนาทีนี้ ถ้าแกรักตัวกลัวตายก็จงหยุดความคิดทำชั่วของแกเสียเดวนี้ จะหนีไปหรือจะอยู่สารภาพกับตำรวจ เลือกเอา..!!

จิ๊บพูดออกไปแบบนั้นจริงๆ นะ 5555+ ทำไปได้น่ะ บ้าชะมัด...

แต่มันเวิร์คง่ะ ไอ้ขโมยนั้นกระโดดข้ามรั้ววิ่งหนีไปเลย ซักพักตำรวจก็มา ตรวจสอบดูเห็นรอยเท้า และก็พอดีมันเป็นหน้าฝน ฝนตกดินและหญ้าเปียก แล้วจิ๊บจำรูปพรรณสัณฐานกับเสื้อผ้าที่มันใส่ได้แม่นยำ บอกรายละเอียดตำรวจไป  เค้าก็ไปหาเจ้าของโครงการ ค้นทั้งหมู่บ้าน ก็เจอมันนอนที่เพิงพักคนงานก่อสร้าง ใส่เสื้อผ้าตามที่เราบอกเป๊ะ ขากางเกงเปียกน้ำและโคลน ทำเป็นนอนหลับ แต่หายใจหอบแฮ่กๆ ตำรวจแตะที่หน้าอกมัน ๆ ก็หลับตาพริ้มไม่ยอมตื่น ตำรวจหัวเราะหันมาบอกว่า แหม.. หัวใจหมอนี่เต้นแรงมาก ตึ๊กๆๆๆ เลย..แล้วเค้าดึงตัวมันขึ้นมาให้เราชี้ว่าใช่คนนี้มั้ย เราก็บอกว่าเสื้อลายขวาง กางเกงขาก๊วยสีนี้นี่ใช่เลย  มันเป็นวัยรุ่นอายุประมาร 16-17 เองเค้าก็พามันไปโรงพักสอบสวนเอาพ่อมันไปด้วย ให้จิ๊บแจ้งความแต่จิ๊บบอกว่าเวทนามัน แค่ให้ตำรวจกับพ่อมันสั่งสอนไม่ให้ทำอีกก็พอ แต่คุณร้อยเวรเค้าไม่ยอมเลยแจ้งไป ตำรวจก็ดำเนินการไปจนจบเรื่อง.. หลังจากนั้นก็ไม่กล้าเล่าให้ที่บ้านฟังกลัวเค้าเป็นห่วงมาก แต่คิดแบบนี้ไม่ถูกเลยใครอย่าทำอย่างจิ๊บนะคะ มีอะไรต้องบอกพ่อแม่พี่น้องญาติผู้ใหญ่ของเราดีที่สุด บอกให้หมดอย่าปิดบัง...

และด้วยความที่หมกเม็ดไม่บอกเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นก็คิดหาวิธีแก้ด้วยตนเองต่อไป ทำไงน๊า.. อ้อ ได้ยินเค้าว่าเลี้ยงหมาสิ จะได้ช่วยเห่าขโมยไง..เออ..น่าจะดี วันรุ่งขึ้นก็ประกาศหาหมาในเน็ตเลย...มีคนตอบกลับมาให้ฟรี หมาพันโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ แหน่ะ.. พันธุ์ดีให้ฟรีอีกต่างหากชวนเพื่อนไปเอาเลย เค้าว่าอยู่ ซ.อารีย์ฯ ไปถึงพบเจ้าของบ้านเป็นชายหนุ่ม อายุประมาณ 30 กว่าๆ ทำงานอยุู่กระทรวงการคลังก็พาไปเอาหมามีตั้งหลายตัว เพื่อนจิ๊บคว้าหมับเจ้าตัวอ้วนสุดเป็นตัวผู้ขนฟูดูเหมือนโกลเด้นรีทรีฟเวอร์นะ แต่ที่จริงลูกหมาคอกนี้มันพันธุ์ทางมั่วซั่วอ้ะ อิอิ.. ก็ไม่ว่ากันละคุณเจ้าของหมาแกอุตส่าห์ให้ฟรี..เราตกลงเห็นพ้องกันเอาตัวนี้ แต่ขณะที่จิ๊บกำลังขอบอกขอบใจเจ้าของบ้านก็รู้สึกว่ามีอะไรมาดุ๊กๆดิ๊กๆ ที่เท้า อุ่นๆ นุ่มๆ แปปบเดียวก็นิ่งไป ก้มลงมาดู....ชะอ้าว....

เจ้าลูกหมาตัวเท่ากำปั้นเอง เล็กมากๆๆ เล็กกว่าตัวที่อุ้มอยู่มาก เล้กเท่าหนูแฮมสเตอร์อ้ะ ขนสีดำมันๆ ยังไม่ฟูเลย มันมาหลับคาเท้าจิ๊บเลย...แล้วก็หลับปุ๋ยซะงั้น... ก็เลยจับมันขึ้นมา ฮู้ยยย...น่าเอ็นดู น่าสงสาร มันค่อยๆ ลืมตามองเราแป๋วแหววเลย ไม่ดิ้นด้วย จิ๊บเลยตัดสินใจขอเค้าอีกตัว บอกว่ามานคลานมานอนหลับที่เท้าจิ๊บ สงสัยอยากไปอยู่กะจิ๊บ เค้าก็ยกให้อีกจะให้ด้วยเหตุผลอะไรก็เถอะ แต่จิ๊บขอบคุณมากๆ ที่เค้าให้เจ้านี้มาอีกตัวก็แล้วกัน

พอมาถึงบ้านบางบัวทอง ก็หาที่นอนให้ เอานมให้กิน อาบน้ำให้ทั้งสองตัวสะอาดสะอ้านแปรงฟันให้ด้วยนะ เพราะว่าคิดว่าจะต้องใกล้ชิดมันต้องให้มันสะอาด เวลามันฉี่ก็ตามเช็ด ฟังดูเหมือนดัดจริต..แต่จิ๊บทำเท่าที่จิ๊บคิดว่าจิ๊บจะต้องทำ เอาผ้าชุบแอลกอฮอล์เช็ดก้นมัน แล้วก็เช็ดพื้นที่มันฉี่ หมาเล็กๆ จะฉี่บ่อยมาก ก็เหมือนเด็กทารกแหละ จิ๊บก็ขะมักเขม้นเช็ดฉี่หมาที่พื้นอย่างไม่ลดละ ไม่ยอมให้บ้านสกปรกแม้แต่น้อย เลี้ยงมาหลายวันเจ้าตัวโตเป็นหมาตัวผู้ก็โตขึ้นเร็วมากเพราะกินจุ แต่เจ้าตัวเล็กซึ่งเป็นหมาตัวเมียนี้โตช้ามาก เพราะกินไม่ทันพี่ จิ๊บต้องอุ้มมาป้อนต่างหาก เพราะปล่อยให้กินเอง ไม่ได้กินหรอก

เจ้าหมาตัวพี่จิ๊บตั้งชื่อมันว่า ซีซาร์ ซนมากชอบเล่นน้ำ กระโดดลงอ่างบัวเลอะเทอะทุกวัน แถมเริ่มกัดรองเท้า กัดใบไม้ละสิ แย่สุดคือกัดโซฟาร์ตัวละสองหมื่นของจิ๊บเข้าให้...แย่มากเลย....ส่วนเจ้าตัวน้องเล็กนี่ให้ชื่อคลีโอพัตรา และมีชื่อเล่นว่า "แพท" ชื่อออกจะหรูเกินหน้าตาธรรมดาๆ ของหมา แต่ไม่เป็นไร จิ๊บชอบ เอาชื่อนี้แหละ ....เจ้านี่เรียบร้อยมาก ตอนแรกคิดว่าอาจเป็นเพราะว่ามันตัวเล็ก แรงน้อย ไม่แข็งแรงเลยไม่ค่อยซน...มั้ง   เลี้ยงมาหลายวัน..จับมันอาบน้ำทุกวัน แปรงฟันทุกวัน !! เวลามันเดินไปสนามหญ้ากลับมาก่อนเข้าบ้านต้องโดนจับเช็ดเท้าด้วยแอลกอฮอล์ วันไหนเหนื่อยขี้เกียจแปรงฟันให้มัน ก็เอาแอลกอฮอล์เช็ดปากเช็ดฟันมันอ้ะ 5555 จนเพื่อนบอกว่าจิ๊บจะเลี้ยงหมาหรือจะฆ่าหมา ซักวันมันจะกระอักแอลกอออล์ตายแน่ๆ....

เย็นวันหนึ่งกลับจากทำงาน..เข้าบ้าน หมาหายตัวนึง เย้ย!!! เจ้าซีซาร์หายไปไหน...เห็นแต่เจ้าแพท นอนดุ๊กดิ๊กอยู่หลังบ้าน...เดินตามหาทั่วหมู่บ้านไม่มีใครเห็น ก็เลยเดินกลับบ้านมาอย่างผิดหวัง...พอวันต่อมาตอนค่ำๆ เวลาซักประมาณทุ่มนึงเห็นจะได้ จิ๊บจะปิดบ้านละ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมากดออดหน้าบ้านอุ้มเจ้าซีซาร์มาด้วย ปรากฏว่าเป็นคนในหมู่บ้านน่ะเองคุยกันไปมาแกเป็นตำรวจหญิง แล้วก็มาแอบเล่นกับหมาเราทุกวัน รักเจ้าซีซาร์มาก เมื่อวานเลยอุ้มไปนอนด้วย ให้ตายเหอะ! คุณตำรวจหญิง...ลักหมาชาวบ้านไปนอนด้วยเฉยเลยอ้ะ เวรกรรม..แล้วแกก็พล่ามพรรณนาว่ารักมันมากมายขนาดไหนจนจิ๊บไม่รู้จะทำไง เลยบอกว่าเอางี้มั้ยคะพี่คะ.. จิ๊บยกซีซาร์ให้เลยแล้วกัน ถ้าพี่รักมันขนาดนี้ ยกให้เอามั้ย จิ๊บเองก็ไม่ต้องห่วงเพราะว่ามันอยู่กับพี่พี่คงเลี้ยงมันดีและมีความสุข ตำรวจหญิงดีใจระร่ำละลัก ถามจิ๊บซ้ำๆ "จริงเหรอคะ ให้พี่จริงๆเหรอ?" จิ๊บก็บอกว่าจริงค่ะจิ๊บยกให้...นับตั้งแต่นั้นมาจิ๊บก็เลยมีเจ้าแพทตัวเดียวเป็นเพื่อน...และด้วยความที่มันไม่ดื้อ ไม่ซน เรียบร้อยน่ารักมากจิ๊บก็เลยไม่เหนื่อย เลี้ยงดูมันอย่างดีด้วยความรักมันยังกับลูก เรื่อยมา.....

โอ้ว...วันนี้จะไปบ้านคุณยายนะ ต้องเก็บของ เตรียมของใส่รถละค่ะ...เดียวจิ๊บถึงบ้านคุณยายแล้วจะมาเล่าเรื่องเจ้าแพทต่อ...อดใจรอนิดนึงนะคะ...




ไม่สวยแล้วไง...ตอนที่2


 ......กลับมาละค่ะ ว่าจะกินขนมดื่มชาซักถ้วยแล้วมาคุยต่อเรื่องน้องหมา แล้วเลยหายไปทั้งวัน ปล๊าวๆๆ ไม่ได้ตกถ้วยชาตายหรอกนะคะ อิอิ..พอดีมีงาน..เลยยาวเลย..

          อ้ะ มาคุยกันต่อดีกว่าค่ะ.. วันนี้ก็ใกล้วีคเอนด์เข้ามาละ แอบกระหยิ่มใจนิดๆ 55+
          ตอนที่แล้วค้างไว้ที่อดีตอันข่มขืน เอ๊ย ขื่นขมกับไก่และห่าน......วันนี้เรามาคุยกันเรื่องที่น่าประทับใจ ดีกว่า เอิ๊กๆๆ

หลังจากไม่ประทับใจกับสัตว์ปีกพรรค์นั้น แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อมาจนกระทั่งโตเป็นสาว และสวย..(อันนี้ก็ใจกล้าหน้าด้านพูดเองน่ะ..อิอิ ..)

          อยู่ดีๆ พี่เจ้ย พี่ชายคนโตของจิ๊บ ก็เดินเข้าบ้านมา พร้อมกับลูกหมาตัวเมียตัวเล็กๆลายด่าง สีขาวสลับกับน้ำตาล อายุอานามก็ไม่น่าจะเกิน 1 เดือน แหมก็ลูกหมาน้อยๆอ้ะนะ หน้าตามันก็บ๊องแบ๊วน่ารักแหละ แม่จิ๊บอ้ะไม่ค่อยชอบเพราะว่าไม่ชอบกลิ่นหมา จิ๊บก็ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดหมาเท่าไหร่ แต่พอพี่ชายอุ้มหมาตัวนี้มาก็เอ็นดูมันละ  เห็นบอกแม่ว่า หมาบ้านเพื่อนมันออกลุก 6 ตัวที่บ้านเพื่อนเลยต้องจัดจำหน่าย เพราะโบราณเค้าถือว่า ถ้าแมวออกลูก 5 หมา 6 ตัวเค้าไม่ให้เลี้ยง มันไม่เป็นมงคล จะเกิดอุบัติเหตุกับคนในบ้าน ว่างั้นน่ะ

          ก็เลี้ยงๆมาแม่ตั้งชื่อให้มันว่าปุกปุย เพราะขนมัน ปุยๆ แล้วก็แม่คลั่งไคล้นางเอกนิยายป้าทมยันตีเรื่อง "ค่าของคน" มากนางเอกเค้ามีหมาตัวนึงชื่อ ปุกปุย แม่เลยจินตนาการตัวเองเป็น "คุณกล้วย" แห่งค่าของคนเลย..จิ๊บเองก็ไม่ค่อยสนใจมันหรอกต้องไปเรียนตลอดจันทร์ถึงเสาร์ นานๆ อาทิตย์ไหนว่างและอารมณ์ดีก็ช่วยอาบน้ำให้มันบ้าง แต่มันเป็นหมาธรรมดาดื้อบ้าง ซนบ้าง กัดรองเท้า กัดใบไม้ กัดไปเรื่อยเปื่อย กินก็จุ แถมไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ กินเสร็จพี่เม้าต้องตามกวาดตามเช็ดข้าวที่กระจายออกนอกจาน จนบ่นกระปอดกระแปด ว่าเลี้ยงจิ๊บมายังไม่เคยต้องทำให้ขนาดนี้เลย.น่ะเอาเราไปเปรียบกะหมาอีก. อ่ะนะ ภูมิใจอย่างน้อยก็ดีกว่าหมาหน่อยละ 555 แล้วนังปุกปุยนี่ก็เป็นหมาที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีเกินเหตุ เจอหมาข้างบ้านตัวไหน คุณเธอเข้าไปดมๆ ทำความรู้จักเค้าหมด แล้วก็กิริยามันนี้ระริกระรี้มากจนแม่ต้องจับไปทำหมันซะเลย กลัวมันจะท้องไม่มีพ่อ อยู่ๆ มานังปุกปุยก็หายสาบสูญไปจากบ้าน หาเท่าไรๆ ก็ไม่เจอเลย เป็นอันสิ้นวาสนาต่อกัน

          พอนังปุกปุยหายไป ที่บ้านก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้เสียใจอะไรมาก แค่เป็นห่วงนิดหน่อย แต่ก็ทำใจกันได้ว่ามันต้องมีสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ถ้าไม่ตาย หรือไม่ก็อาจมีคนเอามันไปเลี้ยงเพราะความจริงรูปร่างหน้าตามันก็ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่เท่าไหร่นัก แม้ว่านิสัยจะไม่ค่อยดี.....

          อีกเดือนนึงต่อมาพี่เจ้ยก็...เอาอีกแล้ว...ไปหอบหมาบ้านเพื่อนมาอีกแล้ว...คราวนี้เป็นหมาโตหน่อยอายุ 4-5เดือนได้ เป็นหมาตัวผู้พันธุ์ผสมสปริทซ์ สีทอง คราวนี้ดูเป็นหมาไฮโซขึ้นมาหน่อย พี่เม้าดี๊ด๊าอย่างน่าประหลาดใจ ตอนเลี้ยงนังปุย บ่นทุกวัน พอเจ้านี่มาทำท่ารักหมาซะงั้น นัยว่าเลี้ยงหมาแบบนี้ทำให้แกถูกมองว่าดูดีมีชาติตระกูลหน่อย ชิ.. พี่เม้าน๊ะ เลี้ยงช้านยังไม่ทำให้ดูดีเท่าเลี้ยงหมาซะแล้ว แถมคุณนายเม้าจะตั้งชื่อให้มันด้วยแต่ทุกคนไม่มีใครยอม ก็แหม...พี่เม้าจะให้มันชื่อ "เจ้าสุดหล่อ" เฮ้อ ใครจะไปยอม เชยสุดๆ รับไม้ด๊ายย  ในที่สุดเพื่อให้สมกับหน้าตามีชาติตระกูลของมันจิ๊บเลยเสนอให้มันชื่อ "เจ้าโจ" สาเหตุที่เสนอชื่อนี้ความจริงเป็นเพราะเทอมนั้นเรียนวิชาการเมืองรัสเซีย แหมเอาชื่ออดีตผู้นำเผด็จการรัสเซียอย่าง "โจเซฟ สตาลิน" มาตั้งชื่อหมา เท่ห์อ้ะ...555 แต่สมาชิกในบ้านก็เห็นด้วย พี่เม้าพยักหน้าหงึกๆ เมื่อจิ๊บอธิบายที่มาของชื่อให้ฟัง...


          แล้วพวกเราก็เลยเลี้ยงเจ้าโจแทนนังปุยต่อมา คราวนี้จิ๊บใกล้ชิดมันมากขึ้นเพื่อรับผิดชอบต่อการเสนอตัวไปตั้งชื่อให้มัน แต่อีกหลายอย่างที่ทำให้จิ๊บเริ่มรักเจ้าโจก็คือ มันเป็นหมาที่มีมารยาทงดงามสมเป็นผู้ดี กินอยู่ไม่ซุ่มซ่ามเลอะเทอะเหมือนนังปุย เวลาเรียกให้กินข้าวก็ไม่ลุกลี้ลุกลนมา จะหิวแค่ไหนมันก็รอจนเอาข้าวใส่จานเรียบร้อยถึงค่อยลุกมากิน ปีต่อมาพี่เจ้ยก็แต่งงาน มีลูกสาวคือ "ไข่มุก" นั้นเอง พอไข่มุกเริ่มรู้ภาษาหัดเดินเตาะแตะ เจ้าโจก็ทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ไข่มุกอย่างแข็งขัน เดินตามเฝ้าอย่างน่ารัก เวลาพาไข่มุกไปเดินหน้าบ้านมีหมาบ้านข้างๆ เห่า เจ้าโจก็ไล่กวดจน หมาพวกนั้นวิ่งเข้าบ้านไม่กล้าออกมารบกวนอีก

          แต่ความรักก็เหมือนงานเลี้ยงที่ย่อมมีวันจากลากัน แม้จะเป็นความรักต่อหมาก็ไม่ยกเว้น เวลาผ่านไปเจ็ดปีกับอีกแปดเดือน....ตอนนั้นจิ๊บเรียนอยู่ปี4 เทอมสุดท้ายจะจบละ เจ้าโจก็ป่วย เป็นโรคหลังแข็ง แม่โทรให้หมอมาดู ว่าจะเอาไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าไม่ต้องแล้วเพราะอาการหนักมากแล้วมันคงอยู่ได้อีกไม่น่าจะเกินสามวัน เจ้าโจนอนนิ่งขยับตัวไม่ได้อยู่หกวัน ไม่น่าเชื่อมันเป็นช่วงที่ จิ๊บสอบพอดี ไม่รู้ว่าจิ๊บคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันรอที่จะยังไม่ตาย เพราะถ้ามันตายตอนนั้นจิ๊บคงเสียใจร้องไห้สะเทือนใจ แล้วก็ส่งผลกระทบการสอบไม่มากก็น้อย พอสอบเสร็จวันสุดท้ายกลับบ้านมาดูมัน มันนอนนิ่งเหมือนเคย แต่จมูกมีน้ำไหลออกมาตลอดเวลา นึกว่าเป็นน้ำมูกก็ไม่ใช่เป็นน้ำใสๆ ไม่เหนียว ตามันสะลึมสะลือ จิ๊บลูบหัวมันเบาๆ พี่เม้าคร่ำครวญอยู่ข้างหลัง แล้วมันก็ค่อยๆ หลับตา แม่เอาผ้ามาห่มให้คิดว่ามันจะนอน แต่ว่าแปบเดียวหัวมันก็พลิกแผละลงแล้วก็หมดลมไป จิ๊บสงสารมันมากแต่ไม่ได้ร้องคร่ำครวญอย่างพี่เม้า น้ำตาไหลเฉยๆ แต่ในใจก็เศร้าอย่างไม่เคยมาก่อนเหมือนกัน แล้วพี่เจ้ยก็ให้ ลูกน้องที่เป็น อส.มาช่วยขุดหลุมฝังมันไว้ใต้ต้นลำใยหน้าบ้านนี่เอง...หลังจากนั้นมาจิ๊บคิดว่าตัวเองคงทำใจเลี้ยงหมาอีกไม่ได้ เพราะไม่อยากประสบกับนาทีที่โศกเศร้าแบบนั้นอีก

          ตอนเลี้ยงเจ้าโจ ก็เริ่มสนใจพฤติกรรมของหมามากขึ้น ตอนนั้นกำลังติดอ่านวรรณกรรมเยาวชนมาก หลังจากที่ได้รับหนังสือเป็นของขวัญวันเกิดจากพี่เจ้ย เรื่อง "ไม่มีใครร้ายเท่าน้องเล็ก" เป็นวรรณกรรมเยาชนอเมริกันเขียนโดย จูดี้ บลูม ซึ่งสมัยนั้นเค้าดังมาก  จิ๊บเข้าใจ (เอาเอง.. เพราะรู้ตัว.. อิอิ) ว่าพี่เจ้ยจะบอกจิ๊บเป็นนัยๆว่า เธอน่ะร้ายไม้แพ้เจ้าน้องเล็กฟัดจี้ในหนังสือนี่เลยละนะ...หลังจากนั้นจิ๊บก็หลงรักพี่ปีเตอร์และน้องฟัดจี้ในหนังสือจนตามซื้อมาอ่านจนหมดทุกเรื่องทุกตอน (ไว้จะค่อย ๆ เลือกเอามาเล่าให้ฟังค่ะ เรื่องมันสนุกแล้วก็น่ารักมากมาย) รวมไปถึงนักเขียนคนอื่นๆ

     และจิ๊บยิ่งบ้าอ่านหนังสือไปกว่านั้น คือไปจตุจักรไล่หาหนังสือวรรณกรรมพวกนี้ที่เป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษมาสะสม ที่รักมากเรื่องหนึ่งคือ เรื่อง "ย่า อิลิโก้ อิลลาเรียน และผม" ของโนดาร์ ดุมบัดเซ่ นักเขียนชาวจอร์เจีย หน้าปกหุ้มผ้ากระสอบดูโบราณแล้วก็ ดูเป็น "ยุโร๊บยุโหรป" ไฮโซม๊ากก อิอิ.....ไปๆมาๆ ก็ขยายไปอ่านวรรณกรรมระดับผู้ใหญ่บ้าง พอสนใจเรื่องหมาก็ไปหามาได้เล่มแรกคือเรื่อง "ยิ้มก่อนเห่า" ตามาด้วย "ยิ้มสี่ขา" และอีกหลายเล่มต่อๆมา เป็นหนังสือที่แต่งโดย คุณหมอเจมส์ เฮอร์เรียต สัตวแพทย์ชื่อดังของอังกฤษ รู้สึกว่าคุณหมอเจมส์จะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเซอร์ จากสมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ด้วยนะคะ ตอนคุณหมอถึงแก่กรรมยังมีข่าวลงทั้งใน นสพ. และข่าวต่างประเทศด้วย หนังสือของหมอเจมส์สนุก น่ารัก ขำแบบมีสไตล์ ขำแบบผู้ดี ไม่ฮาแตกหัวเราะก๊ากๆ แต่อ่านแล้วจะเกิดรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากแต่พองาม...อิอิ



.........เวลาเห็นหนังสือพวกนี้ทีไรก็อดคิดถึงเจ้าโจไม่ได้....

          และแล้วก็ยังลากเข้าหัวเรื่องไม่สำเร็จ..  ก็มันมีเรื่องจะคุยเยอะแยะเลยนี่นา พูดเรื่องนี้ก็ไปนึกถึงเรื่องนั้น พอพูดเรื่องนั้นก็ไปคิดถึงเรื่องโน้น นู้น..นู้นนน..... อิอิ

          ไม่เป็นไรน่ะ คุยกันต่อตอนหน้าก็ได้นะคะ....ยังมีเวลาจะคุยกันอีกเยอะแยะ เพราะคนที่เคยคุยกันทีละสองสามชั่วโมง ไม่มีแล้วอ้ะ ....ก็เลยว่าง...(ว่างในใจน่ะ แม้ว่างานจะเยอะจนเกือบไม่มีเวลาว่าง..)
เอ! ขึ้นต้นมาดีๆ ไหงมาจบลงด้วยเรื่องเศร้าได้ ง่าส์...

          ขอไปเอาน้ำตาเช็ดห้วเข่าก่อนนะคะ ....แล้วกลับมาคุยกันตอนต่อไป......เจ้าแพทมันนั่งมองหน้าตาแป๋ว เหมือนถามว่า แม่จิ๊บจ๋า... มะไหร่จะเล่าถึงเรื่องหนูซะทีอ้ะ....อิอิ..ใจเย็นลูก..ช้าๆ ได้พร้า 2 เล่มงาม เล่มนึงคาที่หัว อิกเล่มปักที่กลางหลัง...เย้ยยยย...ม่ายช่าย...อิอิ มุกนี้ไปลอกเค้ามา ไม่รู้จะใช้ตอนไหนดี ปล่อยมันตอนคิดไม่ออก จบเรื่องไม่ลงนี่แหละ....ชะแว๊บบบ เผ่นก่อนดีกว่าไม่อยากเห็นว่าปล่อยมุกแล้วมันแป้ก.....55555+






วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไม่สวยแล้วไง...ตอนที่1


          ตั้งแต่จิ๊บเปิดบ้าน และเปิดห้องรับแขกเล็กๆ นี้มาได้ สี่ห้าวัน ก็มีแขกเข้ามาเยี่ยมเยือนกันหลายคนทีเดียว และส่วนใหญ่จะเป็นน้องๆ สาวๆ  ซึ่งน้องสาวบางคนน่ารักแบบเปิดเผยก็คุยออกอากาศกันเลยทีเดียว บางคนก็น่ารักเรียบร้อย ขี้อาย ไม่ยอมเมนท์ แค่ขอแอบคุยกะพี่จิ๊บเงียบๆ ไม่กระโตกกระตากให้ใครได้ยิน อิอิ  และหนึ่งในจำนวนนั้น ก็มีน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งแอบกระซิบกับพี่จิ๊บว่า “เป็นคนรักน้องหมา” อยากให้พี่จิ๊บคุยเรื่องเกี่ยวกับน้องหมาบ้าง ก็พอดีเลย...เพราะพี่จิ๊บก็กำลังคิดถึง “เจ้าตัวอ้วน” ของพี่จิ๊บเหมือนกัน...
          ความจริงสมัยก่อน....พูดย้อนอดีตแบบนี้กลัวถูกกล่าวหาว่าแก่เหมือนกันนะเนี่ย.. อิอิ  แต่มะเป็นไร ยอมๆๆ เพื่อน้องสาวที่น่ารัก...ก็คือแต่เดิมมาจิ๊บก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเจ้าสี่ขาขี้อ้อนที่เรียกกันว่า “หมา” ซักเท่าไหร่เลย เห็นก็งั้นๆ ยิ่งด้วยความที่เป็นคนติดอมนิ้วมือเลยไม่ยอมแตะต้องหมา แมว และสัตว์เกือบทุกชนิด อีกอย่างสัตว์จำพวกมีปีกอ้ะ อื๋อ...ไม่เข้าใกล้เลย อาจจะเป็นเพราะมีประสบการณ์ที่ไม่ประทับใจสัตว์ปีกตั้งแต่เด็กๆ 
เหตุการณ์ที่ทำให้กลัวสัตว์ปีกเกิดขึ้นที่หลังบ้านคุณยายน่ะแหละ..
          หลังบ้านคุณตาคุณยายจะมีสระน้ำที่ขุดไว้ซึ่งเป็นสระแบบธรรมชาติ ไม่ใช่สระว่ายน้ำที่น้ำเป็นสีฟ้าเหมือนที่คอนโดเราสมัยนี้นะคะ ขนาดของสระที่ว่าก็ใหญ่โตพอสมควรเชียวละ ในสระก็จะมีพืชน้ำหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นบัวเผื่อนที่ดอกเป็นสีชมพูเข้ม และสายบัวก็เอามาต้มกระทิปลาทู หรือเอามาลอกเปลือกออกหั่นเป็นท่อนสั้นๆ เป็นผักกินกับน้ำพริก มีผักบุ้งบ้านแบบลำต้นอ้วนๆ สั้นๆ ที่ใช้ทำแกงเทโพ เวลาออกดอกก็จะเป็นสีม่วงอ่อนรูปร่างคล้ายดอกลำโพง สวยไปอีกแบบ นอกจากนี้ก็มีผักกระเฉด เพราะเวลาซื้อมาจากตลาดเด็ดส่วนที่อ่อนไปทำกับข้าวแล้ว ส่วนก้านที่เหลือ แก่ๆ แข็งๆ กินไม่ได้ คุณยายก็ให้ป้าออมเอาไปโยนใส่สระหลังบ้าน แล้วมันก็เลยแพร่พันธุ์มากพอควร หลังๆ ก็เก็บมากิน ไม่ต้องไปซื้อที่ตลาดอีกสบายไป ในน้ำก็มีสาหร่ายเขียวๆแบบเส้นเล็กๆ และแบบที่ใส่ในตู้ปลาด้วย แต่กินได้ มีจอกนิดหน่อย แต่คุณยายให้เก็บออกไม่ให้มีมากเพราะมันแพร่พันธุ์เร็วมาก เดี๋ยวมันจะกลายเป็นวัชชพืชแย่งอาหารของผักน้ำไปเสีย




ที่ริมสระมีต้นสะเดาต้นใหญ่ 2 ต้น ให้ร่มครึ้มทีเดียว แม้เวลากลางวันที่แดดจัดๆ ไปนั่งเล่นริมสระใต้ต้นสะเดานี้ก็จะรู้สึกเย็นมากเลยค่ะ สะเดา 2 ต้นนี้คุณยายบอกว่าเป็นสะเดาจืด คือมันไม่ขมมาก เวลาเด็ดยอดหรือดอกมากิน ก็เอาน้ำร้อนลวกแค่ครั้งเดียวแล้วแช่น้ำเย็นจัดไม่ให้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเกินไปเดวดูไม่น่ากิน ถ้าเป็นสะเดาขมต้องลวกกันหลายน้ำหน่อย อีกอย่างการที่ต้องให้แช่น้ำเย็นจัดๆ ก็จะช่วยให้ยอดสะเดากรอบ ไม่เหนียวด้วย กินกับปลาดุกย่าง หรือกุ้งเผา และน้ำปลาหวานตำหรับคุณยาย ฮู้ย...พูดแล้วชักน้ำลายสอขึ้นมาเลยเชียว..
แล้วคุณยายยังเลี้ยงไก่ไว้เก็บไข่กิน สี่ห้าตัว และไม่ฆ่าเลยเก็บไข่จนกว่ามันจะแก่ตายไปเอง มีเป็ดด้วยนะ แล้วก็มีห่าน 2 ตัวด้วย ตอนนั้นจิ๊บยังเล็ก ๆ อายุประมาณ 5- 6 ขวบก็ชอบไปเล่นริมสระ ให้พี่เม้าซึ่งเป็นพี่เลี้ยงเก็บดอกบัว ดอกผักบุ้งมาให้เล่น ชอบไปแตะใบผักกระเฉดเล่น ปรกติมันจะแผ่ใบบานๆเต็มที่ แต่พอเราเอามือแตะเบาๆ มันก็หุบใบซะ แหมสนุกมากเลย บางทีเดินไล่แตะใบกระเฉดเพลินไหลลงน้ำเปียกไปก็มี พี่เม้าต้องหิ้วมาอาบน้ำใหม่ (ไว้วันหลังจะนินทาพี่เม้าให้ฟัง.. อิอิ) 

เหตุการณ์ระทึกขวัญที่ทำให้กลัวสัตว์ปีกเกิดขึ้น 2 ครั้ง

ครั้งแรกคือ...ตอนที่ไก่มันออกไข่ ตามปกติเวลาเป็ดไก่ออกไข่ คุณยายก็ให้ตามป้าออมไปเก็บไข่ตอนเช้าๆ เกือบทุกวัน ตอนเก็บไข่เป็ดก็ไม่เป็นไร มันออกไข่ไว้ตามพื้นเก็บได้ตามสบาย แต่ไก่นี่สิ มันออกไข่ในรังที่ทำร้านไว้วางตะกร้า 5 ใบ เรียงไว้เอาใบไม้แห้งนุ่มๆ ปูไว้ให้มัน เวลาเก็บก็ต้องไปเก็บที่ตระกร้าของมัน บางตัวก็พยายามกกไข่ฟักไข่โดยสัญชาตญาณความเป็นแม่อันสูงส่ง แต่บางตัวสงสัยวิญญาณนังลำยองเข้าสิง ออกไข่เสร็จตะแล๊ดไปไหนไม่รู้เราก็เก็บสบาย แต่ป้าออมไม่ค่อยให้เข้าไปเก็บบอกว่าเดี๋ยวตัว “ไร” เล็ก ๆ ซึ่งชอบเกาะที่ตัวไก่จะกัดเอา แต่มีอยู่วันนึงด้วยความที่จะเรียกว่าอยากรู้อยากเห็นเกินเหตุหรืออะไรเข้าสิงไม่รู้ อยากรู้ว่าเวลาแม่ไก่มันนอนทับไข่ ไข่มันจะร้อนจนสุขมั้ย ดู๊..คิดได้ไงไม่รู้..คนเรา..พอป้าออมเผลอก็ยื่นมือเล็กๆไปจะจับไข่ดู ยังไม่ทันได้แตะถึงไข่  โหยยยย... แม่ไก่มันฉุนขาด.. พองขน สยายปีกออกยื่นหน้าอ้าปากแหลมเปี๊ยบมาจะจิกจิ๊บ เท่านั้นแหละนักสำรวจไข่อย่างดิชั้นร้องกรี๊ดๆๆ ขนลุกไปทั้งตัว แม๊ !! กลัวซะตัวสั่น ความจริงตกใจมากกว่านะจิ๊บว่า วินาทีนั้นน่ะ...หลังจากนั้นก็เลิกเก็บไข่ ไม่อยากรู้ด้วยว่ามันจะร้อนจะเย็น จะเหม็นรึหอม ก็ช่างมันเถอะ 5555+
เวลาผ่านไปหลายวัน..เข็ดกับนังแม่ไก่ขี้งกหวงไข่เกินเหตุ..ชั้นจะไม่ไปเหยียบรังแกอีกต่อไป ..ชิ..แต่แล้วก็.. อ๊ะๆ..มองมาหลายวันแล้ว ห่านนี่มันก็สวยเหมือนหงส์เนอะ...ฟังนิทานเรื่องเจ้าหญิงหงส์ขาวก่อนนอนทุกคืน..จินตนาการแทรกไปทั่วอณูร่างกาย..อยากเป็นเจ้าหญิงหงส์ขาวดูมั่ง ท่าจะเวิร์ค พี่เม้าเดินกลับไปเอาหมวกมาให้ใส่ เจ้าหญิงอย่างฉันจะรออยู่ไย ทันใดนั้น ก็จะเดินไปลูบหัวห่านอย่างเอ็นดู ที่ไหนได้.. กรี๊ดดดด.....นังห่านยืดคอยื่นออกมา อ้าปากจะงาบขาเจ้าหญิง.. แต่โชคดีไม่โดนขาแต่งาบได้ชายกระโปรงดิช้านนน  ยื้อแย่งประสานเสียงกรี๊ด กับเสียงแตกตื่นของเป็ดที่ว่ายน้ำอยู่ในสระ ใกล้ๆกันนั้น ประมาณสองสามนาทีแต่รู้สึกนานเหมือนชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ แม่กับพี่เม้าวิ่งหน้าตาตื่นมา พี่เม้าโยนหมวกทิ้งวิ่งเข้ามาอุ้มจิ๊บแม่วิ่งตามมาแต่ยังมีเวลาเก็บหมวกจิ๊บมาปัดฝุ่นเล็กน้อย (อันนี้พี่เม้าเล่าให้คุณยายฟังตอนหลัง แล้วกลายเป็นเรื่องที่ล้อเลียนกันในครอบครัวว่าแม่ห่วงหมวกมากกว่าห่วงลูกสาว..) แล้วแม่ก็ช่วยไล่อินังห่านสองตัวนั่นไป หลังจากนั้นคุณยายเลยเอาห่านให้คนอื่นไปเลี้ยง บ้านเราเลยไม่มีห่านอิกต่อไป...

เดี๋ยวนี้จิ๊บรู้แล้วละว่า...ห่านกับหงส์มันคนละชั้นกัน  หงส์น่ะขาวกว่า เริ่ด
เชิ่ดกว่า สวยกว่าเห็นๆ ไฮโซกว่ากันเยอะเลย  ชิ....

เอวังก็มีด้วยประการะฉะนี้..แล..
ชะอ้าว..ว่าจะคุยเรื่องน้องหมา..ไหงมาคุยเรื่องหงส์เรื่องห่านได้ยังไงกันละเนี่ย 5555
.....เอางี้ละกันเดวขอไปกินของเบรค กับชาซักถ้วย แล้วค่อยมาคุยกันต่อเรื่อง “เจ้าแพท” น้องสี่ขาสุดที่รักของจิ๊บกันค่ะ...ชื่อเรื่องกับเนื้อเรื่องมันยังโยงกันไม่ได้เลย มัวแต่เม้าส์แตกออกนอกเรื่องไป อิอิ...ไงๆ จิ๊บก็จะพยายามฉุดกระชากลากเนื้อเรื่องมาให้เข้ากับชื่อเรื่องให้จงได้ละ เดวมาคุยกันต่อตอน 2 นะคะ.........

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

จิ๊บช่างจ้อ....



ก่อนอื่นต้องแสดงความยินดีตามธรรมเนียมที่ ปธน.โอบามา ชนะการเลือกตั้งได้ดำรงตำแหน่งต่อไปอีกวาระหนึ่ง ช้าไปนิด แต่ถ้ายินดีตอนแรก จะไม่มีใครสนใจเรา เพราะทุกคนทำแบบนั้น ต้องหาความโดดเด่นให้ตัวเองหน่อย...5555+

นั่งแปลตำราจนหน้ามืดตามัว คิดอะไรไม่ออก พาลจะเป็นลมเอา... เลยเปลี่ยนอิริยาบท ...

เอ่อ....คำว่า "อิริยาบท" นี้พักหลังๆ เห็นคนใช้กันผิดเยอะ ไปพูดว่าอริยาบท  แม้แต่ผู้ประกาศข่าว หรือพิธีกรโทรทัศน์ รวมทั้งบรรดาดีเจวีเจขวัญใจวัยโจ๋ทั้งหลาย ที่น่าจะต้องใช้ภาษาไทยให้ "เป๊ะ" 
คำว่าอิริยาบท มาจาก " อิริยา" สนธิ (รวมกับ)กับ "บท" เป็นคำภาษาบาลีส่วนในสันสกฤตจะใช้ว่า "อีรยา" แปลว่า กิริยา ท่าทาง การเคลื่อนไหว ส่วนคำว่า "อริยา" นั้นความหมายต่างไปคนละเรื่องเลย คำหลังนี้ แปลว่า ประเสริฐ เจริญ ดีงาม เช่น พระอริยเจ้า พระอริยบุคคล...ถ้ามีโอกาสใช้ก็ช่วยกันใช้ให้ถูกต้องหน่อยแล้วกันนะคะ ด้วยความเป็นห่วง......

          ที่จั่วหัวมา  ก็ไม่ได้จะคุยเรื่องคำศัพท์หรือการใช้ภาษาไทยอะไรหรอกนะคะ ความจริงคืออยากจะบอกว่า ขยับตัวเปลี่ยนท่าทาง แล้วเลยถือโอกาสชำระกองเอกสารตรงหน้าที่ชักจะสูงขึ้นทุกทีๆ ขืนปล่อยไว้อีกหน่อยจะท่วมหัวเอาได้.. เก็บไปเก็บมาก็เห็นว่าเป็นบทความที่ถ่ายเอกสารมาบ้าง พริ้นท์มาจากอินเทอร์เน็ตบ้าง และก็มีบางอย่างล้าสมัยไปแล้วก็จะส่งนักการไปย่อยเสีย แต่แล้วก็เจอเอกสารชิ้นหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการพูด...

          จำได้ว่า เจ้าเอกสารชิ้นนี้นี่ไปค้นคว้ามาเมื่อครั้งได้รับมอบหมายให้ไปบรรยายเป็นงานแรก เรื่อง ระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ และ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ที่สำนักงานผู้ตรวจการรัฐสภา (จากวันนั้นถึงวันนี้กี่ปีมาแล้วเนี่ย..อ่ะ ม่ายบอกกก 555) ตอนนั้นเรื่องความรู้ที่จะใช้บรรยายไม่ค่อยกังวล เพราะพี่เลี้ยงเยอะ เอาตำราและสื่อบรรยาย (power point) มาให้เพียบ อ่านจนขึ้นใจ แต่กังวลมากที่จะต้องไปสอนระดับผู้ใหญ่ซี 8 ซี 9  หรือระดับผู้อำนวยการกองขึ้นไปอ้ะ เราก็เด็กซะเพิ่งจะเป็นซี 6 หมาดๆ ทำไงละหว่า...ก็ไปค้นเจอบทความชิ้นหนึ่งว่าด้วยเรื่องปาฐกถา  และที่เก็บไว้มาจนบัดนี้ ไม่เพียงเพราะมันมีประโยชน์และทำให้การบรรยายครั้งนั้นผ่านพ้นไปได้ ไม่ตกเก้าอี้ตายให้ขายขี้หน้ากรมฯ เท่านั้น แต่ชื่อองค์ปาฐกนั้นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กระดาษชิ้นนี้มีค่าสำหรับจิ๊บมาก นั่นคือเป็นปาฐกถาของ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ เรื่อง "สมบัติของนักพูด" ออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียง เมื่อวันอาทิตย์ ที่23 ส.ค.2474โน่นน่ะค่ะ

จิ๊บเอาลงให้ดูข้อความเต็ม ๆ เป็นรูปนี้นะคะ (กดดูน่าจะลิงค์ได้ค่อยไปขยายเอาอีกทีนะคะ)


สรุปสาระสำคัญคือ

          ท่านออกตัวตามประสาคนเก่งว่าท่านไม่ได้เรียนการพูดมาจากสำนักใด ใช้แต่ประสบการณ์และการฝึกฝน หนำซ้ำท่านยังเป็นคนพูดติดอ่างมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่พยายามแก้ไขยังไงก็ไม่หาย จนต่อมาท่านพยายามแก้ไขปัญหาของตนเองจนได้ แต่จิ๊บว่าถึงขั้นได้รับราชทินนามจากรัชกาลที่ 6 ว่า "วิจิตรวาทการ" ซึ่งแปลว่าพูดดีพูดได้งดงาม นี่คงเป็นพรสวรรค์และอัจฉริยภาพส่วนตัวด้วยแล้วล่ะค่ะ แต่สำหรับเราๆ เอาแค่ให้สามารถไปพูดต่อหน้าคนจำนวนหนึ่ง หรือ present ในห้องเรียนหรือที่ทำงานได้บ้างก็ดีโขละนะคะ ไม่ต้องได้รับการขนานนามสูงส่งอย่างท่านหรอก และคำแนะนำของท่านก็เป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยที่เราจะทำได้ ท่านแนะนำว่ายังงี้ค่ะ

          ข้อ 1. พยายามทำให้พูดหนักแน่น เป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ อันนี้ขออธิบายเพิ่มเติมจากประสบการณ์ของตัวเองนะคะ คือว่าถ้าเราไม่ใช่คนที่พูดเร็วมาแต่เดิมก็ไม่ต้องพยายามพูดให้เร็วหรอก การพูดคล่องหรือพูดได้เร็วมันไม่สำคัญเลย พูดตามสไตล์และสปีดของเรานี่แหละ ถ้ามันชัดเจนตรงประเด็น สปีดก็จะหมดความหมายไปเลยค่ะ
          ข้อ 2. พยายามเป็นนายตัวเอง และมีดวงจิตแน่วแน่อยู่เสมอในเวลาพูด ไม่ว่าจะพูดกับใคร ก็คือมีสติ ไม่เขวนั่นเอง

          ท่านบอกว่า 2 ข้อนี้เองจะทำให้ก้าวพ้นปัญหาการพูดติดอ่างหรือประหม่า เขิน พูดไม่คล่องไปได้
          อย่างไรก็ตามที องค์ประกอบสำคัญก็คือเนื้อเรื่องหรือเนื้อหาที่เราจะต้องพูดนั่นล่ะค่ะ สมัยนี้ต้องพูดว่า  "เป๊ะ" อย่าพูดในสิ่งที่เราไม่รู้จริง หรือไม่ตรวจสอบความถูกต้องก่อน มิฉะนั้นเราก็จะปล่อยไก่ ปล่อยเป็ดปล่อยห้าแต้มหกแต้มกันไป..เหมือนผู้ประกาศข่าว หรือพิธีกรโทรทัศน์บางคนที่เคยเห็นกันบ่อย ๆ นั้นละค่ะ

           โอว.. แค่เก็บขยะออกจากโต๊ะ ไปเจอขุมทรัพท์ทางปัญญาเข้าให้ ถึงกับเวิ่นเว้อไปได้ขนาดนี้ แต่ก็หวังนะคะว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ก็ขอให้คนที่พูดเก่งแล้วดีแล้วพูดเก่งยิ่งๆขึ้นไป และที่สำคัญจิ๊บขอเป็นกำลังใจให้คนที่พูดยังไม่เก่ง ไม่มั่นใจ พูดได้เก่งขึ้นด้วยความั่นใจที่เพิ่มขึ้น  จิ๊บเชื่อว่าทุกคนทำได้ ขนาดจิ๊บที่ตอนเด็กๆไม่พูดเลยเอาแต่อมนิ้วมือจนแม่นึกว่าลูกสาวจะเป็นใบ้ ยังช่างจ้อได้ ขนาดนี้เลย.....

สมาคมคนรักวันจันทร์

วันจันทร์อีกแล้ววว......
...อ้ะ ชงกาแฟ หรือชามาตามอัธยาศรัยแล้วใช่มั้ยคะ?
....มาค่ะ คุยกันแป๊ปนึงก่อนนะคะ....
 
           จิ๊บเชื่อหลายคนคงมีความรู้สึกเกลียดวันจันทร์ จิ๊บก็ไม่ชอบ รู้สึกเหมือนกันมั้ยคะว่าทำไมการนอนในคืนวันอาทิตย์ต่อเช้าวันจันทร์นี่มันช่างบรมสุขกว่าวันอื่นๆ ไม่อยากจะตื่น ไม่อยากจะจากที่นอนอันแสนอบอุ่นเล้ย และที่สำคัญไม่อยากมาทำงาน อิอิ (ยังปรับตัวไม่ได้) แต่ยังไง้ยังไงก็มานั่งหน้าแป้นแล้นอยู่ในที่ทำงานนี่แล้ว เมื่อมาแล้วก้แล้วไปละ  หน้าที่อยู่ตรงหน้าต้องรับผิดชอบไป คิดซะว่ามีเรื่องดีๆเกี่ยวกับวันจันทร์ตั้งมากมาย จะเกลียดให้ใจขุ่นมัวไปทำไม กี่ชาติๆเค้าก็ไม่ตัดวันจันทร์ออกจากสารบบของวันทั้งเจ็ดหรอกน่า...จริงม้้ยคะ




          พูดถึงเรื่องเกลียดวันจันทร์ มีแมวตัวนึง มันก็ไม่ชอบวันจันทร์เหมือนเรานะ จำได้มะ? เจ้าแมวอ้วนสีเหลืองลายพาดกลอนไง เคยมีคนถามว่าทำไมเจ้าการ์ฟิลด์มันถึงเกลียดวันจันทร์ ก็ง่ายๆ เหมือนเราแหละ วันจันทร์อีตาจอนจอมซื่อบื้อเจ้าของมันต้องไปทำงานน่ะสิ ก็เลยตื่นแล้วก็ปลุกมันขึ้นมาด้วยเพื่อเก็บเตียงเจ้าการ์ฟิลด์ก็เลยอดนอนบนเตียงจอนต่อไป...

          ฝรั่งเค้าก็รู้สึกไม่ต่างจากเรานะ แถมยังมีการทำวิจัยกันเป็นเรื่องเป็นราวเชียวแหละ  เรื่อง "Monday Morning Sickness" ชื่อย่อๆว่า MMS แน่ะเท่ห์มั้ยล่ะคะ มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรม Webster เชียวนะทำเป็นเล่นไป webster ให้นิยามว่า 'ailments' that occur when an individual gets back to work after one or two days of rest. ก็เป็นอาการไม่อยากทำงานหลังจากพักมานั้นแหละ ความจริงไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นวันจันทร์เท่านั้น แต่มันจะเป็นวันไหนก้เถอะที่เวลาพักสิ้นสุดลงต้องกลับมาทำงาน หรือเด็กนักเรียนก็จะมีอาการนี้ในวันเปิดเทอมแม้มันจะเปิดเทอมวันศุกร์ก็ตามที ในอเมริกามีการสำรวจกันโดยสอบถามจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างในหมู่คนทำงานพบว่าในแต่ละปีมีคนที่มีอาการนี้ไม่น้อยกว่าร้อยละ50 และทุกๆสัปดาห์จะมีคนมาทำงานสายในวันจันทร์ร้อยละ 10 - 20 จนกระทั่งบางบริษัทต้องออกกฎว่าถ้ามาสายวันจันทร์ก็จะหักเป็นวันลาพักร้อนไปเลย เอากะเค้าสิ.. เออ..บ้านเรายังไม่โหดกันขนาดนั้นนะ
         
          ในอังกฤษก็มีปัญหาแล้วก็มีการศึกษาวิจัยกันอย่างกว้างขวางเหมือนกัน ศาตราจารย์ Cary Cooper แห่งมหาวิทยาลัยแลงคาสเตอร์บอกว่าเป็นเพราะคนต้องทำงานเยอะขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่หยุมหยิมมากขึ้น (ฟังคล้ายๆ กพร.บ้านเราเนอะ ออกตัวชี้วัดบ้าอะไรมากมามากมาย ทำตามแทบตาถลน พอถึงเวลาวัดจริงดันวัดความพึงพอใจของ ผบ.ซะงั้น! อ้ะ นอกเรื่องไปและ....) ศ.Cary บอกว่า มันทำให้คนเครียด (Stress) ทางแก้ก็คือในวันหยุดก็พยายามพักมากๆ เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตปลดเปลื้องความเครียดออกซะมั่ง ก็อาจจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง..

          ความจริงถ้าลองคิดบวก ตามสโลแกนนางงามจักรวาล เอาจิงๆ วันจันทร์นี่ก็ดีหลายอย่างนะคะ
แรกเลยสำหรับคนทำงานหรือเรียนหนังสือ ก็คือ มีเป้าหมายมีที่ไปแน่นอนแหละ 5555 คนทำงานก็ต้องไปที่ทำงาน คนเรียนก็ไปที่เรียน ไม่ต้องมานั่งคิดให้ปวดหัวว่า "วันนี้จะไปไหนดีน๊า?"
ประการต่อมาคือเราก็จะได้มาเจอใครบางคนที่ที่ทำงานหรือที่เรียน แหมไม่เจอกันตั้ง 2 วันเชียวนะคิดถึง....ซะไม่มี๊....
          อ้อ วันจันทร์ปีนี้ จิ๊บดูปฏิทินจันทรคติแล้ว เป็นวันธงไชยนะ ! แหนะๆ แอบเล่นของนิดนึง555
แต่ที่แน่ๆ วันนี้ควรเป็นวันมงคลของเราชาวไทย เพราะวันจันทร์เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของในหลวงผู้ทรงเป็นมิ่งขวัญของแผ่นดินและประชาชนชาวไทยผู้จงรักภักดี
เห็นมั้ยคะ วันจันทร์น่ะ ดีออก....อิอิ
         
          ขอให้ทุกคนมีความสุขกับวันเริ่มต้นการทำงานนะคะ.......


วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สุขสันต์วันทำขนมครก

สวัสดีวันอาทิตย์ค่ะ

          วันนี้ตื่นขึ้นมา รู้สึกถึงความเย็นในอากาศเล็กน้อย ลมฉิวๆ อ้ะ ! ไม่ใช่เย็นจากเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใดนะคะ เพราะว่าตั้งเวลาปิดเมื่อตี 4 ครึ่ง แล้วแง้มหน้าต่างเล็กน้อยไว้ระบายอากาศ น่าจะเข้าฤดูหนาวบ้านเราแล้วนะ ถ้านับตามเดือน แต่ตามคนโบราณใกล้ๆตัว (หมายถึงคุณยาย) ว่ามาว่าสมัยก่อนฤดูหนาวเริ่มหลังจากออกพรรษา แต่อากาศก็จะยังไม่หนาวมาก แค่เย็นๆ สบาย ลมริ้วเบาๆ แต่จะรู้สึกเย็นถึงขั้นหนาวก็เมื่อหลังวันลอยกระทงเป็นต้นไป เมื่อนั้นแหละก็จะถึงเวลาที่ต้องงัดเอาเสื้อกันหนาวสวยๆออกมาใส่กันละ
          จิ๊บจำได้ว่าตอนเด็กๆ อายุซัก 9 ขวบได้ ตอนนั้นก็ขึ้น ป.5 แล้วละเพราะว่าเป็นเด็กพิเศษ ไม่ๆๆๆ ไม่ใช่เด็กพิเศษที่เขาเรียกน้องๆ ที่บกพร่องทางพัฒนาการของสมองในสมัยหลังๆ นี้นะคะ แต่เด็กพิเศษในความหมายของจิ๊บในที่นี้คือเป็นเด็กเรียนเร็ว แม่จับเข้าเรียนอนุบาลตั้งแต่สองขวบ (เพราะแม่เส้นใหญ่.. อิอิ คือว่า..เป็นครูเกือบใหญ่ในโรงเรียนนั้นเอง..) ช่วงเดือนพฤศจิกายนแบบนี้เป็นช่วงเปิดเทอมกลางภาคแล้ว แล้วก็เพิ่งจะกลับจาก vacation ที่บ้านคุณยายซึ่งเป็นสวรรค์สำหรับเด็กอย่างจิ๊บและพี่ชายทะโมนทั้งสอง เพราะว่าที่บ้านคุณยายเราได้เล่น ได้ทำกิจกรรมหลายอย่างที่ไม่เคยได้ทำเลยเมื่ออยู่บ้านที่กรุงเทพฯ พี่ชายสองคนนั้นหลังจากถูกแงะขึ้นมาจากที่นอนได้ ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็มีเพื่อนเด็กๆสี่ห้าคนมายืนรอหน้าสลอนอยู่หน้าประตูรั้วแล้ว และก็ได้รับอนุญาตให้ออกไปเที่ยวเล่นเก็บใบคว่ำตายหงายเป็น เก็บลูกไม้นานาชนิด ที่สวนหลังบ้าน แล้วก็ลามไปไกลถึงสวนหลังบ้านคนอื่น กว่าจะตามตัวมากินข้าวเช้ากันได้ก็เหนื่อยเอาการ

         
          อันว่าใบคว่ำตายหงายเป็นนี้ หนุ่มๆเค้าเก็บมาทำไมกันนะ? หลายคนคงอยากทราบ คุณประโยชน์อย่างอื่นๆเราเด็กๆก็ไม่ทราบหรอกค่ะ รู้แต่สนุกสนานเอามันอย่างเดียวแหละ ถ้าอยากทราบแบบเชิงวิชาการก็ลอง search ใน google ดู หรือเป็นทางการหน่อยก็สารานุกรมนั่นเลยค่ะ กลับมาว่าถึงความสนุกแบบเด็กๆ อย่างเรา ก็คือใบไม้ชนิดนี้เมื่อเด็ดจากต้นมาแล้ว มันจะไม่เหี่ยวแห้ง ไม่ตายเหมือนใบไม้ทั้่วๆไป แต่เอามาสอดไว้ในหนังสือหรือสมุด มันกลับมีรากเป็นเส้นสีขาวๆเล็กๆ งอกออกมาเป็นกระจุกเล็กๆตามรอยหยักริมใบ ซึ่งสร้างความประหลาดใจและประทับใจให้พวกเราอย่าเหลือล้นทีเดียว ราวกับเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ปานฉะนั้น


          ส่วนกิจกรรมสำหรับเด็กผู้หญิงก็ไม่พ้นการเล่นขายของหรือเล่นหม้อข้าวหม้อแกงนั่นเอง แต่สำหรับเด็กผู้หญิงที่เป็นหลานสาวคุณยาย ต้องไม่ใช่เล่นขายของธรรมดาแน่ๆ เพราะจิ๊บมีของขายที่กินได้จริงๆด้วย นั่นก้คือ "ขนมครก" ที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี จิ๊บเชื่อว่าไม่เคยมีใครไม่เคยกินขนมครกนะคะ แต่รสชาดมันต่างไปจากที่เคยมากมาย มีการประยุกต์เพิ่มนั่นเติมนี่จนเป็นรสชาดแบบสมัยใหม่ แทบจำไม่ได้ว่ารสเดิมเป็นอย่างไร ที่สำคัญและขัดใจจิ๊บ แต่อาจจะเป็นที่ถูกปากของหลายๆคนคือขนมครกเดี๋ยวนี้ทำไมถึงหวานแสบไส้เช่นนี้นะ ก็เอาเถอะค่ะ ลางเนื้อชอบลางยาไม่ว่ากัน เอาเป็นว่าจิ๊บจะเล่าสู่กันฟังเฉพาะเรื่อง "ขนมครก แม่จิ๊บ" ก็แล้วกันค่ะ
          แรกเริ่มเลยจิ๊บจะเห็นคุณยายสั่งให้ป้าออมสิน พี่เลี้ยงเก่าแก่ที่เลี้ยงแม่ของจิ๊บมาตั้งแต่เด็กๆ ให้เอา "เบ้า" และเตาขนมครกซึ่งทำจากดินเผาออกมาทำความสะอาด(ใครไม่เคยเห็นก็ไปที่ตลาดนัดจตุจักรนะคะ มีขายในร้านเครื่องปั้นดินเผา)  ถ้าซื้อมาใหม่ๆ ยังไม่เคยใช้งานก็จะต้องมีการ "ลงเลข" กันก่อน คำว่าลงเลข เป้นคำอธิบายแบบขำๆ ของคุณยายเมื่อจิ๊บถามว่ามันคืออะไร ลงเลขของคุณยายคือการเอาแกลบหรือปุยกากมะพร้าว มาถมเบ้าขนมครกแล้วเผาไฟ เพื่อให้เบ้าขนมค่อยๆเรียนรู้ที่จะทนรับความร้อน เมื่อเวลาเราใช้หยอดขนมแล้วเบ้าจะทนไฟได้ดีขึ้น ไม่แตก สมัยนี้ประเพณีการลงเลขของคุณยายคงไม่ได้ใช้แล้วเพราะเค้าใช้เบ้าเหล็กกัน มันไม่มีทางแตก แต่ภูมิปัญญาแบบลงเลขมานแตกสลายไป
          หลังจากป้าออมสินเตรียมอุปกรณ์เรียบร้อย ก็ไปเตรียมแป้ง อันได้แก่ แป้งข้าวจ้าว น้ำกระทิส่วนหาง น้ำตาล เกลือนิดหน่อย และที่ไม่น่าจะเหมือนที่ไหนคือ เอาข้าวสุกที่เย็นแล้วหรือจะเป็นข้าวเย็นเหลือจากเมื่อวานก็ได้ มาบดรวมกับแป้งจนเป็นเนื้อเดียวกัน อันนี้จิ๊บเดาเอาว่าเป็นความชาญฉลาดของคนโบราณที่เอา "ข้าวเย็น" ที่ไม่มีใครอยากกินแล้วมาประกอบเป็นอาหารชนิดอื่นโดยไม่ต้องทิ้งไปเปล่าๆ เมื่อได้แป้งที่ผสมกันรสชาดหวานปะแล่มๆ (คือหวานนิ๊ดดดเดียว) กร่อยนิดๆ ด้วยเกลือแล้วก็พักไว้ ส่วนน้ำกระทิส่วนที่เป็นหัวก็ใส่เกลือนิดนึง ใส่น้ำตาลคนให้ละลายเข้ากันดี หั่นใบกุยช่ายใส่ลงไปเพียงเล็กน้อย ส่วนนี้เอาไว้ราดหน้านั้นเองค่ะ
          เมื่อป้าออมก่อไฟให้เรียบร้อยก็พร้อมให้จิ๊บเล่นหม้อข้าวหม้อแกงขายขนมครกละ สนุกซะไม่มี เลอะเทอะก็ปานนั้น ทำฝาปิดครกแตกไปก็หลายอัน เปิดดูทุกครึ่งนาที พอสุกอันแรกก็อยากชิมซะจนทำลวกลิ้นตัวเองอีก...อิอิ  และแล้ว....ลูกค้ารายแรกของจิ๊บก็คือแม่และคุณยายนั้นเอง ขนมครกหนึ่งจานร้อนๆ กับกาแฟของแม่ และชาจีนของคุณยายในบรรยากาศเย็นๆ ตอนเช้าต้นฤดูหนาวเป็นภาพความสุขที่ยังอยู่ในความทรงจำของจิ๊บมาจนถึงบัดนี้  หลังจากนั้นก็เอาใส่จานไปให้เพื่อนบ้านๆละหนึ่งจาน แล้วเด็กๆข้างบ้านรุ่นราวคราวเดียวกันก็ตามมาเล่นขายขนมครกที่บ้านคุณยายกันอย่างสนุกสนาน

          คุณยายเปิดเผยภายหลังว่า ที่ให้เล่นขายขนมครกนี้ได้ประโยชน์หลายอย่าง
          อย่างแรกคือจิ๊บได้รับความสนุก ได้เล่นอย่างที่คนเป็นเด็กต้องการแต่ไม่ไร้สาระ
          ขณะเดียวกันการเล่นของจิ๊บอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ อยู่ในบ้าน ไม่ต้องออกไปตะรอนๆเที่ยว
          สองเป็นอุบายสอนให้คุ้นเคยกับการทำอาหาร โตขึ้นจะได้ไม่รังเกียจการทำอาหาร
          สามการนั่งเล่น หยอดและแคะขนมหน้าเตาไฟช่วยให้อุ่นเป็นการผิงไฟกลายๆ แทนที่จะขี้เกียจคุดคู้อยู่ในผ้าห่ม นี่เป้นอีกสาเหตุหนึ่งมั้ง ที่จิ๊บได้ยินคุณยายพูดว่า "ขนมครกต้องกินหน้าหนาวถึงจะเหมาะ" เพราะเวลาทำได้ไออุ่นจากเตาไฟนั่นเอง
                
          คิดแล้วคันไม้คันมืออยากทำขนมครกซะแล้วละน๊า.... ตอนนี้โตแล้ว ทำงานแล้วและไม่มีปิดเทอมเหมือนตอนเด็ก แต่ก็เอาน่ะ เดี๋ยวช่วงวันหยุดติดต่อกันหลายวันช่วงปีใหม่จะรื้อบรรยากาศแบบนี้ขึ้นมาอีก และผู้ที่จะได้รับมอบหมายให้เป็นแม่ค้าน้อยรายต่อไปคือ ไข่มุก หลานสาวคนเล็กของจิ๊บนี่แหละ แต่สงสัยไม่ต้องมีพีธีลงเลขเบ้าขนม เพราะว่าอาจจะต้องใช้เตาขนมครกญี่ปุ่นไฟฟ้าแทน...ตามเทรนด์น่ะ อิอิ

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทักทาย....






สวัสดีค่ะ.....

เป็นการทักทายเบื้องแรกที่พบกันนะคะ ขอต้อนรับเข้าสู่บ้านหลังใหม่ สถานที่สนทนาเล็กๆ ของจิ๊บกับทุกๆคนค่ะ...
          บล็อคนี้ถูกสร้างขึ้นเนื่องจากเหตุผลหลายๆอย่าง พูดแล้วอาจจะน่าขำ สาเหตุอันหนึ่งคือหลังจากมีคนบางคนหายไปจากชีวิต และยังทำใจไม่เสร็จ ก็มานั่งคิดไปคิดมาว่าเวลาที่สับสนเสียใจมันไม่ได้ให้ประโยชน์กับเราและกับคนที่เรารู้จัก หรือคนอื่นๆเลย ก็เลยกลับใจใหม่ คิดว่าน่าจะเอาเวลาซึ่งตอนนี้ได้กลับคืนมาเยอะเลย มาเล่าเรื่องที่เป็นประโยชน์ เป็นความสุขเล็กๆ ให้แก่ เพื่อน ๆ ญาติสนิทมิตรสหายจากความรู้อันน้อยนิด ประสบการณ์ และจากคำสอนคำบอกเล่าของบรรพบุรุษที่ส่งต่อๆมา เลยคิดว่าน่าจะเอามาบอกต่อๆ อาจได้ความรู้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย หรือสำหรับบางท่านที่มีความรู้มากๆ อาจเห็นว่าเป็นเรื่องที่เคยรู้มาแล้ว ก็ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าเข้ามาแล้วมีอะไรเพิ่มเติมให้ จิ๊บก็ยินดีอย่างยิ่งค่ะ สิ่งที่อาจต่างไปคือมุมมอง และแง่คิดที่เราสนใจและอยากบอกต่อ...
          ยินดีต้อนรับอีกครั้งค่ะ..เข้ามาคุยกันนะคะ.....